World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 133 ฝึกซ้อม
วันถัดมา ช่วงเช้าตรู่
ณ หน้าประตูมหาลัย
ฟางผิงถือกระเป๋ายืนรออยู่หน้าประตูมหาลัย
โจวสือผิงมาถึงเร็วกว่าที่เขาคิด เขาขับรถที่ผลิตในประเทศ ยื่นหัวออกมาทักทายเขา “นักศึกษาฟางผิง!”
“สวัสดีตอนเช้าครับอาจารย์!”
“อืม เธอ…ไม่ได้ขับรถเหรอ?”
คำถามของโจวสือผิงทำให้ฟางผิงสับสน
ไม่นานฟางผิงก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
จ้าวเสวี่ยเหมยอยู่ที่นี่แล้วเช่นกัน เธอก็มีรถ
ถังซ่งถิงก็มาแล้ว เขาขับรถสปอร์ตเปิดประทุนคันงาม
ส่วนนักศึกษาอีกเจ็ดคน สามคนขับรถ ส่วนอีกสี่คนเดินมา
ทั้งหมด 11 คน ขับรถมา 6 คน!
ฟางผิงรู้สึกเหมือนกำลังอาเจียนเป็นสายเลือด มันจำเป็นขนาดนี้ไหม?
มันอาจเป็นเพราะพวกเขาอยู่นอกมหาลัย โจวสือผิงจึงพูดเก่งขึ้นเล็กน้อย เขาเป็นกันเองมากขึ้น เผยรอยยิ้มออกมาแล้วกล่าว “ขับรถออกไปทำภารกิจจะเหมาะสมมากกว่า มันจะลำบากมากถ้าเธอไม่มีรถ แต่เป้าหมายภารกิจดันมี…”
ฟางผิงกำลังจะพูดว่าเขาไม่เห็นหวังจินหยางกับฉินเฟิ่งชิงจะขับรถเลย
หลังครุ่นคิดอย่างละเอียด เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจรู้จักกับพวกเขาไม่มากพอที่จะรู้ว่าพวกเขาขับรถหรือเปล่า
นอกจากนี้ทั้งสองอาจไปเยือนถ้ำใต้ดินบ่อยจนไม่จำเป็นต้องใช้รถ
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนการซื้อรถจะจำเป็นจริงๆ
ฟางผิงคิดในใจ แต่สีหน้าไม่ได้แสดงออก เขาเตรียมการโดยไม่คิดให้ยุ่งยากอีก “ทุกคนขึ้นรถ ฉันจะไปกับจ้าวเสวี่ยเหมย ไปสำนักงานสาขาของกรมสืบสวนเขตเป่ยติ้ง เกาะกลุ่มกันไว้”
“ตกลง!”
ทุกคนตอบพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถทีละคนสองคน
…
เขตเป่ยติ้งตั้งอยู่ทางเหนือของเซี่ยงไฮ้ เมืองมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ทางใต้ อยู่ติดกับเขตหนานฟ่ง
เดินทางจากโม๋อู่ไปเขตเป่ยติ้งนั้นไม่ใช่เวลาสั้นๆเลย
บนรถ
จ้าวเสวี่ยเหมยพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างตื่นเต้น “ในที่สุดฉันก็ออกมาทำภารกิจแล้ว ก่อนสมัครเข้ามหาลัย ฉันรู้อยู่แล้วว่ามหาลัยวิชายุทธจะมีภารกิจให้เราทำ”
“ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แน่นอนสิ นายจะรู้อะไร? การทำภารกิจของมหาลัยวิชายุทธหมายความว่า ในที่สุดเราก็บังคับใช้กฎหมายได้อย่างเปิดเผย แถมยังได้ค่าตอบแทนด้วย”
“มันต่างจากความทะเยอทะยานเอาชนะผู้อื่น ถ้านายฆ่าคน นายก็จะทำผิดกฎหมาย”
“ก็เหมือนกับคดีนี้ ถ้าหลินจวินอยู่มหาลัยวิชายุทธแล้วประลองธรรมดากับคนอื่น และพลั้งมือสังหารไป เขาก็จะไม่ถูกหมายจับ”
“หรือถ้านายรับภารกิจและสังหารอีกฝ่าย นายก็จะได้รับรางวัล”
“ผู้ฝึกยุทธที่มีปราณและเลือดสูง บางครั้งก็เลือดร้อน ความรู้สึกนี้ต้องถูกระบายออกบ้าง ไม่งั้นเราจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง”
ฟางผิงไม่รู้จะพูดอะไร หลังคิดเล็กน้อย เขาก็พูด “ใจเย็น ถ้าเธอตายไปเธอก็ไม่ได้อะไร”
“ฉันรู้น่า มันก็แค่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งชั้นกลาง…”
ฟางผิงไม่พูดอะไรอีก เธอพูดหยั่งกับว่าเธอไม่ได้อยู่ขั้นหนึ่งชั้นกลางเหมือนกันอย่างนั้นแหละ
การจำแนกผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งค่อนข้างง่าย ชั้นกลางคือคนที่ขัดเกลาแขนขาเสร็จไปแล้วข้างนึง ส่วนชั้นสูงและสูงสุดจะใกล้เคียงกัน บางครั้งก็ไม่ต่างอะไรกันมาก
ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงสุดคือผู้ที่ขัดเกลากระดูกแขนขาเสร็จไปแล้วสองข้าง คนที่ขัดเกลากระดูกไปแล้วกว่า 50 ชิ้นจะถือว่าเป็นชั้นสูง อย่างไรก็ตามเนื่องจากกระดูกแขนกับกระดูกขาต่างกัน มันจึงจำแนกได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่ยังไงก็ไม่มีใครพยายามจำแนกมันอยู่แล้ว พวกเขาเป็นแค่กลุ่มคนอ่อนแอ ไม่จำเป็นต้องจำแนกให้ชัดเจนอะไรมากขนาดนั้น
…
50 กว่านาทีต่อมา
ณ กรมสืบสวนเขตเป่ยติ้ง
แม้ว่าเขตเป่ยติ้งจะเป็นเขต แต่เซี่ยงไฮ้มีเพียง 6 เขตเท่านั้น จำนวนประชากรและการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกเขตแข็งแกร่งกว่านครระดับจังหวัดโดยเฉลี่ยเสียอีก
กรมสืบสวนเขตเป่ยติ้งดูโอ่อ่ายิ่งใหญ่มาก!
อาคารหลักเป็นอาคารสำเร็จรูปที่สูงกว่า 20 ชั้น!
พวกฟางผิงก้าวลงจากรถทีละคน พวกเขาลงทะเบียนด้วยใบอนุญาตวิชายุทธตรงทางเข้าอาคาร จากนั้นห้าหกนาทีต่อมา ก็มีคนมาทักทายพวกเขา
“คุณเป็นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธใช่ไหม?”
คนที่มาทักทายพวกเขาเป็นชายวัยสามสิบกว่า อยู่ในชุดเรียบๆ
โจวสือผิงไม่ได้ลงจากรถ ในฐานะหัวหน้าทีม ฟางผิงจึงเป็นคนตอบ “เราเป็นนักศึกษาโม๋อู่ พวกเรารับภารกิจจากเขตเป่ยติ้ง พวกเรามาขอข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อดูว่ามีอะไรที่เราต้องใส่ใจไหม”
“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณทำภารกิจใช่ไหม?”
“ครับ ผมชื่อฟางผิง เป็นหัวหน้าทีมภารกิจนี้ เราควรเรียกคุณว่ายังไงดีครับพี่ชาย?”
“เรียกผมว่าพี่เจิ้งก็ได้ ตามมา!”
ชายคนนี้ไม่อยากพูดอะไรเวินเว่อ เขานำทีมเข้าไปในกรมสืบสวน
พวกเขาไม่ได้เข้าอาคารหลัก ชายคนนี้พาพวกเขาเข้าสำนักงานในอาคารเสริม ภายในห้องนั้นใหญ่โตมาก
“คุณรับภารกิจไหน? รหัสอะไร?”
“200808301217 ชื่อหลินจวิน”
ชายคนนั้นเปิดคอมพิวเตอร์และค้นหาอย่างรวดเร็ว เขาตอบทันที “ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งชั้นกลาง ฝีมือไม่แข็งแกร่งนัก เราส่งคดีนี้ให้มหาลัยวิชายุทธเพราะเจ้านี่ทำให้เราเสียเวลามากเกินไป”
“เขาอาจไม่แข็งแกร่ง แต่เขามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เก่งในด้านต่อต้านการสอดแนมและมีความเข้าใจเจ้าหน้าที่ในกรมสืบสวนดียิ่ง”
“เขาจะสังเกตเห็นเราอย่างรวดเร็วเมื่อเราเข้าใกล้และหลบหนีไปทันที”
“ตอนนี้เขาควรอยู่บริเวณเขตเป่ยติ้งและเป่ยเจียว…”
“เขายังอยู่เป่ยติ้งอยู่เหรอ?”
ชายแซ่เจิ้งพยักหน้า “ใช่ มีคนเคยพบเห็นเขา เพราะงั้นผมถึงบอกว่าเขาเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แถมยังกล้าหาญมาก”
“ทุกคนคงเคยได้ยินคำนี้ ความมืดใต้แสงไฟ เขาเปิดเผยตัวตนที่อื่น แล้วแอบกลับเป่ยติ้ง”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนเห็นเขา พวกเราคงคิดว่าเขาหนีไปแล้ว”
“อย่างไรก็ตามเป่ยติ้งกับเป่ยเจียวมีพื้นที่อยู่อาศัยไม่ใหญ่นัก พี่เจิ้งเจาะจงขอบเขตให้แคบกว่านี้ได้ไหม?”
คนแซ่เจิ้งไม่พูดอะไรมาก เขาหยิบแผนที่ออกมาชี้ไปยังทิศทางของเขตแดนระหว่างเป่ยติ้งกับเป่ยเจียว “นี่เป็นจุดที่มีพยานเห็นหลินจวินครั้งสุดท้าย”
“แต่ผมไม่มั่นใจว่าเขายังอยู่ไหม เขาอาจหนีไปแล้ว หรืออาจยังอยู่ก็ได้”
“หลินจวินมีนิสัยเสียชอบพนัน!”
“ครั้งก่อนเขาก็ฆ่าคนเพราะการพนัน”
“ตอนนี้เขาก็อาจข่มกลั้นนิสัยเสียเก่าไม่ได้ มีบ่อนพนันผิดกฎหมายหลายแห่งในเป่ยติ้งกับเป่ยเจียว…”
“บ่อนพนันผิดกฎหมาย?”
“ตำรวจกำลังจัดการ มันเลยไม่เกี่ยวข้องกับเรา” คนแซ่เจิ้งรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร “ผมจะปล่อยให้คุณจัดการเรื่องนี้ ไม่ว่าจะชิงมาหรือจะยึดก็แล้วแต่คุณจัดการ”
“กระนั้นเหตุผลที่ทำไมบ่อนพนันผิดกฎหมายถึงยังมีอยู่ก็เพราะพวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธที่มาสร้างปัญหา คุณแข็งแกร่งไม่เทียบเท่า หลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นดีที่สุด”
“ถ้าหากพวกเขาไม่ส่งผู้ฝึกยุทธมาทำลายระเบียบของสังคม เราจะไม่ยุ่งกับพวกเขา”
“อย่างไรก็ตามถ้าคุณยึดสถานที่ได้จริงๆ พวกเขาก็สมควรแล้ว ตำรวจจะจัดการที่เหลือให้”
“จำไว้ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายคนธรรมดา เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีคุณก่อน และคุณต้องแสดงหลักฐานได้ ส่วนเรื่องอื่นคุณจะค่อยๆเข้าใจในอนาคต”
“…”
อีกฝ่ายอธิบายสถานการณ์ สุดท้ายเขาก็ออกใบรับรองใหม่ให้กับพวกเขาฟางผิง มันเป็นใบรับรองสืบสวนของกรมสืบสวน
ก่อนที่พวกเขาจะเดินจากไป พี่เจิ้งพูดเสริม “เมื่อคุณทำภารกิจเสร็จ ให้กลับมาจบภารกิจที่กรมสืบสวน คุณจะไปจบภารกิจที่ มหาลัยก็ได้ ทางมหาลัยวิชายุทธจะตรวจสอบภารกิจเป็นประจำอยู่แล้ว”
“ผมจะเตือนอีกครั้ง อย่าให้คนธรรมดามาเกี่ยวข้อง จะดีที่สุดถ้าหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสนใจ การดำเนินการจับกุมต่อหน้าประชาชนมากมายรังแต่จะสร้างผลกระทบเชิงลบให้เท่านั้น”
“ตัวตนของผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มีไว้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสาธารณชน ไม่ใช่ทำตัวไร้ยางอายและทำลายระเบียบของสังคม”
“ในกรณีที่เกิดอิทธิพลแย่ๆขึ้นมา คะแนนของคุณจะถูกหักตามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ถ้าทำผิดร้ายแรง คุณอาจต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย!”
“ผมไม่อยากเห็นพวกคุณกลายเป็นเป้าหมายในภารกิจ”
ฟางผิงพยักหน้าทันทีและตอบรับรอง “มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน พวกเราจะใส่ใจกับผลกระทบที่ตามมาหลังการกระทำ”
“อืม จำไว้ ระวังตัวด้วย!”
พี่เจิ้งเตือนพวกเขา “อย่าดูเบาใคร ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาก็ตาม!”
“ผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธต่ำกว่าขั้นสามนั้นไม่ได้ไร้เทียมทาน ไม่มีใครไม่ตาย พวกคุณเป็นอัจฉริยะของโม๋อู่ ถ้าพวกคุณมาตายตรงนี้ มันจะเป็นความสูญเสียของมนุษยชาติ!”
“ขอบคุณครับ!”
ฟางผิงกล่าวขอบคุณและเดินจากไปพร้อมกับทีม
…
นอกกรมสืบสวน
ฟางผิงมองคนอื่นๆและพิจารณาอยู่ครู่นึงเพื่อเตรียมการ “ไม่น่าเป็นไปได้ที่หลินจวินจะเคลื่อนไหวตอนกลางวัน”
“ไปหาที่พักกัน ตอนกลางคืน เราจะแบ่งทีมละสองคนไปตระเวนตามบ่อนพนันผิดกฎหมาย”
“เมื่อพบตัวเมื่อไหร่ก็อย่าลงมือผลีผลาม…”
ฟางผิงหยุดชั่วครู่ มองถังซ่งถิงแล้วพูด “ฟังคำสั่งของฉัน!”
“ถ้าใครมั่นใจว่าเอาชนะอีกฝ่ายได้และจะรับคะแนนไป ฉันก็ไม่คิดมาก แต่ถ้าถูกฆ่า อย่าโทษฉันที่ไม่เตือนแล้วกัน”
“ถ้าไม่มั่นใจก็มาแจ้งกับคนอื่น ทุกคนจะเคลื่อนไหวด้วยกัน!”
“ถ้าเกิดเราหาไม่พบล่ะ?”
“ถ้าเราหาไม่พบในสามวัน เราจะยกเลิกภารกิจ ภารกิจที่ล้มเหลวจะถูกหัก 10% ของรางวัลเท่านั้น ไม่เท่าไหร่”
คราวนี้ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาขับรถจนมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งในเป่ยเจียวและจองห้องพักอยู่หลายห้อง
…
เมื่อพวกฟางผิงกำลังทำภารกิจ อีกสี่ทีมก็กำลังทำภารกิจของตัวเองเช่นกัน
โม๋อู่
หวงจิ่งกำลังจัดเอกสารขณะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “สถานการณ์เป็นยังไง?”
“เฉินหยุนซีไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำ เธอขาดความเห็น ส่วนคนที่เหลือ กำลังสังเกตอยู่”
“ฟู่ชางติ่งไม่เลว เขาสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสมาชิกทีม เขาฟังความเห็นของสมาชิกทีมก่อนตัดสินใจทำภารกิจ”
“จ้าวเหล่ยมั่นใจตัวเองเกินไปหน่อย ปลีกวิเวก เขายอมรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับขั้นสองชั้นต้น มีปัญหาเล็กน้อย”
“หยางเสี่ยวม่านโอเค ไม่เลวร้ายนัก”
“ฟางผิง…”
โจวสือผิงเป็นคนรายงานสถานการณ์ของฟางผิง โจวสือผิงหยุดอยู่ครู่นึงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้มั่นคงมาก ในฐานะหัวหน้าทีม เขาตัวเลือกที่เหมาะสม แต่เขาค่อนข้างมั่นคงเกินไปหน่อย” ไอรีนโนเวล
“ส่วนคนอื่น ผมกำลังสังเกต ผมคิดว่ามั่นคงดีกว่ามั่นใจเกินตัว”
เสียงของถังเฟิงดังมาจากหูฟัง “ฉันรู้จักเจ้าเด็กนี่ เขาจะรีบเข้ามามีเอี่ยวเมื่อได้ประโยชน์ และจะหนีไปอย่างรวดเร็วเมื่อเสียประโยชน์”
“ความคิดฉลาด เขาไม่เลว แต่ฉันไม่ชอบ”
“ที่จริง ฉันคิดว่าฟู่ชางติ่งเหมาะเป็นหัวหน้าทีมงานประลองมากกว่า”
“ฟู่ชางติ่งขาดความแข็งแกร่งอยู่บ้าง เขาอาจข่มจ้าวเหล่ยยาก”
“…”
ทั้งกลุ่มคุยกันอยู่พักนึง สุดท้ายหวงจิ่งยิ้มและพูด “เหล่าโจว คุณบอกว่าเด็กคนนี้มั่นคงมากใช่ไหม?”
“สร้างปัญหาให้เขา รอบหน้าให้เขารับภารกิจขั้นสอง”
“ขั้นสอง?”
“ใช่ เปลี่ยนภารกิจ จากการคาดการณ์ของฉัน อย่างมากเขาก็แค่รับภารกิจขั้นหนึ่งสูงสุด ให้เขายอมรับภารกิจผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นต้นและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันอยากเห็นปฏิกิริยาของเขาเมื่อต้องรับมือกับสิ่งไม่คาดฝัน มาดูกันว่าเขามีปฏิกิริยายังไง และเขาจะพาเพื่อนร่วมทีมกลับมาได้อย่างปลอดภัยไหม”
“ส่วนทีมอื่น เราจะดูกันต่อไป ทีมจ้าวเหล่ยมั่นใจเกินตัวไปหน่อย พวกเขาพึ่งเริ่ม แต่ก็รับภารกิจขั้นสองแล้ว พวกเขาคิดจริงๆเหรอว่าขั้นสองของโลกภายนอกล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีดีแต่ปราณและเลือดกันทุกคน?”
ทั้งกลุ่มหารือกันอีกเล็กน้อยก่อนจะจบการสนทนา
…
ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตเป่ยเจียว
ฟางผิงจามออกมาและพึมพำกับตัวเอง “มีคนกำลังนินทาฉัน!”
หลังส่ายหน้าสองสามครั้ง ฟางผิงก็ขัดเกลากระดูกต่อ โม๋อู่เริ่มโหดร้ายกับพวกเขาขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด
…
ตอนกลางคืน ทุกคนแบ่งทีมสองคน รวมเป็นห้ากลุ่มแล้วไปยังบ่อนพนันผิดกฎหมายหลายแห่ง
แน่นอนแม้จะเรียกว่าบ่อนพนันผิดกฎหมาย แต่อันที่จริงบางแห่งก็เป็นแค่บ่อนง่ายๆที่เห็นตามพื้นที่ชนบท
เมื่อเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก็มีทีมนึงพบร่องรอยของหลินจวิน
สองคนที่พบหลินจวินไม่ได้ลงมืออย่างเร่งรีบ พวกเขากลับไปแจ้งข้อมูลกับทุกคนแทน
ฟางผิงรีบเดินทางไปและพบว่าหลินจวินถูกถังซ่งถิงจับกุมตัวแล้ว!
เมื่อเขาเห็นฟางผิง ถังซ่งถิงก็เม้มปากกล่าว “เขาอ่อนแอกว่าที่คิดซะอีก มันเสียเวลามากกับแค่แสนสองหรือ 4 คะแนน แบ่งกันแล้วได้ 0.4 คะแนนเอง
“ฉันบอกแล้วว่าเราควรยอมรับภารกิจที่ท้าทายกว่านี้!”
ภารกิจประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าหลินจวินจะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งชั้นกลางเหมือนกัน แต่เขาก็แพ้พ่ายให้กับถังซ่งถิงในเวลาสั้นๆ
เขาไม่ได้ก่อความวุ่นวายเช่นกัน
ถังซ่งถิงไม่พอใจเล็กน้อยที่ฟางผิงทำเสียเวลาไปทั้งวัน เขาคิดว่าพวกเขาควรมุ่งหน้ามาที่นี่ก่อนตั้งแต่เช้าเลย เพราะเจ้าหลินจวินเล่นพนันที่นี่มาสองสามวันแล้ว!
อย่างไรก็ตามจ้าวเสวี่ยเหมยกล่าว “ถ้าฟางผิงไม่ไปกรมสืบสวนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม เราคงจับเขาไม่ได้ง่ายๆ”
“งั้นเขาก็ควรลงมือทันทีหลังได้ข้อมูลเพิ่มเติม”
“กลางคืนดีกว่า ยิ่งกว่านั้นเสียเวลาหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลย”
“เธอพูดง่ายสิ เรามีตารางแน่นมาก…”
“พอ!”
ฟางผิงคำรามอย่างเย็นชา เขาตัดบท “ถ้านายไม่พอใจ นายก็ออกไป ใครอยากออกก็ตามถังซ่งถิงไปเลย นายทำภารกิจเองได้ ฉันจะยื่นหนังสือให้มหาลัยจัดอาจารย์อีกคนให้นายสร้างทีมเอง!”
“ทำไมฉันต้องออก?”
ความไม่พอใจถูกเขียนบนหน้าถังซ่งถิง ฟางผิงชำเลืองมองเขาโดยไม่ได้พูดอะไรพักนึง หลังจากนั้นเขาก็พูดออกมา “ลองเถียงมาอีกทีสิ ฉันรับประกันเลยว่าฉันจะหาโอกาสจัดการนาย ถ้านายไม่เชื่อ นายก็ลองดู!”
“นาย…”
“นายคิดว่าฉันทำไม่ได้งั้นเหรอ?”
“ฉัน…”
ถังซ่งถิงสีหน้าเปลี่ยนกลับกลายหลายครา เขาไม่รู้ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากเสี่ยง เขารู้แล้วว่าฟางผิงจัดการผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดสองคนจนเสียชีวิต
ไม่งั้นเขาคงไม่อดกลั้นหรอก
ฟางผิงไม่สนใจ เขาชำเลืองมองหลินจวินที่ถูกทุบตีมาอย่างหนักแล้วหันหน้าเดินจากไป เขาบ่นพึมพำ “ไม่ถูกต้อง”
ภารกิจแรกง่ายเกินไป มันง่ายจนทุกคนเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ คิดว่าตนเองมีอำนาจทุกอย่าง
เขาหวังว่าภารกิจแรกจะทำให้ความมั่นใจของทุกคนลดลง
ฟางผิงเตรียมบดขยี้อารมณ์ทุกคนสักสามวัน
ใครจะไปคิดล่ะว่าขยะไร้ประโยชน์หลินจวินจะถูกพบในคืนเดียว!
ท่ามกลางเหล่านักศึกษา โจวสือผิงอาจเป็นคนเดียวที่เข้าใจความคิดของฟางผิง เขาคิดในใจอย่างขบขัน ‘คราวนี้ฉันน่าจะได้เห็นอะไรที่น่าสนใจแล้วสิ’
ทุกคนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อพวกเขารับภารกิจขั้นสองและเผชิญกับวิกฤต เขาสงสัยจริงๆว่าฟางผิงจะรับมือยังไง
หนี?
สู้ตาย?
ขอความช่วยเหลือ?
บางทีอาจเป็นอย่างอื่น อย่างทรยศเพื่อนร่วมทีม?
จากที่ฟางผิงพูดกับถังซ่งถิงก่อนหน้านี้ การกำจัดถังซ่งถิงทิ้งไปเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย จะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไหม?
ความสามารถของนักศึกษาไม่ใช่ปัจจัยอย่างเดียวที่มหาลัยวิชายุทธตัดสินฝึกนักศึกษา บางครั้งการตัดสินใจมุ่งเน้นที่จะฝึกฝนนักศึกษาก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยมากมาย
แม้ว่าความคิดเหล่านี้จะแวบเข้ามาในหัว แต่คำพูดที่ออกมาจากปากโจวสือผิงก็ยังราบเรียบ “ถังซ่งถิงจะได้เงินสด 25% เป็นรางวัลคนเดียว จ้าวชิง โจวเยว่หงจะได้อีก 25% ส่วนอีก 7 คนจะได้ 50% ไปแบ่งกันเอง”
ถ้าคำนวณต่ออีก แม้ว่าจะวุ่นวายมาทั้งวัน แต่คนนึงก็ได้เงินไม่ถึงหมื่นหยวน ซึ่งมันไม่ถึงครึ่งคะแนนด้วยซ้ำ
แม้มหาลัยจะมอบรางวัลให้เป็นสองเท่า แต่มันก็ไม่ถึงหนึ่งคะแนน
ฟางผิงไม่มีความเห็น ถังซ่งถิงเหมือนจะค่อนข้างพอใจกับตัวเอง
ที่โรงแรม ทุกคนก็เริ่มพูดถึงภารกิจที่สอง คราวนี้ทุกคนร้องขอให้เป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด
ฟางผิงคิดอยู่ครู่นึง แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขายอมรับภารกิจจากกองทัพ
ภารกิจง่ายมาก ค้นหาอีกฝ่ายแล้วจู่โจมฉับพลัน นักศึกษา 10 คนร่วมกันกลุ้มรุมผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ฟางผิงสังเกตเห็นความมั่นใจเต็มเปี่ยมในทีม แต่ก็ไม่ได้ออกความเห็น อย่างไรก็ตามเขาเห็นรอยยิ้มของเหล่าโจวที่อยู่ข้างๆแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง