World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 152 เธอดูผอมลง!
โม๋อู่จบลงด้วยชนะสี่ตาจากห้าตา
นอกจากจินเหลยที่แพ้ไป ที่เหลือคือชนะรวด แน่นอนหลี่จ้าวซวี่กับสวี่อี้ข่ายไม่ได้ชนะมาง่ายๆ
ส่วนหัวซือ มีเพียงเฉินหงเหว่ยเท่านั้นที่ต่อสู้ได้ไม่เลว
ปัจจุบัน ยังบอกไม่ได้ว่าหัวซือยังมีอัจฉริยะคนอื่นที่ยังไม่ได้สู้ไหม
แต่โม๋อู่ไม่สนใจ สิบคนที่เป็นตัวแทนแปดมหาลัยพันธมิตร มีนักศึกษาหัวซือคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาส
หากเฉินหงเหว่ยไม่ได้เข้าทีมตัวจริง งั้นก็แปลว่าหัวซือมีนักศึกษาที่แข็งแกร่งกว่านี้ซุกซ่อนไว้
ถ้าเขาเข้าทีมตัวจริง งั้นก็แปลว่าหัวซือไม่มีอะไรเหลือแล้ว
เนื่องจากเฉินหงเหว่ยออมมือไว้เมื่อกี้ ความเป็นไปได้ที่เขาจะได้เข้าร่วมงานประลองจึงมีสูง ไม่งั้นคงไม่จำเป็นต้องประมือกันแล้ว บางอย่างก็สามารถอนุมานได้จากการประลองเพียงนัดเดียว
…
ระหว่างประลองกระชับมิตร นอกจากฟู่ชางติ่งแล้ว ไม่มีสมาชิกทีมตัวจริงคนไหนเข้าร่วมประลอง
ยิ่งกว่านั้นฟู่ชางติ่งยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะรู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโม๋อู่
วันที่ 3 มกราคม นักศึกษาโม๋อู่ไม่ได้ไปประลอง
วันที่ 4 มกราคม เป็นตาหลัวอี้ชวนเป็นผู้นำทีม เขาพาทุกคนไปยังมหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนาน
แม้แต่ครั้งนี้ เฉินหยุนซีก็ไม่ได้ขึ้นเวที
จ้าวเสวี่ยเหมยเป็นตัวแทนทีมตัวจริงขึ้นประลองกับมหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนาน แม้ว่ามันจะเป็นแค่การประลองอุ่นเครื่อง แต่จ้าวเสวี่ยเหมยก็ลงมืออย่างจริงจัง นักศึกษาใหม่จากมหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนานแทบโดนเตะก้านคอจนทำให้นักศึกษาธรรมดาหลายคนหวาดกลัวและกรีดร้องออกมา
เฉินหยุนซีหน้าซีดตลอดการเดินทาง เธอกัดริมฝีปากจนหลั่งเลือด!
หยางเสี่ยวม่านกับจ้าวเสวี่ยเหมยรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเธอ ฟางผิงบอกได้ว่ามหาลัยพยายามกระตุ้นหญิงสาวโดยตั้งใจ
เฉินหยุนซีแข็งแกร่ง แม้แต่จ้าวเสวี่ยเหมยและถังซ่งถิงก็อาจเทียบกับเธอไม่ติด
เธอเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขัดเกลาสองครั้ง แม้ไม่ทราบว่าเธอฝึกวิชาต่อสู้ไปถึงขั้นไหน แต่ตัดสินจากท่าทีสงบของไป๋รั่วซี ฝีมือของเธอน่าจะไม่เลว
ไป๋รั่วซีเป็นอาจารย์ของเฉินหยุนซี ถ้าศิษย์ของเธออ่อนแอจริงๆ อาจารย์อย่างเธอคงไม่นั่งดูดายเฝ้าดูมหาลัยกดดันให้ลูกศิษย์ไปตายแน่นอน
แรงกดดันที่ทับถมเฉินหยุนซีเป็นสัญญาณอย่างชัดเจนว่าพลังแฝงของเธอไม่ใช่เล่นๆ
…
ณ มหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนาน โม๋อู่ชนะสามในห้านัด หลี่จ้าวซวี่กับจินเหลยพ่ายแพ้
ความแข็มหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนานกับมหาลัยครุศาสตร์หัวตงมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกัน ฟางผิงกับพวกเป็นผู้ชมอีกครั้ง
…
หลังประลองอุ่นเครื่องไปสองนัด มหาลัยก็ไม่ได้จัดงานประลองอีก
ไม่กี่วันข้างหน้านี้ คนที่พักผ่อนก็พักผ่อน คนที่ไปหย่อนใจก็หย่อนใจ
หลังกลับมหาลัย ฟางผิงรู้สึกว่าเขาได้รับประโยชน์มาบ้างจากการดูการประลองตลอดไม่กี่วันนี้
นักศึกษาเหล่านี้อาจไม่แข็งแกร่งเท่าเขา แต่ฟางผิงก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ความรู้อะไรก็ไม่ได้มีมาก ได้มองการต่อสู้ของคนอื่นทำให้เขาหยั่งรู้อะไรได้บ้าง
นักศึกษาที่มีฝีมือในมหาลัยวิชายุทธทุกแห่งล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะตัว
นักศึกษาที่เอาชนะหลี่จ้าวซวี่ที่มหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนานทำให้ฟางผิงรู้แจ้งถึงบางสิ่ง
นักศึกษาคนนั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก อย่างน้อยก็ยังไม่ได้เป็นขั้นหนึ่งสูงสุด
อย่างไรก็ตามเขาเอาชนะหลี่จ้าวซวี่ได้ง่ายพอควร เขาใช้วิธีสั่งสมพลังและวิชาดาบเหนี่ยวรั้งพลางหลบหลีกการโจมตีของหลี่จ้าวซวี่ไปด้วยจนกระทั่งรวบรวมพลังได้เต็มที่ การโจมตีสุดท้ายของเขาทำให้หลี่จ้าวซวี่กระเด็นกลับไป กระอักเลือดสดๆออกมาในกระบวนท่าเดียว
เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถระเบิดปราณและเลือดได้ 20แคลเท่านั้น แต่ด้วยการสั่งสมพลัง เขาระเบิดปราณและเลือดได้อย่างน้อย 25แคล
หลี่จ้าวซวี่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือกะทันหันหลังหลบหลีกการโจมตีของเขาไปครึ่งค่อนวัน เขาจึงแพ้ในกระบวนท่าเดียว
ในช่วงสองวันถัดจากนั้น ฟางผิงได้ปรึกษาหลู่เฟิ่งโหรวและเสาะหาอาจารย์หลายคนที่เชี่ยวชาญวิชาดาบ
แม้ว่าอาจารย์เหล่านั้นจะไม่ใช่อาจารย์ของเขาหรือไม่ได้เป็นขั้นหกด้วยซ้ำ แต่ฟางผิงก็ยังได้รับความรู้มามากมาย
…
วันที่ 8 มกราคม หรือ วันที่ 13 ของเดือน 12 ปฏิทินจันทรคติ!
ฟางผิงได้รับสายจากฟางหยวน
ฟางผิง หนูสอบเสร็จแล้ว!
เร็วขนาดนี้เลย?
เร็วอะไร? เกือบตรุษจีนแล้ว แถมวันมะรืนก็พิธีเปิดแล้ว มีหลายคนอยากไปดู พวกเขาจึงจัดให้มีสอบก่อนเวลา
ผลสอบออกเมื่อไหร่?
มันยังเร็วเกินไปฟางผิง นายคงไม่รอจนกว่าผลสอบของหนูจะออก ถึงปล่อยให้ไปเซี่ยงไฮ้ใช่ไหม? ป่านนั้นคงสายไปแล้ว!
ฟางผิงปวดหัวเล็กน้อย พ่อกับแม่ไม่มา น้องจะมาคนเดียวได้ยังไง? แถมพี่จะเป็นห่วง…
เชอะ หนูรู้ว่าพี่ต้องพูดแบบนี้!
ฟางหยวนแค่นเสียงดูถูกก่อนจะยิ้มกว้าง ลุงถามบอกว่าจะมาเหมือนกัน นายให้หนูไปกับเขาก็ไม่เป็นไรแล้ว
ผู้อำนวยการถาน?
อือฮึ พ่อกับแม่ก็เห็นด้วย มีลุงถานอยู่ด้วย หนูก็ไม่กลัวคนไม่ดีแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวไว้ใจถานเจิ้นผิงพอควรเลย
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่มีประสบการณ์ แถมยังเป็นรองผู้อำนวยการกระทรวงศึกษาเมืองรุ่ยหยาง
ฟางผิงเม้มปาก แม้ว่าเขาจะไม่อยากดูถูกถานเจิ้นผิง แต่เฒ่าถานก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธที่มีดีแค่ปราณและเลือด และอาจจัดการได้แค่โจรธรรมดาเท่านั้น
กระนั้นถานเจิ้นผิงก็มีสถานะอย่างเป็นทางการ แถมรัฐบาลยังเป็นองค์กรยุทธที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน
ด้วยสถานะอันสูงส่งของเขา มันย่อมปลอดภัยกว่าแน่นอน
ผู้อำนวยการถานจะขับรถมาหรือนั่งรถไฟมา?
ขึ้นรถไฟไป รอบนี้มีคนไปเยอะกว่าที่คิด เออใช่ เพื่อนร่วมชั้นของนายก็ไปเหมือนกัน…
พวกเขาหยุดแล้วเหรอ?
นายไม่รู้หรอ? พวกเขากลับมาหลายวันแล้ว
ฟางผิงลูบหน้าผาก ช่วงนี้เขายุ่งมาก เขาเลยไม่ได้เช็คข้อความเลย เพื่อนๆเขาอาจพูดกันในกลุ่มแล้ว
โม๋อู่ยังไม่มีวันหยุด ไม่รู้ว่าโม๋อู่มีวันหยุดช้าหรือถูกเลื่อนเพราะงานประลองกันแน่
โม๋อู่มีนักศึกษาไม่มาก ดังนั้นบางทีวันหยุดของพวกเขาอาจถูกระงับไว้ก่อนเพื่อให้มหาลัยมีชีวิตชีวาขึ้นและดูเป็นที่นิยมขึ้น
หรือไม่ก็โม๋อู่แค่เลือดเย็น!
นักศึกษาปีสี่แทบไม่อยู่มหาลัยกัน ปีสามอย่างน้อยครึ่งนึงก็ไม่อยู่เช่นกัน ส่วนปีสองก็หายกันไปเยอะแยะ…
รวมแล้ว มหาลัยมีคนประมาณ 3000 คนเท่านั้น
แต่โม๋อู่มีขนาดใหญ่เกินไป!
มันใหญ่ซะจนต่อให้คน 3000 คนกระจายอยู่ทั่วพื้นที่มหาลัย แต่หลังเดินไปเดินมาหลายนาทีก็อาจไม่เห็นแม้แต่เงาคนด้วยซ้ำ คนขี้ขลาดไม่กล้าออกมาเดินเล่นในมหาลัยแน่นอน
ฉันยังไม่ได้สอบวัฒนธรรมศึกษาปีนี้เลย…
ฟางผิงนึกถึงเรื่องอื่น พวกเขายังไม่ได้สอบเลย เขาไม่รู้ว่ามันถูกเลื่อนรึเปล่า
แล้วน้องจะมาถึงตอนไหน?
เด็กสาวบอกแล้วว่าเธอจะมากับถานเจิ้นผิง ฟางผิงห้ามเธอไม่ได้ เขาจึงไม่พยายามห้ามเธออีก
หนูจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ฟางผิงอย่าลืมมารับหนูนะ!
เหลวไหล ถ้าพี่ไม่ไปรับแล้วเกิดหลงทางขึ้นมา น้องไม่รู้ทางกลับบ้านด้วยซ้ำ!
หลังคุยกับฟางหยวนสักครู่ ฟางผิงก็คุยกับพ่อแม่ ฟางหมิงหรงกับภรรยาก็ไม่ได้กังวลนัก
ลูกสาวพวกเขาจะไปกับรองผู้อำนวยการกระทรวงศึกษา แถมลูกชายพวกเขายังรอรับที่เซี่ยงไฮ้ ถ้าสถานการณ์แบบนี้ทำให้พวกเขามั่นใจไม่ได้ งั้นโลกใบนี้ก็คงอันตรายเกินไปแล้ว
…
วันที่ 9 มกราคม
เมืองหยางเฉิง
ด้วยสถานะของถานเจิ้นผิง กลุ่มของฟางหยวนจึงได้นั่งรถไฟตู้พิเศษ ถานเจิ้นผิงเป็นรองผู้อำนวยการพื้นที่เล็กๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีอิทธิพลมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามครั้งนี้เขาเป็นตัวแทนของรัฐบาลเมืองรุ่ยหยาง อ้างว่ามาหารือปัญหาในเมืองรุ่ยหยาง
แม้ว่าเมืองรุ่ยหยางจะไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่มันก็เป็นนครระดับเทศมณฑล หลังยื่นเรื่องนี้ให้กับพนักงานสถานีรถไฟ พวกเขาจึงยื่นตู้เปล่าให้
ปัจจุบัน รถไฟความเร็วสูงจากเมืองหยางเฉิงไปยังเซี่ยงไฮ้ยังไม่เปิด ทุกคนจึงนั่งรถไฟธรรมดาไป
บนรถไฟ
ฟางหยวนมีสีหน้าตื่นเต้น เธอจับมือเพื่อนและหัวเราะคิกคัก พอเราไปถึงเซี่ยงไฮ้ พี่ชายฉันจะมารับ
ฉันไม่ได้เจอพี่ชายมานานแล้ว ครั้งล่าสุดที่เจอก็วันชาตินู่นเลย
พี่ฉันมีตั๋ว เสี่ยวหลิงไม่ต้องห่วง รอบนี้ฉันจะให้ตั๋วเธอฟรีๆ ไม่เก็บเงิน!
เพื่อนของฟางหยวนอายุพอๆกัน เมื่อได้ยินแบบนั้น เธอก็เผยรอยยิ้มสดใส แต่ก็ถามอย่างไม่แน่ใจเช่นกัน เธอไม่เก็บเงินจริงหรอ?
เธอคิดว่าฉันเป็นใครกัน!
ฟางหยวนไม่พอใจ เราเป็นเพื่อนกัน แถมเธอยังเป็นรองประธานสมาคมหยวนผิง อย่างมากครั้งหน้าที่เราทำกำไรได้ เธอจะได้ส่วนแบ่งน้อยลง…
หยวนหยวน!
เสี่ยวหลิงตำหนิเธอก่อนจะหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจปัญหานี้
อู๋จื้อเห่ากับคนอื่นๆหัวเราะไม่ต่างกับคนบ้าอยู่ข้างๆ ถานเจิ้นผิงก็หลุดหัวเราะออกมาเช่นกัน หยวนน้อย แม้แต่ลุงก็รู้เรื่องสมาคมหยวนผิงของหนู ถ้าพี่ชายหนูรู้เรื่องนี้ เขาต้องมาลงโทษหนูแน่!
ไม่ค่ะ เขาไม่ลงโทษหรอก เขารู้เรื่องนี้นานแล้ว…
ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่ฟางหยวนก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย ฟางผิงไม่รู้ว่าเธอเก็บค่าสมาชิกด้วย
‘ไม่ใช่ว่าฉันอยากเก็บสักหน่อย คนอื่นฝืนให้มาต่างหาก!’
สมาคมหยวนผิงเริ่มต้นด้วยเด็กผู้หญิงสิบกว่าคนจากโรงเรียนมัธยมต้นสือเยี่ยน และตอนนี้มันก็ขยายไปยังโรงเรียนมัธยมต้นทั้งเมืองหยางเฉิงแล้ว!
ฟางหยวนปวดหัวเล็กน้อย เธอควรบอกฟางผิงไหมนะว่าสมาคมหยวนผิงมีสมาชิก 300 คนแล้ว?
ช่างเถอะ ฉันจะไม่บอกเขา…
เด็กสาวพึมพำด้วยความรู้สึกผิด ถ้าฟางผิงรู้ว่าเธอเป็นเจ้ใหญ่ของ 300 คน เขาทุบเธอตายแน่!
ทุกคนหัวเราะอีกครั้ง ถานเจิ้นผิงไม่ได้หยอกล้อเธออีก เด็กเล่นพ่อแม่ลูกกันไม่ใช่เรื่องใหญ่
ถ้าฟางหยวนรวบรวมผู้ฝึกยุทธ 300 คนแทน นั่นต่างหากที่จะเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งหนานเจียงให้ความสนใจ!
แต่นักเรียนมัธยมต้น 300 คนนี่…
ผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้ขั้นหนึ่งคนเดียวก็หั่นพวกเธอได้ไม่ต่างกับลูกแตงโม
จื้อเห่า เธอเกือบเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วใช่ไหม?
ถานเจิ้นผิงเบี่ยงความสนใจไปจากฟางผิงและหันไปถามอู๋จื้อเห่าแทน
อู๋จื้อเห่ายิ้มอย่างขมขื่น มันยังเร็วเกินไป ปราณและเลือดผมถึง 145แคลแล้ว แต่ผมไม่มีเม็ดยามาทะลวง แถมฟางผิงยังแนะนำด้วยว่าให้รอจนกว่าพวกเราขัดเกลาสองครั้งก่อนค่อยทะลวงขั้น
ต่อให้เราขัดเกลาสองครั้งไม่ได้ แต่ยิ่งมีปราณและเลือดสูงดีกว่า
พอสิ้นเทอมหน้า มันก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้วว่าผมจะเป็นผู้ฝึกยุทธได้ไหม
พี่จื้อเห่ายังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธเหรอ?
ฟางหยวนถามด้วยความประหลาดใจ สีหน้าของอู๋จื้อเห่าดูขมขื่น คำพูดพล่อยๆของเด็กไม่ควรถือสา เด็กน้อยแบบนี้จะไปรู้อะไร!
เป็นผู้ฝึกยุทธจะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง!
‘แค่เพราะพี่ชายของเธอกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว เธอคิดว่าคนที่เข้ามหาลัยวิชายุทธจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธทุกคนรึไง?’
หยางเจี้ยนกล่าวอย่างสงสัย ฟางผิงอาจขัดเกลาแขนขาเสร็จไปข้างนึงแล้วมั้ง?
ไม่รู้สิ แต่โม๋อู่มีทรัพยากรมากกว่าเรา อาจเป็นไปได้นะ
นั่นก็จริง อ่า เรายังกังวลเรื่องทำยังไงให้ปราณและเลือดไปถึงขีดจำกัดอยู่เลย แต่เขาขัดเกลากระดูกแขนขาข้างนึงแล้ว ช่องว่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ!
ทุกคนถอนหายใจ กลับกันถานเจิ้นผิงรู้สึกสงสัยแทน ‘ฟางผิงขัดเกลาแขนขาเสร็จไปแล้วข้างนึงจริงๆเหรอ?’
เด็กคนนี้กลับมาตอนเดือนตุลาคมและบอกว่าสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดไปสองคน
ถ้ามันเป็นความจริง เขาอาจเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นของโม๋อู่ เขาอาจขัดเกลากระดูกแขนขาข้างนึงเสร็จไปนานแล้ว
ขณะที่ทุกคนคุยกัน บทสนทนาก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องงานประลอง
งานประลองปีนี้ มีโอกาสที่พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธจะชนะ อาจารย์บอกว่าถ้าเราชนะ ปีหน้าเราจะได้ดื่มกินกันอย่างดี
แต่ถ้าเราแพ้ เราต้องทำงานหนักกันต่อไป
อ่า หวังว่าเราจะชนะนะ!
ถานเจิ้นผิงสับสนเล็กน้อย มีคนจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเข้าร่วมงานประลองปีนี้ไหม?
ผมไม่รู้ อู๋จื้อเห่ายิ้มแห้งและส่ายหน้า ผมไม่รู้จริงๆ รายชื่อผู้เข้าร่วมงานประลองถูกเก็บไว้เป็นความลับ
แต่ผมได้ยินว่าโม๋อู่กับจิงอู่ยืนยันรายชื่อแล้ว ก่อนหน้านี้สองมหาลัยดังส่งทีมไปประลองนัดอุ่นเครื่องกับมหาลัยอื่นบ้างแล้ว
ผมได้ยินอาจารย์พูดว่าทีมของสองมหาลัยดังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดกันทุกคนเลย!
หยางเจี้ยนรู้สึกอิจฉา ขั้นหนึ่งสูงสุด น่าอิจฉาจริงๆ ของเรากว่าจะถึงขั้นหนึ่งสูงสุด อย่างน้อยก็ต้องปีสามปีสี่
ต่อให้พวกเขาพวกเขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธตอนเทอมหน้า แต่ถ้าพวกเขาอยากขัดเกลากระดูกมากกว่า 62 ชิ้น พวกเขาต้องทำภารกิจเล็กๆเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อชดเชยทรัพยากรที่ขาดแคลน
นักศึกษาโม๋อู่สามารถขัดเกลากระดูกหนึ่งชิ้นในสามวัน แต่พวกเขาต้องใช้เวลาถึงสิบวันหรือมากกว่านั้น!
หลังขัดเกลากระดูกสำเร็จ เวลาก็ผ่านไปสองปีแล้ว
ขั้นหนึ่งสูงสุด…
ถานเจิ้นผิงถอนหายใจเล็กน้อย หลายปีผ่านมา เขาก็เป็นแค่ขั้นหนึ่งสูงสุดเท่านั้น
เด็กพวกนี้ บางคนอายุน้อยกว่าลูกชายเขาอีก
แต่เด็กๆตามเขาทันแล้ว
ตอนนี้ฟางผิงไม่อยู่ เขาจึงไม่รู้ว่าฟางผิงคิดยังไง ไม่งั้นเขาต้องชอกช้ำมากกว่านี้เป็นแน่
นักศึกษาขั้นหนึ่งสูงสุดของมหาลัยอย่างโม๋อู่ไม่ใช่คนที่ถานเจิ้นผิงจะเทียบด้วยได้
ถ้าไม่ใช่เรื่องวิชาต่อสู้ งั้นก็เป็นปราณและเลือด
ในทีมสิบคนปัจจุบันของโม๋อู่ แม้แต่หลี่จ้าวซวี่ที่ยังไม่ถึงขั้นหนึ่งสูงสุดก็มีปราณและเลือดถึง 250แคล
ส่วนคนที่ถึงขั้นหนึ่งสูงสุดแล้ว จ้าวเสวี่ยเหมยถือว่าต่ำสุด เธอมีถึงประมาณ 280แคล
คนอื่นๆอย่างฟู่ชางติ่งกับพวกล้วนสูงถึง 300แคล
และก็ยังมีฟางผิง!
ทุกคนคุยกันไม่หยุด เมื่อฟางหยวนตื่นขึ้นมาอีกที รถไฟก็มาจอดเทียบสถานีแล้ว!
…
ณ สถานีรถไฟ
ฟู่ชางติ่งหาว พวกเขายังไม่มาอีกเหรอ?
จ้าวเสวี่ยเหมยถามด้วยความสงสัย ฟางผิง นายมีญาติเยอะขนาดนั้นเลยเหรอถึงต้องใช้รถสามคันมารับ?
ญาติอะไร? ฟางผิงพูดไม่ออก ครอบครัวฉันไม่รู้ว่าฉันร่วมการประลองด้วย น้องสาวแค่อยากมาดูงานประลองเฉยๆ ส่วนคนอื่นเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลาย
ครอบครัวนายไม่รู้?
ฟู่ชางติ่งช็อค แล้วถ้านายถูกฆ่าล่ะ…
หุบปากไป!
อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม ฉันหมายถึง เรื่องใหญ่แบบนี้ นายไม่ให้ครอบครัวรู้เลยเหรอ?
พ่อแม่ฉันเป็นคนธรรมดา พวกเขาจะยอมรับเรื่องแบบนี้ง่ายๆได้ไง? ถ้าพวกเขารู้ว่าฉันขึ้นเวทีประลองยุทธ พวกเขาต้องช็อคแน่
ฉันไม่เหมือนพวกนาย นายมีผู้ฝึกยุทธอาวุโสที่คุ้นกับเรื่องแบบนี้…
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟู่ชางติ่งก็พลันพูดอย่างเคร่งขรึม ถ้านายไม่พูดถึง ฉันก็ไม่รู้เลย ฉันรู้สึกเหมือนเป็นไอ้ขี้แพ้ แล้วนายก็มีพ่อเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหก! ตอนนี้พอมาคิดดู ปู่ฉันต่างหากที่เป็นขั้นหก พวกเขาสลับกันไหมนะ?
ฟางผิงยิ้ม นายแค่โง่ ไม่มีเหตุผลอื่นหรอก
ไปไกลเลย แต่ฉันว่ามันตลกดี นายไปเอาเงินมาจากไหนกัน? อย่าบอกนะว่าขโมยดี?
ฟางผิงมีเงินมากแน่นอน อย่างน้อยฟู่ชางติ่งก็ไม่เคยเห็นฟางผิงกังวลเรื่องเม็ดยา ตรงกันข้ามเขากลับขายเม็ดยาไปมากมาย
ฟางผิงก็เข้าใจว่าเรื่องนี้มีช่องโหว่ แต่ช่วงต้นๆเขาขาดแคลนเงินมาก เมื่อไม่มีทางเลือก เขาจึงได้แต่พูดอย่างมีเลศนัย อย่าบอกคนอื่นล่ะ แต่ความจริงฉันกราบปรมาจารย์ขั้นเก้าเป็นอาจารย์ตั้งแต่เด็กแล้ว
เขาบอกว่าฉันมีโครงร่างเหมาะแก่การฝึกวรยุทธ พอโตขึ้นฉันจะช่วยกอบกู้โลกได้แน่นอน ดังนั้น…
จริงเหรอ?
ฟางผิงพึ่งพูดพล่ามไปเรื่อย แต่ฟู่ชางติ่งทำหน้าจริงจัง เขาพูดเบาๆ เป็นปรมาจารย์ขั้นเก้าจริงเหรอ?
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้เก็บมาคิดจริงจังมาก่อน แต่น้ำเสียงที่จริงจังของฟู่ชางติ่งทำให้เธออดพูดไม่ได้ มียอดยุทธขั้นเก้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองหยางเฉิงจริงเหรอ? งั้นหวังจินหยางก็…
ฟางผิงตะลึง สถานการณ์แบบนี้คือ? พวกเขาเชื่อเรื่องนี้ด้วยเหรอ?
‘ฉันแสดงดีเกินไปหรือว่าสองคนนี้โง่กัน?’
จะตำหนิที่พวกเขาเชื่อเรื่องนี้ก็ไม่ได้ เมืองหยางเฉิงเป็นเมืองเล็กๆ แต่มีผู้ฝึกยุทธรุ่นใหม่กำเนิดจากที่นั่นถึงสองคน
ตอนนี้ฟางผิงอาจมีความแข็งแกร่งต่ำ แต่เด็กยากจนคนนี้มาจากครอบครัวฐานะธรรมดาดันเอาชนะนักศึกษาโม๋อู่มาทั้งหมด!
จากเรื่องนี้ เรื่องราวบ้าๆของเขาจึงน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที
บางทีขั้นเก้าอาจเกินจริงไปหน่อย แต่มันไม่แปลกใจเลยถ้าปรมาจารย์ขั้นเจ็ดรู้สึกว่าฟางผิงเป็นเพชรหยาบที่ยังไม่ได้เจียระไนแล้วสั่งสอนเขา
ฟางผิงไม่รู้โกหกต่อยังไงดี
‘ฉันแค่พูดเล่น!’
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของพวกเขา ฟางผิงก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ฉันขอไม่พูดรายละเอียด พวกนสายแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน
ก็ได้ เราไม่ถามแล้ว เรื่องนี้มันไกลตัวเรา
ทั้งสองไม่คิดถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยอดยุทธระดับปรมาจารย์อีก แต่พวกเขาต่างก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ‘ฉันไม่เชื่อมาตลอดว่าฟางผิงแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง กลายเป็นว่าเขากราบปรมาจารย์เป็นอาจารย์ งั้นพวกเราก็ไม่เลวแล้ว’
ทั้งสามเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งแววตาของฟางผิงสว่างวูบ นั่นไงพวกเขา!
ตรงหน้าพวกเขา ถานเจิ้นผิงกับคนอื่นๆกำลังออกมาจากสถานีรถไฟ สายตาของฟางหยวนเฉียบคม เธอตะโกนอย่างมีความสุขตั้งแต่ไกล ฟางผิง หนูมาแล้ว!
ฟางผิงอ้าปากค้าง ดูเหมือน…ดูเหมือนเธอจะผอมลง!