World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 137 นักศึกษาวิชายุทธมหาลัยอื่น
วันที่ 17 พฤศจิกายน
ทีมฟางผิงพบเป้าหมายภารกิจอีกครั้ง
มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ติดตามฟางผิงมารวมถึงจ้าวชิงด้วย ก่อนที่พวกเขาจะทันเข้าร่วมต่อสู้ พวกเขาก็เห็นร่างของฟางผิงใช้ปลายเท้าแทงใส่ลำคอของอีกฝ่ายในแง่มุมที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชั่วพริบตา
แค่ก…
ปัง!
ภายในไม่กี่วิ พวกเขาก็เห็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดตรงหน้าล้มลงชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น
สีหน้าของจ้าวชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะพูดออกมาเสียงเบา หัวหน้า นาย…
ช่วงนี้ฉันพัฒนาขึ้นนิดหน่อย ฟางผิงกล่าวอย่างเฉยเมย แต่ในสายตาของจ้าวชิงและคนอื่นๆ มันเป็นมากกว่าพัฒนาขึ้นนิดหน่อย
ในคลาสฝึกพิเศษ ความแข็งแกร่งของฟางผิงมักจะอยู่เหนือกว่าพวกเขาเสมอ กระนั้นเมื่อฟางผิงสู้กับขั้นหนึ่งสูงสุดก่อนหน้านี้ การต่อสู้ก็กินเวลานานกว่า แถมยังต้องมีพรรคพวกเพื่อแก้ไขการต่อสู้
ทว่าตอนนี้มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเขาเผชิญหน้ากับขั้นหนึ่งสูงสุดตอนนี้ มันเป็นการสังหารทันที แน่นอนมันอาจเป็นไปได้เหมือนกันว่าเป้าหมายคนปัจจุบันอ่อนแอ
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร อาจารย์ที่ติดตามพวกเขามาก็ปรากฏตัวขึ้นมา
หลังพิจารณาอยู่ครู่นึง เขาก็หันไปมองฟางผิงและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง เธอเปิดฉากโจมตีได้เด็ดขาดมากและยังสังหารในกระบวนท่าเดียว ตอนนี้เธอเป็นราชาเด็กใหม่สมชื่อแล้ว
ฟางผิงไม่ได้ตอบอะไร มันแลกมาด้วยชีวิต
นับตั้งแต่วันที่สอง ผ่านมาครึ่งเดือน เขาทำภารกิจไปทั้งหมด 7 ภารกิจ เขาสังหารไป 4 คน จับกุม 3 คน
รวมกับการต่อสู้ที่มหาลัย นับตั้งแต่ที่เข้ามหาลัย มันผ่านมาไม่ถึงสามเดือน เขาสังหารไปแล้ว 6 คนกับมือ!
ก่อนเข้ามหาลัยวิชายุทธ ความคิดที่จะฆ่าใครสักคนไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลย
หลังมีประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า จิตใจของฟางผิงก็ค่อยๆเปลี่ยนไป รูปแบบการต่อสู้ก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ความกลัวตอนแรกจางหายไปเปลี่ยนเป็นความคุ้นชินกับความรุนแรง การโจมตีของเขารุนแรงและรัดกุม มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในทุกภารกิจที่ผ่านมา
อาจารย์ขั้นห้ากล่าวอีกครั้ง สำหรับภารกิจนี้ ฟางผิงได้ 60% คนอื่นจะแบ่งที่เหลือเท่าๆกัน
จ้าวชิงและอีกสองคนไม่ได้บ่นอะไร ฟางผิงก็เช่นกัน
แม้ว่าฟางผิงจะสังหารเป้าหมาย แต่พวกจ้าวชิงก็ลงแรงค้นหาเต็มที่
บางครั้งส่วนที่ยากที่สุดของภารกิจไม่ใช่การสังหาร แต่เป็นการค้นหา
เป้าหมายบางคนที่พวกเขาจับกุมก็ซ่อนตัวอยู่ลึกมาก และตำแหน่งที่ได้รับมาก็เป็นการประมาณคร่าวๆเท่านั้น ความสามารถของทีมที่ค้นหาเป้าหมายได้รวดเร็วต่างหากที่เป็นสาเหตุหลักที่ฟางผิงทำภารกิจสำเร็จถึง 7 ภารกิจในครึ่งเดือน
นอกจากสองภารกิจแรก ฟางผิงสะสมคะแนนมาห้าภารกิจ ซึ่งเขายังไม่ได้กลับไปรับคะแนนที่มหาลัย
ฟางผิงคำนวณในใจ ห้าภารกิจทำให้เขาได้คะแนนทั้งหมด 15 คะแนนโดยไม่คำนึงถึงสัญญาที่จะมอบรางวัลเป็นสองเท่าของมหาลัย ด้วยเหตุนี้ เขามีคะแนนรวม 30 คะแนนแล้ว
เขาได้คะแนนในอัตราที่เร็วมาก
ฟางผิงนำคนอื่นๆออกจากนิคมอุตสาหกรรมพลางคิดเรื่องต่างๆไปด้วย
นอกนิคม รองผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนท้องที่ก็กำลังพาคนบางส่วนอยู่คุ้มกันด้านนอก เมื่อเขาเห็นฟางผิงเดินออกมา เขาก็พูดออกมาทันทีด้วยความตื่นเต้น คุณฟาง เป้าหมาย…
เป้าหมายตายแล้ว ฟางผิงตอบ เขาอดชำเลืองมองรองผู้อำนวยการไม่ได้
เขาเป็นแค่รองผู้อำนวยการของกรมสืบสวนของเขตเล็กๆ เมื่อพิจารณาขนาดของมณฑล ผู้อำนวยการไม่ได้แข็งแกร่งเลย
ฟางผิงไม่เห็นรองผู้อำนวยการอยู่ในสายตา แม้ว่ารองผู้อำนวยการจะเป็นขั้นหนึ่งสูงสุดก็ตาม
ตัดสินจากรูปร่างอีกฝ่าย เขาอาจต่อสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
สมัยนี้มีผู้ฝึกยุทธทั่วไปแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆอยู่ในใจ ด้วยชีวิตที่สงบสุขตลอดหลายปีมานี้ ผู้ฝึกยุทธทั่วไปก็ผุดออกมาเหมือนวัชพืช ในขณะเดียวกันความอันตรายของถ้ำใต้ดินก็เพิ่มขึ้นไปพร้อมกัน
สถานการณ์เป็นแบบนี้ เบื้องบนจะทำการเปลี่ยนแปลงแบบไหนนะ?
อันที่จริงปัจจุบันฟางผิงก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง บางทีมันเป็นเพราะความอันตรายของถ้ำใต้ดินที่เพิ่มขึ้นทำให้นโยบายมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ในสองวันนี้ ความเห็นของสาธารณะที่มีอยู่บนอินเตอร์เน็ตเริ่มปั่นป่วนโกลาหล
จู่ๆก็มีข่าวลือว่ารัฐบาลอาจปรับใช้นโยบายใหม่ในอนาคต อันดับของผู้ฝึกยุทธในสังคมจะไม่ตัดสินจากปราณและเลือดหรือจำนวนขัดเกลากระดูกอีก
ก่อนหน้านี้อันดับของผู้ฝึกยุทธในสังคมจะค่อนข้างตรงไปตรงมา สำหรับเหล่าผู้ที่ต่ำกว่าขั้นหนึ่ง ปราณและเลือดจะเป็นปัจจัยหลัก สำหรับผู้ที่อยู่เหนือขั้นหนึ่ง มันจะนับที่จำนวนการขัดเกลากระดูก
ส่วนระบบอันดับนอกเหนือจากขัดเกลากระดูก ฟางผิงในปัจจุบันไม่ทราบว่ามันถูกกำหนดไว้อย่างไร
พูดได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับมาตรฐานอย่างปราณและเลือด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้จริงเลย
ตอนนี้กระทรวงต่างๆกำลังเจรจาข้อตกลงเพื่อเตรียมเปลี่ยนระบบและสร้างอันดับขึ้นมาใหม่
เมื่อนโนบายใหม่ถูกนำมาใช้ มีแนวโน้มว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไปหลายคนจะสูญเสียสถานะและอันดับในปัจจุบันไป
ไม่กี่วันมานี้ โลกโซเชียลปั่นป่วนวุ่นวาย ในชีวิตจริงสถานการณ์ก็เป็นเหมือนกัน
ปัจจุบัน ผู้ฝึกยุทธทั่วไปหลายคนครอบครองตำแหน่งสูงส่งในโลกธุรกิจ
เมื่ออันดับของพวกเขาถูกพิจารณาใหม่ พวกเขาจะยังรักษาสถานะไว้ได้อย่างไร?
นอกจากผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่รู้สึกไม่พอใจแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้บางส่วนก็พบว่าการเปลี่ยนแปลงไม่เหมาะสม
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปบางส่วนครอบครองตำแหน่งสูงได้ก็เพราะความสามารถอื่น ถ้าสถานะผู้ฝึกยุทธของพวกเขาหมดไป นโยบายอันเก่าบางนโยบายก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงนี้มากพอควรเลย
บางคนก็แนะนำให้แบ่งทหารและพลเรือนออกจากกัน ผู้ฝึกยุทธควรทำงานด้านทหาร ส่วนการบริหารงานพลเรือนจะเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ
ข้อเสนอนี้ถูกปัดตกไปเช่นกัน
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นจะยอมถูกปกครองโดยนักวิชาการที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่งั้นเหรอ?
พวกเขาจะยอมรับบทเป็นมืออันธพาลและเสี่ยงอันตรายจากถ้ำใต้ดินงั้นเหรอ?
บางทีอาจจะมีบ้าง แต่ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเป็นแน่
ตอนนี้ความเปลี่ยนแปลงยังอยู่ในช่วงพัฒนา มันไม่ได้มีความหมายต่อฟางผิงมากนัก
ฟางผิงดึงสติกลับมา เขายังต้องรับมือกับการสนทนาจากรองผู้อำนวยการที่กระตือรือร้นท่านนี้ด้วย
หลังปฏิเสธคำเชิญอาหารค่ำคืนนี้ ฟางผิงก็ไปรวมกับพวกจ้าวชิงและจากไปอย่างรวดเร็ว
…
ณ โรงแรมในเขต
ฟางผิงโทรหาจ้าวเสวี่ยเหมยและสอบถามความคืบหน้าทางนั้น
ทางฝั่งจ้าวเสวี่ยเหมย หลังแยกกับฟางผิง พวกเขาก็ทำสำเร็จไปสี่ภารกิจ น้อยกว่าฟางผิงหนึ่งภารกิจ สมาชิกบางคนบาดเจ็บเล็กน้อย
หลังจ้าวเสวี่ยเหมยพูดมาสองสามประโยค ฟางผิงก็ได้ยินถังซ่งถิงพูดแทรกขึ้นมา ฉันถามคนอื่นมานิดหน่อย ดูเหมือนทีมฟู่ชางติ่งจะสะสมคะแนนได้ 90 คะแนนแล้ว ไม่นับรวมที่มหาลัยเพิ่มรางวัลเป็นสองเท่า!
ฝั่งเฉินหยุนซีได้น้อยกว่านั้นหน่อย พวกเธอสะสมได้ 70 คะแนน
ทีมจ้าวเหล่ยได้เยอะสุด แม้จะมีคนตายไปหนึ่งคน แต่หลังรักษาบาดแผล พวกเขาก็รับภารกิจขั้นสองต่อ พวกเขาสะสมได้ 100 คะแนน!
ส่วนหยางเสี่ยวม่านได้พอๆกับฟู่ชางติ่ง…
ส่วนพวกเรา เมื่อเอาคะแนนของทั้งสองทีมมารวมกัน เรามีอยู่ 94 คะแนน นี่รวมกับ 30 คะแนนที่ได้มาจากสือเฟิงแล้ว ถ้าไม่นับคะแนนนี้ เรานำหน้าเฉินหยุนซีนิดหน่อยเอง…
ครั้งก่อน ภารกิจของสือเฟิงได้เพิ่มเป็นสองเท่า พวกเขาได้มา 60 คะแนน ซึ่งเกินกว่ารางวัลของขั้นสองไปไกล ต่อให้เป็น 30 คะแนนก็เกินคุ้มแล้ว
ถ้าไม่รวมเพิ่มพิเศษมา 15 คะแนน ฟางผิงจะได้คะแนนน้อยกว่า 80 คะแนน
ในบรรดา 5 ทีม คะแนนเท่านี้ไม่สูงเลย
เวลานี้ถังซ่งถิงดูกังวลเล็กน้อย
พวกเขามีเวลาจนถึงสิ้นเดือน พวกเขาเสียเวลาไปกว่าครึ่งแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มีโอกาสที่พวกเขาจะถูกทีมอื่นแซงเอา
ฟางผิงโอดครวญอยู่ครู่นึงแล้วกล่าว สรุป นายอยากจะพูดอะไร…
ฉันกำลังคิดแบบนี้ เราจะแบ่งเป็นสองทีม แต่ไม่ใช่ทีมแบบนี้
ฉัน นาย จ้าวเสวี่ยเหมย พวกเราสามคนจะตั้งทีมสามไปทำภารกิจขั้นสอง
พวกจ้าวชิงจะตั้งอีกทีมไปทำภารกิจขั้นหนึ่ง
ความแข็งแกร่งของเราเพิ่มขึ้นมาก จากรูปแบบทีมในตอนนี้ การพาพวกจ้าวชิงไปทำภารกิจขั้นสองไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่
อีกวิธีนึงก็คือ เราจะแบ่งทีมให้เจาะจงขึ้นหน่อยเป็นสามทีม
พวกโจวเยว่หงจะรับผิดชอบด้านรวบรวมข้อมูลและเจรจากับกรมสืบสวนและกองทัพเป็นหลักเพื่อคอยช่วยเราค้นหาคน
ส่วนเรา พวกเราจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ เราแค่รอข่าวและมุ่งหน้าตรงไปหาเป้าหมายเลย
นายคิดว่าไง?
หน้าที่ของทีมถูกถังซ่งถิงแบ่งออกมาใหม่ นี่ถือเป็นการเติบโตเช่นกัน
จนถึงตอนนี้ อย่างพวกจ้าวชิงที่ติดตามฟางผิง พวกเขามีส่วนร่วมได้ยาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาจะได้รับการแบ่งสรรรางวัลน้อยลงและจะไม่มีโอกาสได้ประสบกับการต่อสู้จริง
ฟางผิงพิจารณาอยู่ครู่นึงและพยักหน้า ได้ มารวมตัวกันพรุ่งนี้ เราจะได้คุยรายละเอียดกัน ต่อให้เราทำเรื่องโลจิสติกส์ แต่เราก็ต้องหารือกันว่าจะแบ่งงานกันยังไง ไม่งั้นมันจะลำบากเอา
ตกลง ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ เรามาเจอกันคืนนี้เลย!
พวกเขาตัดสินใจมารวมตัวกันที่เมืองเจียชินใกล้เซี่ยงไฮ้กันคืนนี้ ไม่นานพวกฟางผิงก็ขับรถไปเจียชิน
…
ณ เมืองเจียชิน
โรงแรมแห่งหนึ่ง
เมื่อฟางผิงกับเพื่อนๆมาถึง พวกจ้าวเสวี่ยเหมยก็มาถึงก่อนแล้ว
ทุกคนตรงไปยังห้องส่วนตัวของร้านอาหาร
เมื่อพวกเขามาถึงห้องส่วนตัว ถังซ่งถิงก็กล่าว ทุกคนน่าจะรู้แล้วว่าตอนนี้คะแนนเราอยู่อันดับสอง แต่จากผลงานในปัจจุบัน เราคงรักษาตำแหน่งได้ยาก
ต่อให้เราไม่ได้เข้าร่วมงานประลอง แต่ทุกคนก็ต้องการคะแนนเพิ่ม
อย่างแรกเลย รางวัลอย่างน้อย 100 คะแนน ถ้าแบ่งเท่ากันทุกคน เราจะได้กันคนละ 10 คะแนน จนถึงตอนนี้ไม่นับที่มหาลัยเพิ่มรางวัลให้สองเท่า พวกเรายังได้คะแนนกันไม่ถึง 10 คะแนนด้วยซ้ำ
เพราะงั้น…
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จ้าวชิงก็พูด หัวหน้าบอกข้อเสนอของนายกับเราแล้ว พูดตามตรง เราก็รู้สึกเหมือนกันว่าเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้
ความแข็งแกร่งของหัวหน้าเพิ่มขึ้นเร็วมาก ตอนนี้เขากระทั่งจัดการกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งได้โดยไม่ต้องให้เราช่วย
ต่อให้เราอยากร่วมทำภารกิจขั้นสองด้วย เราก็คงมีบทบาทไม่มาก ดีไม่ดีอาจเป็นตัวถ่วงด้วยซ้ำ
ย้อนกลับไปตอนสู้กับสือเฟิง พวกเราหลายคนทำอะไรไม่ได้เลย
เวลานั้นเองฟางผิงก็กล่าวขึ้นมา ทุกคนเข้าใจก็ดี ดังนั้นต่อไป จ้าวเสวี่ยเหมย ถังซ่งถิงและก็ฉันจะตั้งทีมสามคนลุยภารกิจขั้นสอง
จ้าวชิง อู๋เค่อเผิง จางห่าว…พวกนายห้าคนไปรับภารกิจขั้นหนึ่ง
โจวเยว่หงกับจางผิง พวกเธอสองคนมีหน้าที่ให้ข้อมูลกับเราและติดต่อกับกรมสืบสวนและกรมทหารในท้องที่เป็นหลัก
พวกเราต่างมีส่วนร่วมในภารกิจ คะแนนจะถูกแบ่งตามผลงาน ส่วนโจวเยว่หงกับจางผิง ทุกครั้งที่เราทำภารกิจสำเร็จ พวกเธอจะได้รางวัล 10% ทุกคนเห็นด้วยไหม?
10% ไม่ต่ำ ปกติแล้วเมื่อโจวเยว่หงและจางผิงอยู่ในทีม พวกเขาอาจได้ไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ
ตอนนี้พวกเขาแค่ต้องรวบรวมข้อมูลก็ได้ 5% แล้ว สาวๆทั้งสองจึงไม่คัดค้าน
จ้าวชิงกับคนอื่นๆต่างก็ส่ายหน้า ไม่มีใครคัดค้านเช่นกัน
ดี เรามาเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ตอนนี้ยังมีเวลาอีกประมาณสิบวันกว่าจะถึงสิ้นเดือน จะดีที่สุดถ้าแต่ละทีมทำภารกิจสำเร็จมากกว่าสามภารกิจ!
ถ้าโชคไม่เข้าข้างพวกเขาและหาตัวเป้าหมายไม่พบ กว่าภารกิจจะสำเร็จต้องใช้เวลานานเลยทีเดียว
ในสถานการณ์แบบนี้ ฟางผิงจึงกล่าว ถ้าเราไม่พบเป้าหมายในสามวัน เราควรยกเลิกภารกิจแล้วรับภารกิจใหม่ แน่นอนนายจะไม่ยกเลิกภารกิจก็ได้ ฉันปรึกษากับเจ้าหน้าที่แล้ว ขอแค่เราทำภารกิจให้สำเร็จในหนึ่งเดือนก็พอ เราจะกลับมาทำภารกิจต่อหลังเสร็จการจัดอันดับสิ้นเดือน
ทั้งกลุ่มพยักหน้าอีกครั้งและเริ่มหาภารกิจ
ฟางผิงค้นหาภารกิจ ไม่ช้าเขาก็พบภารกิจที่รู้สึกว่าค่อนข้างเหมาะสม
ชื่อ : เหยาจินเฉิง
เพศ : ชาย ไอรีนโนเวล
อายุ : 40 ปี
ความแข็งแกร่ง : ขั้นสอง ขัดเกลากระดูกขาและกระดูกมือซ้าย…
ตำแหน่ง : เมืองซีเจียง
รางวัล : 15 คะแนน (หมายเหตุ : เป้าหมายอาจเป็นสาวกลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์และอาจมีผู้ฝึกยุทธคนอื่นจากลัทธิอยู่ด้วย มีรางวัลเพิ่มหากสังหาร)
ลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์?
ฟางผิงเห็นข้อมูลนี้และสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็เจอ!
ก่อนหน้านี้เขาได้พบกับสาวกลัทธิในเมืองรุ่ยหยาง แต่จากนั้นมาเขาก็ไม่ได้ยินเรื่องนี้เลย
เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคนแบบนั้นอีกขณะหาภารกิจ
สีหน้าของจ้าวเสวี่ยเหมยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน สาวกของลัทธิมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ เธอกล่าวเบาๆ สิ่งสำคัญคือองค์กร ฉันห่วงว่าองค์กรจัดชุมนุมที่นั่นกะทันหันและทำให้เราตกอยู่ในอันตราย
ถ้าเราหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้ งั้นสาวกก็อาจไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น นอกจากนี้ถ้าเราล่าสาวกลัทธิขั้นสองแบบนี้ เราอาจเจอกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง 2-3 คนด้วยเหมือนกัน พวกมันเพิ่มคะแนนให้เราได้อีก
เมืองซีเจียง…เมืองซีเจียงอยู่ไม่ไกลจากหนานเจียง
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมืองซีเจียงไม่ควรเป็นแหล่งกบดานของอีกฝ่าย ถ้าเป็นแหล่งกบดานของพวกมัน พวกมันคงไม่ปล่อยให้ผู้ฝึกยุทธขั้นสองของพวกมันถูกสังหารแน่
อย่าห่วงเรื่องนี้มากเลย เราจะไปเมืองซีเจียงกันพรุ่งนี้และตัดสินใจต่อตามสถานการณ์
พวกเขาพยักหน้า พวกเขาจะพิจารณาว่าจะทำยังไงต่อหลังไปถึงเมืองซีเจียง มันคงไม่น่าเป็นไปได้ที่สาวกลัทธิจะไปชุมนุมกัน ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเขาก็แค่ยกเลิกภารกิจและปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของกองทัพหรือกรมสืบสวนแทน
…
วันถัดมา ทีมฟางผิงก็รีบมาเมืองซีเจียง
แม้ว่าจะยังไม่มีข่าวจากโจวเยว่หง แต่ฟางผิงก็ไม่รีบร้อน เขาไปหาโรงแรมก่อน
เมื่อพวกเขามาถึง ฟางผิงก็ขมวดคิ้วและชำเลืองมองไปที่ข้างประตู
ด้านนอก มีคนกลุ่มนึงกำลังเข้าไปในโรงแรม
คนกลุ่มนี้หนุ่มมาก พวกเขามีกันหกคน แถมยังเป็นผู้ฝึกยุทธกันทุกคน
ผู้ฝึกยุทธไม่ใช่หัวผักกาด หายากที่พวกเขาจะมากันเป็นกลุ่มแบบนี้
ฟางผิงสังเกตผู้ฝึกยุทธทั้งหกอยู่ครู่นึง หลังจากสังเกตได้คร่าวๆ เขาก็สันนิษฐานว่าพวกเขาอาจเป็นนักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธอื่น
กองทัพก็มีทีมแบบนี้เหมือนกัน แต่มันเป็นเรื่องง่ายที่จะแยกแยะระหว่างคนจากกองทัพและนักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธ
หลังฟางผิงชำเลืองมองดู เขาก็รีบเบนสายตากลับ เขารับกุญแจห้อง รอจนกว่าพวกเขาจะขึ้นลิฟต์ถึงจะเอ่ยถามขึ้นมา พวกที่พึ่งเข้ามามาจากมหาลัยวิชายุทธไหนกัน?
ผู้ฝึกยุทธหกคนปรากฏในคราเดียว ถ้าพวกเขาเป็นนักศึกษาปีสี่ มันยังพอเข้าใจได้
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นนักศึกษาใหม่ มันไม่ปกติ
ยกเว้นโม๋อู่และจิงอู่ มหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปในเวลานี้แทบไม่มีนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ
แน่นอน สถานการณ์ต่างจากปีที่แล้ว มหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปได้รวบรวมทรัพยากรและฝึกฝนผู้ฝึกยุทธรุ่นใหม่มากมาย
จ้าวเสวี่ยเหมยกับถังซ่งถิงก็สังเกตเห็นพวกเขาเช่นกัน หลังครุ่นคิด จ้าวเสวี่ยเหมยก็กล่าว เมืองซีเจียงอยู่ในมณฑลตงอู๋ ในตงอู๋มีมหาลัยวิชายุทธต๋งอู่และมหาลัยอื่นอีกสองมหาลัยที่สอนวิชายุทธ
นอกจากนี้ เราอยู่ไม่ไกลจากหนานเจียง ที่หนานเจียงก็มีมหาลัยอื่นอีกสามมหาลัยเหมือนกัน
มหาลัยที่มีแค่สาขาวิชายุทธไม่น่ามีผู้ฝึกยุทธมากขนาดนี้ แถมพวกเขาต่างก็เป็นนักศึกษาใหม่ พวกเขาอาจมาจากมหาลัยวิชายุทธตงอู๋หรืออาจเป็นมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงก็ได้
หืม? มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
ฟางผิงมีความรู้สึกซับซ้อนกับมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง…
เหตุผลนึงเป็นเพราะ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเป็นมหาลัยวิชายุทธบ้านเกิดเขา เขาเคยเตรียมเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงมาก่อน
นอกจากนี้เพื่อนร่วมชั้นของฟางผิง รวมถึงหวังจินหยางต่างก็อยู่ที่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางผิงพบกับนักศึกษามหาลัยวิชายุทธอื่น
แน่นอน เขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายมาจากไหน แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าพวกเขาเป็นนักศึกษาใหม่ งั้นเขาก็อาจได้พบกับอีกฝ่ายอีกครั้งในงานประลองที่ใกล้จะถึงนี้
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็กล่าว เราจะกลับไปคุยกับพวกเขา ฉันเกรงว่าพวกเขาอาจกำลังทำภารกิจเหมือนกัน ถ้าภารกิจขัดกัน เราคงมีปัญหา
เรื่องแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเขารับภารกิจแล้ว ภารกิจจะถูกล็อค
อย่างไรก็ตามถ้าเป้าหมายของอีกทีมไม่ใช่เหยาจินเฉิง แต่เป็นคนที่เกี่ยวข้อง สองฝ่ายก็อาจปะทะกัน
ถังซ่งถิงพยักหน้าเล็กน้อย ฉันรู้สึกได้ไม่ชัดเจนนัก ฟางผิง พวกเขาแข็งแกร่งประมาณไหน?
คนอื่นๆอยู่ระดับกลางๆ แต่ปราณและเลือดของหัวหน้าอาจสูงประมาณ 250แคล
แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว? ถ้าพวกเขาเป็นนักศึกษาเก่า งั้นเราคงไม่ต้องกังวล แต่ถ้าพวกเขาเป็นนักศึกษาใหม่ งานประลองปีนี้ก็เริ่มน่ากลัวแล้ว
ถังซ่งถิงถอนหายใจ ตอนนี้เขามีปราณและเลือดเกือบ 250แคล แต่เขาเป็นนักศึกษาของโม๋อู่
ถ้ามหาลัยวิชายุทธอื่นมีคนที่มีปราณและเลือดระดับนี้ได้ มันคงน่ากลัวมาก