World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 134 .1 ล้อมปราบ (1)
หลังรับภารกิจที่สอง ทีมก็ไม่ได้ไปรับข้อมูลเพิ่มเติมที่กรมทหาร
ก่อนอื่นเลยเป็นเพราะกรมทหารประจำการอยู่ไกล เดินทางไปสำนักงานต้องใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งวัน
เหตุผลที่สองคือคำอธิบายในภารกิจละเอียดอยู่แล้ว
ชื่อ : สือเฟิง
เพศ : ชาย
อายุ : 39 ปี
ความสามารถ : ขั้นหนึ่งสูงสุด ฝึกฝนวิชาต่อสู้ ใช้เพลงหมัด พอใช้อาวุธได้อย่างผิวเผิน พกดาบสั้นคลาสอี…
ระดับความอันตราย : สูง
ข้อแนะนำ : ทีมที่มีผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดมากกว่าสามคน หรือผู้ฝึกยุทธขั้นสอง
คดี : วันที่ 26 ตุลาคม 2008 ดักสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด ปัจจุบันซ่อนตัวอยู่หมู่บ้านสือชิง เขตตงเจียว เซี่ยงไฮ้…
รางวัล : 15 คะแนน (หมายเหตุ : ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพิ่มอีก 5 คะแนน)
หลังรับภารกิจ ฟางผิงก็ตระหนักว่ามีรางวัลเพิ่มให้อีก 5 คะแนน
ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดแบบนี้มักจะได้คะแนนระหว่าง 7-10 คะแนน
ก่อนรับภารกิจ เมื่อเห็นรางวัล 10 คะแนนทุกคนก็โห่ร้องให้รับภารกิจแล้ว ฟางผิงจึงไม่ปฏิเสธ
หลังรับภารกิจ เขาถึงรู้ว่ารางวัลมีมากถึง 15 คะแนน!
รางวัลสำหรับภารกิจผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นต้นก็อยู่ระหว่าง 10-15 คะแนนเช่นกัน คาดไม่ถึงเลยว่าสือเฟิงผู้นี้จะมีค่าหัวถึง 15 คะแนน
หลังรับภารกิจ สีหน้าฟางผิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเตือน ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดจะไม่ได้รางวัลไปมากกว่าเงินสด 3 แสนหยวนหรือเท่ากับ 10 คะแนน แต่สือเฟิงมีค่าหัว 15 คะแนน เขาอาจแข็งแกร่งกว่าที่เราคิด!
ครั้งนี้อย่าลดความระวังลง!
อีกอย่างอีกฝ่ายมีอาวุธอัลลอยคลาสอี ฉันมั่นใจว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้มีดีแค่ปราณและเลือดที่ไม่ได้ฝึกฝนแม้แต่วิชาต่อสู้
มันถึงกับสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดได้ในระดับขั้นเดียวกัน…
ภารกิจนี้มีคำใบ้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำให้ตั้งกลุ่มผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดสามคนหรือคะแนนพิเศษที่เพิ่มมาตอนหลัง ทั้งหมดสื่อได้ทางเดียว นั่นก็คือ คนที่ชื่อสือเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เรียบง่าย
อย่างน้อยในกลุ่มผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดเหมือนกัน สือเฟิงมีความแข็งแกร่งกว่าค่าเฉลี่ย
ในทีมฟางผิง จ้าวเสวี่ยเหมย ถังซ่งถิงและรวมถึงตัวเขาด้วยต่างก็มีอาวุธอัลลอยติดตัว รวมทั้งไม่ได้อ่อนแอด้วย แม้ว่าจะไม่มีใครเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดเลยก็ตาม
ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดคน ขั้นต่ำขัดเกลากระดูกแค่ประมาณ 20 ชิ้นเท่านั้น
จ้าวเสวี่ยเหมยพยักหน้า ส่วนถังซ่งถิงพูดขึ้นมาอย่างหยิ่งผยอง ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดในโม๋อู่ไม่เหมือนกับโลกภายนอก แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ขัดเกลาสองครั้งก่อนทะลวง แต่เราก็ทะลวงด้วยปราณและเลือดเกิน 150แคลไปแล้ว!
ตอนที่ฉันทะลวงขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ปราณและเลือดฉันมีถึง 170แคล!
ตอนนี้ปราณและเลือดฉันเกือบ 240แคลแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจำนวนขัดเกลากระดูก ถ้าเน้นที่ปราณและเลือดฉัน เทียบกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดก็ไม่ได้ด้อยกว่า
นอกจากนี้เพิ่มวิชาต่อสู้และจวงกงเข้าไปอีก แถมอาจารย์ของเรายังเป็นอาจารย์ขั้นกลาง…
ฟางผิง นายประเมิณนักศึกษาโม๋อู่ต่ำเกินไป!
ในขั้นพลังเดียวกัน นักศึกษามหาลัยวิชายุทธไม่ได้อ่อนแอกว่าใคร ต่อให้เป็นยอดยุทธจากกองทัพ มันก็เป็นเพราะพวกเขามีประสบการณ์ต่อสู้มากกว่าเราเฉยๆ
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปขั้นหนึ่งขั้นสองของโลกภายนอกไม่คู่ควรเข้าถ้ำใต้ดิน ฉันคิดว่านายระแวงเกินไป!
ถังซ่งถิงอาจน่ารำคาญ แต่ที่เขาพูดมาก็ไม่ได้ผิด
นักศึกษาในคลาสฝึกพิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ขัดเกลาสองครั้ง แต่ตอนที่พวกเขาทะลวงขั้น พวกเขาต่างก็มีปราณและเลือดสูงกว่า 150แคล
เมื่อพวกเขาบรรลุขั้นหนึ่ง ปราณและเลือดพวกเขาจะสูงกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไปในระดับขั้นเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นนักศึกษาโม๋อู่ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ไม่มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัด นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธทั่วไป ผู้ฝึกยุทธทั่วไปบางส่วนอาจฝึกวิชาต่อสู้ แต่พวกเขาอาจพึ่งเริ่มฝึกจวงกงก็ได้
แถมครั้งนี้พวกเขายังมีกันถึง 10 คน ตัวฟางผิงเองก็เคยสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดของโม๋อู่ นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมถังซ่งถิงจึงคิดว่ามันไม่ได้มีอันตรายมากนักถ้าพวกเขาร่วมทีมกัน
คนอื่นๆในทีมก็คิดแบบเดียวกัน นักศึกษาโม๋อู่ค่อนข้างมั่นใจตัวเองอยู่แล้ว
แม้แต่นักศึกษาชั้นยอดของมหาลัยชิงฮวาก็ไม่คิดว่าตนเองด้อยกว่าอัจฉริยะที่เรียนด้วยตนเองในโลกภายนอก
ฟางผิงสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นสักครู่เขาก็พูดขึ้นมา บางทีนายอาจจะพูดถูกก็ได้ บางทีฉันคงระแวงเกินไป ฉันเลยคิดมาก
แต่ยังไงปลอดภัยไว้ก่อนก็ดีกว่า ฉันมั่นใจว่านายคงไม่อยากจบช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตทั้งๆที่พึ่งเริ่มต้นหรอกใช่ไหม?
เราจะทำตามสถานการณ์ ถ้ามีอันตราย ภารกิจแรกของเราคือล่าถอย!
รู้น่า เราไม่ได้ไปหาที่ตาย ถ้าเราสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อย่างแรกที่เราต้องทำคือหนี!
ถังซ่งถิงไม่ได้ไปตาย ถ้าเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เอาชนะไม่ได้ แน่นอนว่าเขาต้องหนี เขาไม่ต้องการให้ฟางผิงพูดเตือนหรอก
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็เริ่มเก็บข้าวของ
เขาสวมรองเท้าบูทคอมแบทตลอดเวลา
แถมฟางผิงยังสวมสนับมือคลาสดีด้วย
น้ำเยียวยาที่จัดสรรไว้และยาปราณและเลือดขั้นสองหนึ่งเม็ดถูกเก็บไว้ข้างตัว เขาอาจไม่ห่วงเรื่องอัตราผลาญปราณและเลือด แต่ยาปราณและเลือดขั้นสองก็ทำให้ระเบิดปราณและเลือดที่ทรงพลังได้ในเวลาสั้นๆ
วันนี้ ปราณและเลือดของฟางผิงมาถึง 290แคลแล้ว!
ปราณและเลือดขนาดนี้ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นต้นทั่วๆไป มันสูงยิ่งกว่าอีก
ตราบใดที่ทีมไม่ตื่นตระหนกหรือไม่ทำพลาดเมื่อต้องเผชิญกับผู้ฝึกยุทธขั้นสอง มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสสู้เลย
ความกังวลเพียงอย่างเดียวก็คือทีมมือใหม่นี้จะแตกตื่นเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ มันก็เป็นปัญหาแล้ว ไอลีนโนเวล
…
วันที่ 3 สิบโมงเช้า ทั้งทีมมาถึงหมู่บ้านสือชิง เขตตงเจียว
แม้ว่าหมู่บ้านสือชิงจะตั้งอยู่ในเขตตงเจียว แต่มันก็ยังเป็นแค่หมู่บ้าน แม้ว่ามันจะแตกต่างไปจากหมู่บ้านี่พวกเขาเห็นตามชนบทก็ตาม ในเซี่ยงไฮ้ แม้แต่ชานเมืองก็ครึกครื้น
มีโรงแรม มีร้านอาหาร มีโรงงานอยู่ในหมู่บ้านสือชิง มันพัฒนามากกว่าเมืองเล็กๆบางแห่งด้วยซ้ำ
หมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือที่สือเฟิงซ่อนตัวอยู่ จากการคาดการณ์ของพวกเขา สือเฟิงน่าจะวางแผนหลบหนีทางทะเล
เหตุผลที่ทำไมกองทัพถึงส่งภารกิจให้มหาลัยวิชายุทธอาจเป็นเพราะช่วงนี้ถ้ำใต้ดินกำลังมีปัญหา และพวกเขาก็กำลังขาดแคลนกำลังคน นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่จัดการคดีนี้ด้วยตัวเอง
ฟางผิงสงสัยว่าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดที่สือเฟิงสังหารไปน่าจะเกี่ยวข้องกับกองทัพ
ไม่งั้นกรมสืบสวนคงเป็นคนจัดการคดีนี้
ถ้าเขาคาดการณ์ถูก งั้นความสามารถของสือเฟิงก็ไม่อ่อนแอ เพราะผู้ฝึกยุทธจากกองทัพไม่มีผู้ใดอ่อนแอ
เมื่อพวกเขามาถึงหมู่บ้านสือชิง ฟางผิงก็ติดต่อกรมทหาร อีกฝ่ายพูดอยู่ไม่กี่คำ บอกรายละเอียดที่อยู่ ตามด้วยคำเตือนและก็วางสาย
ฟางผิงวางสาย เขาคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะถามโจวสือผิง อาจารย์ พวกเขาบอกตำแหน่งด้วย เป็นไปได้เหรอที่กองทัพจัดการผู้ฝึกยุทธขั้นสองขั้นสามไม่ได้?
ภารกิจเหล่านี้มีไว้ให้เด็กใหม่ฝึกฝนเก็บประสบการณ์เหรอ?
นอกจากเรื่องแทรกแซงภารกิจ โจวสือผิงจะตอบคำถามทุกอย่างโดยไม่เก็บงำ เมื่อได้ยินคำถาม เขาก็ยิ้ม มันเป็นส่วนนึง ส่วนนึงเพื่อให้ฝึกฝนเก็บประสบการณ์ อีกจุดประสงค์นึงก็เพื่อเป็นการเตือน!
เตือน?
ถูกต้อง!
โจวสือผิงพูดอย่างเคร่งขรึม เมื่อผู้ฝึกยุทธมีความแข็งแกร่งล้ำเลิศ จิตใจพวกเขาอาจมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
พวกเขาจะคิดว่าตนเองมีอำนาจทุกอย่างและเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ ฆ่าคนสองสามคนจะไปมีปัญหาอะไร?
โดยเฉพาะนักศึกษาใหม่ พวกเขาจะมีความคิดเช่นนี้ได้ง่ายมาก
การส่งภารกิจแบบนี้ให้นักศึกษาใหม่เป็นการบ่งบอกให้พวกเธอรู้ว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธ เมื่อกระทำผิด พวกคุณก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเช่นเดียวกัน!
ถ้าพวกเธอทำตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร สักวันหนึ่งพวกเธอก็จะกลายเป็นหนึ่งในภารกิจเหล่านี้!
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย ข้อสงสัยของเขาได้รับคำตอบแล้ว
แน่นอนมันเกี่ยวข้องกับการขาดแคลนกำลังคน ตอนนี้ทางเข้าถ้ำใต้ดินหลายแห่งไม่สงบ เนื่องจากนักศึกษามหาลัยวิชายุทธว่างงาน ความช่วยเหลือของพวกเขาจึงช่วยประหยัดเวลาลงไปมาก
หลังได้รับตำแหน่งอีกฝ่าย เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องถามใครอีก
ฟางผิงมองจ้าวเสวี่ยเหมยและทีม เราลงมือตอนกลางคืนดีกว่า ช่วงกลางวันมีคนเยอะเกินไป มันง่ายมากที่จะเกิดอิทธิพลเชิงลบ
ลงไป ฉันกับจ้าวเสวี่ยเหมยจะไปตรวจสอบสถานการณ์
มีคนในทีมคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดออกมา ถ้าเราทำภารกิจตอนกลางคืน มันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ?
ถ้าอีกฝ่ายหนีไป เราไม่มีความสามารถมองเห็นตอนกลางคืนนะ
เนื่องจากเรามีตำแหน่งอีกฝ่ายอยู่ในมือ เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยงโชคเหมือนกับที่ทำกับหลินจวินเมื่อวาน
ช่วงกลางวัน หลายคนออกไปทำงาน พวกเขาไม่อยู่บ้าน ฉันว่าลงมือตอนกลางวันดีกว่า
ช่วง 3-4 โมงเย็นไม่ค่อยมีคนเหมือนกัน ยังไงมันก็พูดยากว่าเขาจะอยู่บ้านตอนกลางคืนไหม เพราะเขาถูกหมายจับ มีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าที่เขาจะซ่อนตัวอยู่ที่บ้านช่วงกลางวัน
ฟางผิงชำเลืองมอง ผู้พูดคือจ้าวชิง ความสามารถของเขาไม่เลว นอกจากนี้เขายังเป็นคนแรกที่พบหลินจวินด้วยเช่นกัน
เขาค่อนข้างใจเย็น ไม่ทำตัวผลีผลาม
ความเห็นของเขาครั้งนี้ต่างจากถังซ่งถิง
หลังพิจารณาเพิ่มเติม ฟางผิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและเห็นด้วย ที่นายพูดมาก็มีเหตุผล เอาแบบนี้ ตอนบ่ายเราจะลงมือกัน!
เนื่องจากเราลงมือช่วงกลางวัน ถ้าเราไปที่นั่นหลายครั้งเกิน มันจะทำให้เขาตื่นตัวและหลบหนีไป
ลงมือทันทีเมื่อพบเห็นมัน
หลังหารือกัน ทั้งทีมก็ไม่ได้ถกเถียงกันอีก พวกเขาก็ไปหาโรงแรมพัก