World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 193 เรื่องตลกกลายเป็นจริง
สองชั่วโมงผ่านไป ปราณและเลือดของฟางผิงไหลเวียนในเส้นเลือดเล็กได้อย่างราบรื่น
ในที่สุดฟางผิงก็หยุดฝึก
“ฉันเป็นขั้นสามแล้ว!”
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ชั้นสูงหรือสูงสุด แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ปี 2008 กลางเดือนเมษายน ฉันได้สัมผัสกับผู้ฝึกยุทธ ปี 2009 สิ้นเดือนมีนาคม ฉันเป็นขั้นสามแล้ว!”
แม้ว่าหวังจินหยางจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นขั้นสามในหนึ่งปี แต่นั่นนับตั้งแต่ช่วงเวลาแรกเข้ามหาลัยวิชายุทธ ไม่ใช่เวลาที่เขาได้สัมผัสกับวิชายุทธ
แม้แต่หวังจินหยางก็เตรียมสอบวิชายุทธตั้งแต่ตอนมัธยมปีที่สี่
“ขั้นสาม ถ้ำใต้ดิน หัวกะทิ…”
คำพูดเหล่านี้ยังดังก้องอยู่ในใจเขา
“นอกจากนี้ขั้นสามยังเป็นพวกที่ตายมากที่สุดและเร็วที่สุด!”
ในทำนองเดียวกัน ความเป็นไปได้อีกสองอย่างก็แวบเข้ามาในใจ
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผู้ฝึกยุทธขั้นสามเป็นคนที่มีอัตราการตายสูงสุดและเร็วที่สุด
นักศึกษามหาลัยวิชายุทธจะเริ่มสัมผัสกับถ้ำใต้ดินในขั้นสาม มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะเริ่มเข้าถ้ำใต้ดิน เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะเผชิญอันตรายของถ้ำใต้ดินอย่างแท้จริง
ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธขั้นสามจึงเสียชีวิตกันมากมาย พวกเขาตายกันเร็วมาก
เมื่อฟางผิงคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกตัวสั่น มันไม่ได้เป็นความกลัวหรือตื่นเต้น แต่เป็นความคาดหวังและการไม่ทราบอนาคตที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
“ฉันจะได้เข้าถ้ำใต้ดินแล้วใช่ไหม?”
“ถ้ำใต้ดินมีลักษณะเป็นยังไง?”
“สิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในเป็นเหมือนมนุษย์ไหม?”
“มีอันตรายแบบไหนรออยู่?”
“ต้องเข้าไปเข่นฆ่ากันทันทีเลยไหม?”
“…”
ความสงสัยแวบเข้ามาในใจของฟางผิงไม่หยุด
เขาคิดเรื่องพวกนี้ไม่ไหว ฟางผิงจึงหันไปสนใจกับค่าสถานะปัจจุบันของตัวเอง
ทรัพย์สิน : 20.8 ล้าน
ปราณและเลือด : 540แคล (576แคล)
จิตใจ : 430เฮิรตซ์ (449เฮิรตซ์)
ขัดเกลากระดูก : 126 ชิ้น (90%) 80 ชิ้น (30%)
เขาไม่ได้ใช้ค่าทรัพย์สินเท่าไหร่ แถมการเชื่อมเส้นเลือดเล็กก็ไม่ได้ใช้ไปมาก
ฟางผิงไม่มีแผนฟื้นฟูปราณและเลือด ห้องพลังงานแถมยังใช้เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองไปอีก ถ้าเขาใช้ค่าทรัพย์สินฟื้นฟู เขาคงเป็นไอ้งั่งแล้ว
“ขีดจำกัดปราณและเลือดเพิ่มขึ้น 51แคล การเชื่อมเส้นเลือดเล็กรอบนี้เพิ่มความแข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไปจะมีปราณและเลือดนับพันแคลเมื่อบรรลุจุดสูงสุด”
หลังเขาพูดจบ ฟางผิงก็ลุกขึ้นยืนและรีบออกไปทันที
…
ณ แผนกต้อนรับ
“อาจารย์ ผมฝึกอยู่สี่ชั่วโมง ผมอยากเช็คเอาท์”
อาจารย์แผนกต้อนรับเหลือบมองเขาสักพักก่อนจะตอบ “เป็นไปไม่ได้ เมื่อใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะใช้ต่อหรือไม่ก็ต้องเปิดจนหมดเวลา”
“อาจารย์…”
“แร่พลังงานเริ่มปล่อยพลังงาน เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาคืน เข้าใจใช่ไหม?”
“อาจารย์…ผม…”
“ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์!”
ฟางผิงมองอาจารย์หัวแข็งแล้วรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย สิบคะแนน มันมีค่ามาก!
เขาเหลือบไปเห็นสองสามคนที่กำลังเข้ามาในห้องโถง ฟางผิงจึงตะโกนขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ห้องบ่มเพาะ บ่มเพาะหนึ่งชั่วโมง เก้าคะแนน!”
อาจารย์ที่แผนกต้อนรับตกตะลึง เขามองฟางผิงอย่างลึกซึ้ง ทำให้มั่นใจว่าจำเขาได้
เสียงตะโกนของฟางผิงดึงดูดความสนใจของบางคนเข้า “ห้าคะแนนเอาไหม?”
“จะปล้นกันรึไง? แปดคะแนน ถ้าไม่อยากได้ก็ช่างเถอะ ฉันจะปล่อยมันทิ้งไว้”
“ก็ได้ ตกลง!”
สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว สองคะแนนก็มีค่า พวกเขาจะประหยัดกันเท่าที่จะทำได้ ไม่นานผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็ตัดสินใจแลกเปลี่ยนกับฟางผิง
การแลกเปลี่ยนเช่นนี้จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ จู่ๆอาจารย์ที่แผนกต้อนรับก็พูดขึ้นมา “หนึ่งคะแนนต่อครั้ง!”
ฟางผิงแทบกระอักเลือด ชายคนนี้…พอกันที!
เมื่อเห็นเวลาเดินไปเรื่อยๆ แถมฟางผิงไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายข้างนอกได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยอมรับคำพูดของอาจารย์
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงฟางผิงเท่านั้นที่จ่ายค่าธรรมเนียมนี้ ผู้ฝึกยุทธอีกคนที่แลกเปลี่ยนกับฟางผิงไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม
“เจ็ดคะแนน ฉันเสียเม็ดยาปราณและเลือดสามัญไปหนึ่งเม็ด”
เขามองอาจารย์ตรงหน้าอย่างล้ำลึกก่อนจะเลื่อนสายตามองป้าชื่อติดอก ซ่งอิ๋งจี๋!
‘ดีมาก ฉันฟางผิงจะจำคุณไว้เป็นอย่างดี!’
‘สักวันหนึ่งเมื่อฉันมีอำนาจในโม๋อู่ คุณจะถูกส่งไปทำความสะอาดห้องน้ำ ชดเชยเม็ดยาที่ฉันเสียไปเป็นร้อยเท่า!’
ช่วงนี้เขาจดจำผู้คนหลายคน ฟางเหวินเสียงจากจิงอู่เป็นหนี้เม็ดยาระดับสูง
หวังจินหยางจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเป็นหนี้เขา 45 ล้าน
ตอนนี้อาจารย์ซ่งจากโม๋อู่เป็นหนี้เขาเม็ดยาปราณและเลือด 100 เม็ด เขาจะตัดสินใจเรื่องระดับเม็ดยาทีหลัง
ซ่งอิ๋งจี๋เห็นฟางผิงมองป้ายชื่อของตนก็เผยรอยยิ้มออกมา “ความแข็งแกร่งของฉันอยู่แค่ระดับเฉลี่ย ขั้นห้า อยากสู้ไหม?”
“ช่างเถอะอาจารย์ซ่ง ผมไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น”
ฟางผิงยิ้ม ท่าทางเหมือนนักศึกษาที่ไร้เดียงสาคนนึง จากนั้นเขาก็รีบเดินออกจากห้องพลังงานไป
เมื่อเขาจากไปแล้ว ซ่งอิ๋งจี๋ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เด็กดี ฉันอยากจะเห็นว่านายจะกลับมาสอนบทเรียนฉันยังไง”
…
เมื่อฟางผิงออกมาจากห้องพลังงาน เขาก็พบกับฉินเฟิ่งชิง
ฉินเฟิ่งชิงกำลังถูพื้น…ใช่แล้ว ถูพื้น!
เมื่อเขาเห็นฟางผิง ฉินเฟิ่งชิงก็กล่าวอย่างเคอะเขิน “ฟางผิง นายมีให้ฉันยืมสักสามแสน…”
“ผมจน!”
“ฟางผิง เราเป็นเพื่อนกัน นายจะพูดแบบนั้นได้ยังไง?”
“ใช่ รุ่นพี่เป็นหนี้ผมสามแสน ผมจะจำไว้!”
หลังพูดจบ ฟางผิงก็รีบจากไป
ฉินเฟิ่งชิงอ้าปากค้าง เขาพึมพำ “นายไม่ทันให้ฉันยืมเงินด้วยซ้ำ…”
‘หรือฟางผิงให้ฉันยืมเงิน?’
ฉินเฟิ่งชิงชำเลืองมองผู้ฝึกยุทธที่ดูแลห้องโถงโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วกล่าว “อย่ามามองฉัน เขาไม่ได้จ่ายให้นาย”
“แล้วฉันเป็นหนี้เขาสามแสนได้ไง?”
“ฉันจะรู้ได้ไง? ถูพื้นให้ดี อย่าขี้เกียจ นายจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อมีคนส่งเงินมาให้!”
“คุณ…”
ฉินเฟิ่งชิงโกรธมาก เขาควักโทรศัพท์ออกมาโทรแล้วกระชากเสียงใส่โทรศัพท์ “จางอวี่ ถ้านายยังไม่เอาเงินมาให้ฉัน ฉันจะทุบตีชู้รักของนายทุกวัน!”
“ไสหัวไป!”
เสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากปลายสาย ไม่นานสายก็ถูกตัดไป
ผู้ฝึกยุทธที่ดูแลห้องโถงชำเลืองมอง มีคนมากมายที่แส่หาที่ตาย ส่วนใหญ่จะตายไปโดยที่เข้าใจได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแปลกที่ฉินเฟิ่งชิงยังมีชีวิตอยู่
…
หลังกลับมาจากเขตใต้ ฟางผิงก็กลับมาแผนกโลจิสติกส์อีกครั้ง
เดี๋ยวนี้แผนกโลจิสติกส์เงียบมาก นักศึกษาหลายคนเลือกซื้อของออนไลน์แทน
เมื่อเห็นฟางผิง เฒ่าหลี่ก็ปลุกความกระตือรือร้นออกมาไม่ได้มากนัก ฟางผิงทรัพยากรหมดแล้ว เขาจึงไม่มีแรงมาสนใจฟางผิง
อย่างไรก็ตามไม่นานแววตาของเฒ่าหลี่ก็เปล่งประกาย เขายิ้มแล้วพูด “นักศึกษาฟางผิง เธอไปแลกรางวัลสำหรับทะลวงจากขั้นสองสู่ขั้นสามแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่ได้แลก”
“เธอกำลังรออะไร? นั่นมันสองร้อยคะแนนเลยนะ!”
เฒ่าหลี่เอาใจใส่ผลประโยชน์ของฟางผิง รางวัลสำหรับทะลวงสู่ขั้นหนึ่งคือ 50 คะแนน ขั้นสองคือ 100 คะแนน และขั้นสามคือ 200 คะแนน มันถูกมอบให้ฟรีๆ
คนร่ำรวยอย่างฟางผิงเป็นขั้นสามแล้ว เขาอาจไม่ขาดแคลนคะแนนสำหรับอนาคต
ฟางผิงไม่ลังเล เขารีบรับคะแนนทันที
หลังรับคะแนนเสร็จ ฟางผิงก็รีบกลับมา “217 คะแนน ผมขอยาปราณและเลือดสามัญ 80 เม็ด”
“ไปไกลเลย!”
“80 เม็ด!”
ฟางผิงยืนกรานเสียงหนัก “อาจารย์ ผมแลกเม็ดยากับอาจารย์ไปมากเท่าไหร่แล้ว ยิ่งกว่านั้นแพล็ตฟอร์มผมช่วยอาจารย์ลดปัญหามากแค่ไหน? อาจารย์จะไม่ให้ส่วนลดผมสักเล็กน้อยเลยเหรอ?”
“ผมไม่ได้เอาไปขาย ผมจะเอาเม็ดยาไปแจกจ่ายให้สมาชิกชมรมเป็นค่าตอบแทนให้พวกเขา”
“พวกเขาล้วนเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ พวกเขาอยู่กันไม่ง่ายเลย…”
เฒ่าหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฟางผิงมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ถ้าผมไม่ยากจน ผมคงให้พวกเขาทุกคนแล้ว มันควรเป็น 108 เม็ด อาจารย์ถ้าอาจารย์รู้สึกว่า 108 เม็ด…”
“เหอะเหอะ”
เฒ่าหลี่ระเบิดเสียงหัวเราะ นายยังกล้าพูดอีกนะ
“สิ่งของที่เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนจะถูกบันทึกไว้ อาจารย์ให้เธอมากกว่านี้ไม่ได้ ไร้กฏเกณฑ์ไร้มาตรฐาน จะทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จหรอก…”
“อาจารย์ น้องสาวผมชื่อฟางหยวน เธอก็ไม่ทำตัวตามกฏเกณฑ์…”
“เธอ…”
เฒ่าหลี่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากนั้นสักครู่เขาก็เอ่ยเตือน “เธอต้องห้ามขายเม็ดยาอีก ถ้าอาจารย์รู้…”
“ผมไม่ขายแน่นอน!”
ฟางผิงส่ายหน้า ‘ถ้าอาจารย์รู้ผมคงตาย ผมจะให้อาจารย์รู้ได้ยังไง?’
“เอาไป”
หลังหักคะแนนของฟางผิง ฟางผิงก็ได้รับเม็ดยาปราณและเลือด 80 เม็ด ค่าทรัพย์สินเขาเพิ่มขึ้น 1.26 ล้านในพริบตา
“22.06 ล้านแล้ว”
ฟางผิงคิดคำนวณก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบอีกครั้ง
…
ห้านาทีต่อมา
เฉินหยุนซีรู้สึกหนักใจ “ฉันไม่อยากซื้อแล้ว ฉันมีเม็ดยาพอแล้ว ฉันไม่ต้องการมากขนาดนั้น”
“พ่อแม่เธอจำเป็นต้องใช้”
“พวกท่านไม่ต้องการสิ่งนี้”
“ญาติเธอล่ะ?”
“ญาติก็เหมือนกัน”
“แล้วเพื่อนเธอล่ะ?”
“พวกเขาไม่ได้ขาดเม็ดยา”
“เธอ…เธอไม่มีสมาชิกครอบครัวที่ใช้เม็ดยาเลยเหรอ?”
เฉินหยุนซีจนใจมาก บังคับซื้อขายเม็ดยา นี่ยังเป็นมหาลัยอยู่เหรอ?
หลังถอนหายใจ เฉินหยุนซีหมดคำจะพูด “นาย…นายขายเม็ดยาตลอด นายไม่ใช้เองเลยเหรอ?”
“ฉันต้องการเงิน”
“แล้วถ้านายจะฝึกฝนล่ะ?”
“ฉันใช้ความพยายาม”
ฟางผิงไม่ได้อธิบายอะไรนัก เขามาขายเม็ดยา พูดพล่ำทำเพลงมากก็ไม่มีประโยชน์
“…เท่าไหร่?”
“80 เม็ด ราคาตลาด 8 ล้าน เธอจ่ายฉันแค่ 7.6 ล้านพอ” ฟางผิงคำนวณในใจ ด้วยเหตุนี้เขาจะเพิ่มค่าทรัพย์สินได้อีกสองล้าน
เฉินหยุนซีรู้สึกรำคาญ “มันแพงกว่าครั้งก่อนอีก ฉันไม่ซื้อแล้ว!”
“ช่วยสนับสนุนฉันด้วยเถอะ ฉันเกือบบรรลุระดับปรมาจารย์แล้ว พอฉันเป็นปรมาจารย์ ฉันจะตอบแทนเธอแน่นอน”
ฟางผิงไม่ได้มีความตั้งใจจะลดราคา ส่วนเงินหลายแสนที่เขาต่อรองกับเธอ ไว้ใช้คืนตอนเขาร่ำรวยในอนาคตก็ยังไม่สาย
“ถ้าเธอลงทุนในตัวฉันฟางผิงในวันนี้ เธอจะไม่เสียใจในอนาคต ตอนนี้ฉันบรรลุขั้นสามแล้ว!”
สีหน้าของเฉินหยุนซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ขั้นสาม?”
“ใช่ ปรมาจารย์เป็นแค่เรื่องของเวลา ตอนนี้ฉันกำลังหาเงินเพื่อเตรียมตัวเข้าถ้ำใต้ดิน เมื่อฉันเข้าถ้ำใต้ดิน ฉันจะเป็นหรือตายก็พูดยากแล้ว…”
ขณะที่ฟางผิงพูดเรื่องนี้ จู่ๆหยางเสี่ยวม่านก็เปิดประตูเข้ามา เธอพูดอย่างตื่นเต้น “หยุนซี อาจารย์ฉันบอกว่าเขาอาจพาเราเข้าถ้ำใต้ดินช่วงหน้าร้อนนี้เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต…”
“เอ๊ะ ฟางผิง นายมาทำไร?”
ฟางผิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พวกเขาจะได้เข้าถ้ำใต้ดินจริงๆ!
เมื่อกี้เขาแค่พูดเล่น เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง ไม่เพียงแต่เขาจำเป็นต้องเข้าถ้ำใต้ดินเท่านั้น แม้แต่หยางเสี่ยวม่านที่เป็นขั้นสองก็ยังได้รับแจ้ง
เฉินหยุนซีอึ้งไปสักครู่ เธอมองฟางผิงแวบนึง เธอคิดว่าฟางผิงแค่พูดจาเหลวไหล เธอไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้เข้าถ้ำใต้ดินจริงๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฉินหยุนซีก็พยักหน้าแล้วกล่าว “เอาเม็ดยามา เดี๋ยวฉันจะโอนเงินให้”
“ตกลง ขอบใจมาก”
ฟางผิงทิ้งเม็ดยาไว้แล้วหันหลังจากไป
เมื่อเขาจากไปแล้ว หยางเสี่ยวม่านก็รีบถาม “เขาขายเม็ดยาให้เธออีกแล้วเหรอ?”
“ใช่ เขาบอกว่าเขาจะเข้าถ้ำใต้ดิน เขาเลยต้องการเงิน ดังนั้น…”
“เธอ…เธอพึ่งซื้อไปงั้นเหรอ? เท่าไหร่?”
เฉินหยุนซีดูอักอ่วน เธอลดเสียงลง “80 เม็ด 7 ล้าน”
“โอ้ ไม่เลว รอบนี้เขาไม่ได้หลอกเธอ”
หยางเสี่ยวม่านแปลกใจเล็กน้อย เธอไม่คิดเลยว่าฟางผิงจะขายเม็ดยาให้เฉินหยุนซีในราคาส่วนลด 10% เขายังพอเชื่อถือได้อยู่บ้าง
เฉินหยุนซีหน้าแดงเล็กน้อย เธอปัดเศษลงหกแสนโดยสัญชาตญาณ ดีกว่าถูกเสี่ยวม่านหัวเราะเยาะ
…
ฟางผิงไม่ได้สนใจบทสนทนาของพวกเธอ
ตอนนี้ในใจเขามีเพียงความคิดเรื่องเดินทางไปถ้ำใต้ดินเท่านั้น
วันหยุดฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว
เดือนเมษายนใกล้เข้ามาแล้ว ก่อนถึงวันหยุดฤดูร้อน มีเวลาเหลือเพียงสามเดือนเท่านั้น
“สามเดือน…”
เขากำลังคิดอยู่ว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นสามชั้นสูงได้ในสามเดือนไหม เวลานั้นฟู่ชางติ่งก็เดินมา เขาเห็นฟางผิงที่ทางเดิน เขาจึงถามอย่างแปลกใจ “เช้านี้นายไปไหนมา?”
“ไม่ได้ไปไหน มีอะไรเหรอ?”
“อาจารย์ฉันแจ้งมาเมื่อกี้ เดือนมิถุนายน มหาลัยจะตั้งทีมผู้ฝึกยุทธขั้นสองเข้าถ้ำใต้ดิน ฉันจะมาบอกนายนี่แหละ”
“คลาสฝึกพิเศษจะถูกจัดระเบียบใหม่ คลาสจะดำเนินต่อ ส่วนใหญ่จะสอนความรู้เรื่องถ้ำใต้ดิน”
“เดือนมิถุนา?”
“ใช่”
“มีเวลาไม่ถึงสามเดือน…”
ฟู่ชางติ่งได้ยินคำตอบเขาก็เอ่ยปลอบ “ไม่ต้องห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่เราเข้าถ้ำใต้ดิน เราไม่ได้เข้าไปลึก ยิ่งไปกว่านั้นมีอาจารย์ตามไปด้วย มันปลอดภัยมาก…”
“อย่าพูดเป็นลาง!” ฟางผิงแผดเสียง ยิ่งพูดแบบนั้น ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดขึ้นสูง
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องให้ความใส่ใจ เป็นการดีกว่าถ้าจะพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาผู้อื่น
ฟู่ชางติ่งกับคนอื่นๆน้ำขึ้นสมองไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับเขา
ในถ้ำใต้ดินที่ไม่สามารถใช้ของที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างถ้ำใต้ดิน ที่รูปแบบการเดินทางเป็นการเดินเท้า รูปแบบการสื่อสารเป็นการตะโกนเรียก มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะได้ยินอาจารย์และนักศึกษาหลงทางอยู่บ่อยๆ
พึ่งพาการปกป้องของอาจารย์ไม่สู้เชื่อใจตัวเอง
นอกจากนี้เขาต้องกลับไปเขตใต้ให้เร็วที่สุด เขาจำเป็นต้องจดจำแผนที่ภูมิประเทศเผื่อเขาหลงทาง เขาจะได้หาทางกลับได้
นอกเหนือจากนั้น เขาจำเป็นต้องสะสมค่าทรัพย์สินและเม็ดยาปราณและเลือดเพิ่ม อาวุธก็ต้องเปลี่ยน บางทีอัลลอยคลาสซีอาจจะเหมาะสมกว่า
แถมเขายังต้องไปปรึกษาผู้ที่ไปถ้ำใต้ดินเป็นประจำด้วย อย่างทักษะเอาชีวิตรอดในถ้ำใต้ดิน…
เป็นภารกิจที่หนักหนามาก!
เมื่อเห็นฟางผิงกังวลหนัก ฟู่ชางติ่งก็พูดไม่ออก เจ้าหมอนี่ มันจำเป็นจริงเหรอ?
ฟางผิงไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเดินออกไปเลย เขาจำเป็นต้องไปบริษัทสักหน่อย
…
ในขณะเดียวกัน
โม๋อู่ ณ ห้องอาจารย์ใหญ่
หวงจิ่งมองด้วยความเคารพ “อาจารย์ ผมได้รับแจ้งมาแล้ว โม๋อู่จะตั้งกลุ่มผู้ฝึกยุทธขั้นสอง 100 คนไปถ้ำใต้ดิน เมี่อคนเหล่านี้เอาชีวิตรอดในถ้ำใต้ดินได้ ผมเดาว่าพวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่ทรงพลังได้ในไม่ช้า”
“เฮ้อ!”
อาจารย์ใหญ่เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่และบ่นพึมพำ “ขั้นสอง…พวกเขายังเด็กอยู่เลย…”
“นักเรียนทุกคนยังเด็ก ทว่าแม้แต่เด็กก็จำเป็นต้องแบกรับความรับผิดชอบเช่นกัน”
“พวกเขาได้รับอนุญาตให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่ถูกกวาดล้างเท่านั้น ความเสี่ยงไม่สูง”
อาจารย์ใหญ่ผู้เฒ่าไมได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้อีก เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ก่อนหน้านี้ต้องเตรียมการล่วงหน้าก่อน อย่าเข้าถ้ำใต้ดินโดยไม่รู้เรื่องอะไร”
“นอกจากนี้ เมื่อถึงเวลานั้น เธอลอบปกป้องพวกเขาด้วย”
หวงจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยักหน้า
“ตอนนี้ ทางเข้าถ้ำใต้ดิน 22 แห่งก็มากเกินกว่าที่เราจะรับมือไหวแล้ว ถ้ามีอีกหนึ่งทางเข้า ฉันไม่มั่นใจว่าเราจะประคองไหวไหม”
“ฉันได้แต่หวังว่าในหนึ่งถึงสองปี จะมีผู้ฝึกยุทธชั้นยอดปรากฏขึ้นอีก”
อาจารย์ใหญ่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดต่อ “สถานการณ์ในพื้นที่อื่นก็ดูไม่ดีเช่นเดียวกัน…เธอได้ข่าวไหม?”
“ในแอฟริกา รัฐบาลปล่อยขีปนาวุธแล้ว”
“ครับ ผมเห็นแล้ว ทางเข้าถ้ำใต้ดินในพื้นที่นั้นถูกทำลาย”
“ฉันเกรงว่าเราจะปกปิดความจริงเรื่องถ้ำใต้ดินได้ยากขึ้น บางประเทศก็แบกรับแรงกดดันไม่ไหว เวลานี้พวกเขาจำเป็นต้องเกณฑ์ประชาชนทุกคนไปเป็นทหารเพื่อต้านทานถ้ำใต้ดิน”
“เมื่อความจริงถูกเปิดเผย…ฉันเกรงว่าเราจะไม่มีวันได้เห็น…ชีวิตที่สงบสุขของมนุษย์อีก”
อาจารย์ใหญ่ผู้เฒ่าทอดถอนใจอีกครั้ง หวงจิ่งตอบกลับอย่างใจเย็น “บางทีมันอาจเป็นโอกาสใหม่ ไม่ว่าอย่างไรผู้ฝึกยุทธก็เป็นคนส่วนน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศจีนก็รับมือไม่ไหวเช่นกัน”
“เราได้แต่ใช้ชีวิตมนุษย์เพื่อเติมเต็มช่องว่าง อาศัยจำนวนคนผลักดัน เราจำเป็นต้องให้เวลาผู้ฝึกยุทธพักหายใจบ้าง”
คำพูดเขาฟังดูเลือดเย็น แต่อาจารย์ใหญ่ไม่ได้ออกความเห็น
เมื่อเวลานั้นมาถึง นี่เป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขาทำได้
หลังจากที่เขาเลิกคิดเรื่องนี้ อาจารย์ใหญ่ผู้เฒ่าก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “รัฐบาลอาจให้ความช่วยเหลือท้องถิ่น นี่เป็นหายนะที่ส่งผลทั้งมวลมนุษย์ แจ้งให้อาจารย์เตรียมตัวด้วย”
หวงจิ่งกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อาจารย์ใหญ่ส่ายหน้าและกล่าว “อย่างน้อยในระหว่างนี้ เราไม่ควรนั่งดูดาย เว้นแต่ว่าแม้แต่เราก็ไม่ไหวอีกต่อไป”
“เอาล่ะ ฉันหวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
เมื่อสิ้นเสียงพูด ห้องอาจารย์ใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบ
ในที่สุดฟางผิงก็หยุดฝึก
“ฉันเป็นขั้นสามแล้ว!”
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ชั้นสูงหรือสูงสุด แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ปี 2008 กลางเดือนเมษายน ฉันได้สัมผัสกับผู้ฝึกยุทธ ปี 2009 สิ้นเดือนมีนาคม ฉันเป็นขั้นสามแล้ว!”
แม้ว่าหวังจินหยางจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นขั้นสามในหนึ่งปี แต่นั่นนับตั้งแต่ช่วงเวลาแรกเข้ามหาลัยวิชายุทธ ไม่ใช่เวลาที่เขาได้สัมผัสกับวิชายุทธ
แม้แต่หวังจินหยางก็เตรียมสอบวิชายุทธตั้งแต่ตอนมัธยมปีที่สี่
“ขั้นสาม ถ้ำใต้ดิน หัวกะทิ…”
คำพูดเหล่านี้ยังดังก้องอยู่ในใจเขา
“นอกจากนี้ขั้นสามยังเป็นพวกที่ตายมากที่สุดและเร็วที่สุด!”
ในทำนองเดียวกัน ความเป็นไปได้อีกสองอย่างก็แวบเข้ามาในใจ
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผู้ฝึกยุทธขั้นสามเป็นคนที่มีอัตราการตายสูงสุดและเร็วที่สุด
นักศึกษามหาลัยวิชายุทธจะเริ่มสัมผัสกับถ้ำใต้ดินในขั้นสาม มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะเริ่มเข้าถ้ำใต้ดิน เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะเผชิญอันตรายของถ้ำใต้ดินอย่างแท้จริง
ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธขั้นสามจึงเสียชีวิตกันมากมาย พวกเขาตายกันเร็วมาก
เมื่อฟางผิงคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกตัวสั่น มันไม่ได้เป็นความกลัวหรือตื่นเต้น แต่เป็นความคาดหวังและการไม่ทราบอนาคตที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
“ฉันจะได้เข้าถ้ำใต้ดินแล้วใช่ไหม?”
“ถ้ำใต้ดินมีลักษณะเป็นยังไง?”
“สิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างในเป็นเหมือนมนุษย์ไหม?”
“มีอันตรายแบบไหนรออยู่?”
“ต้องเข้าไปเข่นฆ่ากันทันทีเลยไหม?”
“…”
ความสงสัยแวบเข้ามาในใจของฟางผิงไม่หยุด
เขาคิดเรื่องพวกนี้ไม่ไหว ฟางผิงจึงหันไปสนใจกับค่าสถานะปัจจุบันของตัวเอง
ทรัพย์สิน : 20.8 ล้าน
ปราณและเลือด : 540แคล (576แคล)
จิตใจ : 430เฮิรตซ์ (449เฮิรตซ์)
ขัดเกลากระดูก : 126 ชิ้น (90%) 80 ชิ้น (30%)
เขาไม่ได้ใช้ค่าทรัพย์สินเท่าไหร่ แถมการเชื่อมเส้นเลือดเล็กก็ไม่ได้ใช้ไปมาก
ฟางผิงไม่มีแผนฟื้นฟูปราณและเลือด ห้องพลังงานแถมยังใช้เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองไปอีก ถ้าเขาใช้ค่าทรัพย์สินฟื้นฟู เขาคงเป็นไอ้งั่งแล้ว
“ขีดจำกัดปราณและเลือดเพิ่มขึ้น 51แคล การเชื่อมเส้นเลือดเล็กรอบนี้เพิ่มความแข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไปจะมีปราณและเลือดนับพันแคลเมื่อบรรลุจุดสูงสุด”
หลังเขาพูดจบ ฟางผิงก็ลุกขึ้นยืนและรีบออกไปทันที
…
ณ แผนกต้อนรับ
“อาจารย์ ผมฝึกอยู่สี่ชั่วโมง ผมอยากเช็คเอาท์”
อาจารย์แผนกต้อนรับเหลือบมองเขาสักพักก่อนจะตอบ “เป็นไปไม่ได้ เมื่อใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะใช้ต่อหรือไม่ก็ต้องเปิดจนหมดเวลา”
“อาจารย์…”
“แร่พลังงานเริ่มปล่อยพลังงาน เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาคืน เข้าใจใช่ไหม?”
“อาจารย์…ผม…”
“ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์!”
ฟางผิงมองอาจารย์หัวแข็งแล้วรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย สิบคะแนน มันมีค่ามาก!
เขาเหลือบไปเห็นสองสามคนที่กำลังเข้ามาในห้องโถง ฟางผิงจึงตะโกนขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ห้องบ่มเพาะ บ่มเพาะหนึ่งชั่วโมง เก้าคะแนน!”
อาจารย์ที่แผนกต้อนรับตกตะลึง เขามองฟางผิงอย่างลึกซึ้ง ทำให้มั่นใจว่าจำเขาได้
เสียงตะโกนของฟางผิงดึงดูดความสนใจของบางคนเข้า “ห้าคะแนนเอาไหม?”
“จะปล้นกันรึไง? แปดคะแนน ถ้าไม่อยากได้ก็ช่างเถอะ ฉันจะปล่อยมันทิ้งไว้”
“ก็ได้ ตกลง!”
สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว สองคะแนนก็มีค่า พวกเขาจะประหยัดกันเท่าที่จะทำได้ ไม่นานผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็ตัดสินใจแลกเปลี่ยนกับฟางผิง
การแลกเปลี่ยนเช่นนี้จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ จู่ๆอาจารย์ที่แผนกต้อนรับก็พูดขึ้นมา “หนึ่งคะแนนต่อครั้ง!”
ฟางผิงแทบกระอักเลือด ชายคนนี้…พอกันที!
เมื่อเห็นเวลาเดินไปเรื่อยๆ แถมฟางผิงไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายข้างนอกได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยอมรับคำพูดของอาจารย์
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงฟางผิงเท่านั้นที่จ่ายค่าธรรมเนียมนี้ ผู้ฝึกยุทธอีกคนที่แลกเปลี่ยนกับฟางผิงไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม
“เจ็ดคะแนน ฉันเสียเม็ดยาปราณและเลือดสามัญไปหนึ่งเม็ด”
เขามองอาจารย์ตรงหน้าอย่างล้ำลึกก่อนจะเลื่อนสายตามองป้าชื่อติดอก ซ่งอิ๋งจี๋!
‘ดีมาก ฉันฟางผิงจะจำคุณไว้เป็นอย่างดี!’
‘สักวันหนึ่งเมื่อฉันมีอำนาจในโม๋อู่ คุณจะถูกส่งไปทำความสะอาดห้องน้ำ ชดเชยเม็ดยาที่ฉันเสียไปเป็นร้อยเท่า!’
ช่วงนี้เขาจดจำผู้คนหลายคน ฟางเหวินเสียงจากจิงอู่เป็นหนี้เม็ดยาระดับสูง
หวังจินหยางจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเป็นหนี้เขา 45 ล้าน
ตอนนี้อาจารย์ซ่งจากโม๋อู่เป็นหนี้เขาเม็ดยาปราณและเลือด 100 เม็ด เขาจะตัดสินใจเรื่องระดับเม็ดยาทีหลัง
ซ่งอิ๋งจี๋เห็นฟางผิงมองป้ายชื่อของตนก็เผยรอยยิ้มออกมา “ความแข็งแกร่งของฉันอยู่แค่ระดับเฉลี่ย ขั้นห้า อยากสู้ไหม?”
“ช่างเถอะอาจารย์ซ่ง ผมไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น”
ฟางผิงยิ้ม ท่าทางเหมือนนักศึกษาที่ไร้เดียงสาคนนึง จากนั้นเขาก็รีบเดินออกจากห้องพลังงานไป
เมื่อเขาจากไปแล้ว ซ่งอิ๋งจี๋ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เด็กดี ฉันอยากจะเห็นว่านายจะกลับมาสอนบทเรียนฉันยังไง”
…
เมื่อฟางผิงออกมาจากห้องพลังงาน เขาก็พบกับฉินเฟิ่งชิง
ฉินเฟิ่งชิงกำลังถูพื้น…ใช่แล้ว ถูพื้น!
เมื่อเขาเห็นฟางผิง ฉินเฟิ่งชิงก็กล่าวอย่างเคอะเขิน “ฟางผิง นายมีให้ฉันยืมสักสามแสน…”
“ผมจน!”
“ฟางผิง เราเป็นเพื่อนกัน นายจะพูดแบบนั้นได้ยังไง?”
“ใช่ รุ่นพี่เป็นหนี้ผมสามแสน ผมจะจำไว้!”
หลังพูดจบ ฟางผิงก็รีบจากไป
ฉินเฟิ่งชิงอ้าปากค้าง เขาพึมพำ “นายไม่ทันให้ฉันยืมเงินด้วยซ้ำ…”
‘หรือฟางผิงให้ฉันยืมเงิน?’
ฉินเฟิ่งชิงชำเลืองมองผู้ฝึกยุทธที่ดูแลห้องโถงโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วกล่าว “อย่ามามองฉัน เขาไม่ได้จ่ายให้นาย”
“แล้วฉันเป็นหนี้เขาสามแสนได้ไง?”
“ฉันจะรู้ได้ไง? ถูพื้นให้ดี อย่าขี้เกียจ นายจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อมีคนส่งเงินมาให้!”
“คุณ…”
ฉินเฟิ่งชิงโกรธมาก เขาควักโทรศัพท์ออกมาโทรแล้วกระชากเสียงใส่โทรศัพท์ “จางอวี่ ถ้านายยังไม่เอาเงินมาให้ฉัน ฉันจะทุบตีชู้รักของนายทุกวัน!”
“ไสหัวไป!”
เสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากปลายสาย ไม่นานสายก็ถูกตัดไป
ผู้ฝึกยุทธที่ดูแลห้องโถงชำเลืองมอง มีคนมากมายที่แส่หาที่ตาย ส่วนใหญ่จะตายไปโดยที่เข้าใจได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแปลกที่ฉินเฟิ่งชิงยังมีชีวิตอยู่
…
หลังกลับมาจากเขตใต้ ฟางผิงก็กลับมาแผนกโลจิสติกส์อีกครั้ง
เดี๋ยวนี้แผนกโลจิสติกส์เงียบมาก นักศึกษาหลายคนเลือกซื้อของออนไลน์แทน
เมื่อเห็นฟางผิง เฒ่าหลี่ก็ปลุกความกระตือรือร้นออกมาไม่ได้มากนัก ฟางผิงทรัพยากรหมดแล้ว เขาจึงไม่มีแรงมาสนใจฟางผิง
อย่างไรก็ตามไม่นานแววตาของเฒ่าหลี่ก็เปล่งประกาย เขายิ้มแล้วพูด “นักศึกษาฟางผิง เธอไปแลกรางวัลสำหรับทะลวงจากขั้นสองสู่ขั้นสามแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่ได้แลก”
“เธอกำลังรออะไร? นั่นมันสองร้อยคะแนนเลยนะ!”
เฒ่าหลี่เอาใจใส่ผลประโยชน์ของฟางผิง รางวัลสำหรับทะลวงสู่ขั้นหนึ่งคือ 50 คะแนน ขั้นสองคือ 100 คะแนน และขั้นสามคือ 200 คะแนน มันถูกมอบให้ฟรีๆ
คนร่ำรวยอย่างฟางผิงเป็นขั้นสามแล้ว เขาอาจไม่ขาดแคลนคะแนนสำหรับอนาคต
ฟางผิงไม่ลังเล เขารีบรับคะแนนทันที
หลังรับคะแนนเสร็จ ฟางผิงก็รีบกลับมา “217 คะแนน ผมขอยาปราณและเลือดสามัญ 80 เม็ด”
“ไปไกลเลย!”
“80 เม็ด!”
ฟางผิงยืนกรานเสียงหนัก “อาจารย์ ผมแลกเม็ดยากับอาจารย์ไปมากเท่าไหร่แล้ว ยิ่งกว่านั้นแพล็ตฟอร์มผมช่วยอาจารย์ลดปัญหามากแค่ไหน? อาจารย์จะไม่ให้ส่วนลดผมสักเล็กน้อยเลยเหรอ?”
“ผมไม่ได้เอาไปขาย ผมจะเอาเม็ดยาไปแจกจ่ายให้สมาชิกชมรมเป็นค่าตอบแทนให้พวกเขา”
“พวกเขาล้วนเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ พวกเขาอยู่กันไม่ง่ายเลย…”
เฒ่าหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฟางผิงมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ถ้าผมไม่ยากจน ผมคงให้พวกเขาทุกคนแล้ว มันควรเป็น 108 เม็ด อาจารย์ถ้าอาจารย์รู้สึกว่า 108 เม็ด…”
“เหอะเหอะ”
เฒ่าหลี่ระเบิดเสียงหัวเราะ นายยังกล้าพูดอีกนะ
“สิ่งของที่เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนจะถูกบันทึกไว้ อาจารย์ให้เธอมากกว่านี้ไม่ได้ ไร้กฏเกณฑ์ไร้มาตรฐาน จะทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จหรอก…”
“อาจารย์ น้องสาวผมชื่อฟางหยวน เธอก็ไม่ทำตัวตามกฏเกณฑ์…”
“เธอ…”
เฒ่าหลี่รู้สึกพูดไม่ออก หลังจากนั้นสักครู่เขาก็เอ่ยเตือน “เธอต้องห้ามขายเม็ดยาอีก ถ้าอาจารย์รู้…”
“ผมไม่ขายแน่นอน!”
ฟางผิงส่ายหน้า ‘ถ้าอาจารย์รู้ผมคงตาย ผมจะให้อาจารย์รู้ได้ยังไง?’
“เอาไป”
หลังหักคะแนนของฟางผิง ฟางผิงก็ได้รับเม็ดยาปราณและเลือด 80 เม็ด ค่าทรัพย์สินเขาเพิ่มขึ้น 1.26 ล้านในพริบตา
“22.06 ล้านแล้ว”
ฟางผิงคิดคำนวณก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบอีกครั้ง
…
ห้านาทีต่อมา
เฉินหยุนซีรู้สึกหนักใจ “ฉันไม่อยากซื้อแล้ว ฉันมีเม็ดยาพอแล้ว ฉันไม่ต้องการมากขนาดนั้น”
“พ่อแม่เธอจำเป็นต้องใช้”
“พวกท่านไม่ต้องการสิ่งนี้”
“ญาติเธอล่ะ?”
“ญาติก็เหมือนกัน”
“แล้วเพื่อนเธอล่ะ?”
“พวกเขาไม่ได้ขาดเม็ดยา”
“เธอ…เธอไม่มีสมาชิกครอบครัวที่ใช้เม็ดยาเลยเหรอ?”
เฉินหยุนซีจนใจมาก บังคับซื้อขายเม็ดยา นี่ยังเป็นมหาลัยอยู่เหรอ?
หลังถอนหายใจ เฉินหยุนซีหมดคำจะพูด “นาย…นายขายเม็ดยาตลอด นายไม่ใช้เองเลยเหรอ?”
“ฉันต้องการเงิน”
“แล้วถ้านายจะฝึกฝนล่ะ?”
“ฉันใช้ความพยายาม”
ฟางผิงไม่ได้อธิบายอะไรนัก เขามาขายเม็ดยา พูดพล่ำทำเพลงมากก็ไม่มีประโยชน์
“…เท่าไหร่?”
“80 เม็ด ราคาตลาด 8 ล้าน เธอจ่ายฉันแค่ 7.6 ล้านพอ” ฟางผิงคำนวณในใจ ด้วยเหตุนี้เขาจะเพิ่มค่าทรัพย์สินได้อีกสองล้าน
เฉินหยุนซีรู้สึกรำคาญ “มันแพงกว่าครั้งก่อนอีก ฉันไม่ซื้อแล้ว!”
“ช่วยสนับสนุนฉันด้วยเถอะ ฉันเกือบบรรลุระดับปรมาจารย์แล้ว พอฉันเป็นปรมาจารย์ ฉันจะตอบแทนเธอแน่นอน”
ฟางผิงไม่ได้มีความตั้งใจจะลดราคา ส่วนเงินหลายแสนที่เขาต่อรองกับเธอ ไว้ใช้คืนตอนเขาร่ำรวยในอนาคตก็ยังไม่สาย
“ถ้าเธอลงทุนในตัวฉันฟางผิงในวันนี้ เธอจะไม่เสียใจในอนาคต ตอนนี้ฉันบรรลุขั้นสามแล้ว!”
สีหน้าของเฉินหยุนซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ขั้นสาม?”
“ใช่ ปรมาจารย์เป็นแค่เรื่องของเวลา ตอนนี้ฉันกำลังหาเงินเพื่อเตรียมตัวเข้าถ้ำใต้ดิน เมื่อฉันเข้าถ้ำใต้ดิน ฉันจะเป็นหรือตายก็พูดยากแล้ว…”
ขณะที่ฟางผิงพูดเรื่องนี้ จู่ๆหยางเสี่ยวม่านก็เปิดประตูเข้ามา เธอพูดอย่างตื่นเต้น “หยุนซี อาจารย์ฉันบอกว่าเขาอาจพาเราเข้าถ้ำใต้ดินช่วงหน้าร้อนนี้เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต…”
“เอ๊ะ ฟางผิง นายมาทำไร?”
ฟางผิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พวกเขาจะได้เข้าถ้ำใต้ดินจริงๆ!
เมื่อกี้เขาแค่พูดเล่น เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง ไม่เพียงแต่เขาจำเป็นต้องเข้าถ้ำใต้ดินเท่านั้น แม้แต่หยางเสี่ยวม่านที่เป็นขั้นสองก็ยังได้รับแจ้ง
เฉินหยุนซีอึ้งไปสักครู่ เธอมองฟางผิงแวบนึง เธอคิดว่าฟางผิงแค่พูดจาเหลวไหล เธอไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้เข้าถ้ำใต้ดินจริงๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฉินหยุนซีก็พยักหน้าแล้วกล่าว “เอาเม็ดยามา เดี๋ยวฉันจะโอนเงินให้”
“ตกลง ขอบใจมาก”
ฟางผิงทิ้งเม็ดยาไว้แล้วหันหลังจากไป
เมื่อเขาจากไปแล้ว หยางเสี่ยวม่านก็รีบถาม “เขาขายเม็ดยาให้เธออีกแล้วเหรอ?”
“ใช่ เขาบอกว่าเขาจะเข้าถ้ำใต้ดิน เขาเลยต้องการเงิน ดังนั้น…”
“เธอ…เธอพึ่งซื้อไปงั้นเหรอ? เท่าไหร่?”
เฉินหยุนซีดูอักอ่วน เธอลดเสียงลง “80 เม็ด 7 ล้าน”
“โอ้ ไม่เลว รอบนี้เขาไม่ได้หลอกเธอ”
หยางเสี่ยวม่านแปลกใจเล็กน้อย เธอไม่คิดเลยว่าฟางผิงจะขายเม็ดยาให้เฉินหยุนซีในราคาส่วนลด 10% เขายังพอเชื่อถือได้อยู่บ้าง
เฉินหยุนซีหน้าแดงเล็กน้อย เธอปัดเศษลงหกแสนโดยสัญชาตญาณ ดีกว่าถูกเสี่ยวม่านหัวเราะเยาะ
…
ฟางผิงไม่ได้สนใจบทสนทนาของพวกเธอ
ตอนนี้ในใจเขามีเพียงความคิดเรื่องเดินทางไปถ้ำใต้ดินเท่านั้น
วันหยุดฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว
เดือนเมษายนใกล้เข้ามาแล้ว ก่อนถึงวันหยุดฤดูร้อน มีเวลาเหลือเพียงสามเดือนเท่านั้น
“สามเดือน…”
เขากำลังคิดอยู่ว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นสามชั้นสูงได้ในสามเดือนไหม เวลานั้นฟู่ชางติ่งก็เดินมา เขาเห็นฟางผิงที่ทางเดิน เขาจึงถามอย่างแปลกใจ “เช้านี้นายไปไหนมา?”
“ไม่ได้ไปไหน มีอะไรเหรอ?”
“อาจารย์ฉันแจ้งมาเมื่อกี้ เดือนมิถุนายน มหาลัยจะตั้งทีมผู้ฝึกยุทธขั้นสองเข้าถ้ำใต้ดิน ฉันจะมาบอกนายนี่แหละ”
“คลาสฝึกพิเศษจะถูกจัดระเบียบใหม่ คลาสจะดำเนินต่อ ส่วนใหญ่จะสอนความรู้เรื่องถ้ำใต้ดิน”
“เดือนมิถุนา?”
“ใช่”
“มีเวลาไม่ถึงสามเดือน…”
ฟู่ชางติ่งได้ยินคำตอบเขาก็เอ่ยปลอบ “ไม่ต้องห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่เราเข้าถ้ำใต้ดิน เราไม่ได้เข้าไปลึก ยิ่งไปกว่านั้นมีอาจารย์ตามไปด้วย มันปลอดภัยมาก…”
“อย่าพูดเป็นลาง!” ฟางผิงแผดเสียง ยิ่งพูดแบบนั้น ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดขึ้นสูง
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องให้ความใส่ใจ เป็นการดีกว่าถ้าจะพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาผู้อื่น
ฟู่ชางติ่งกับคนอื่นๆน้ำขึ้นสมองไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับเขา
ในถ้ำใต้ดินที่ไม่สามารถใช้ของที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างถ้ำใต้ดิน ที่รูปแบบการเดินทางเป็นการเดินเท้า รูปแบบการสื่อสารเป็นการตะโกนเรียก มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะได้ยินอาจารย์และนักศึกษาหลงทางอยู่บ่อยๆ
พึ่งพาการปกป้องของอาจารย์ไม่สู้เชื่อใจตัวเอง
นอกจากนี้เขาต้องกลับไปเขตใต้ให้เร็วที่สุด เขาจำเป็นต้องจดจำแผนที่ภูมิประเทศเผื่อเขาหลงทาง เขาจะได้หาทางกลับได้
นอกเหนือจากนั้น เขาจำเป็นต้องสะสมค่าทรัพย์สินและเม็ดยาปราณและเลือดเพิ่ม อาวุธก็ต้องเปลี่ยน บางทีอัลลอยคลาสซีอาจจะเหมาะสมกว่า
แถมเขายังต้องไปปรึกษาผู้ที่ไปถ้ำใต้ดินเป็นประจำด้วย อย่างทักษะเอาชีวิตรอดในถ้ำใต้ดิน…
เป็นภารกิจที่หนักหนามาก!
เมื่อเห็นฟางผิงกังวลหนัก ฟู่ชางติ่งก็พูดไม่ออก เจ้าหมอนี่ มันจำเป็นจริงเหรอ?
ฟางผิงไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเดินออกไปเลย เขาจำเป็นต้องไปบริษัทสักหน่อย
…
ในขณะเดียวกัน
โม๋อู่ ณ ห้องอาจารย์ใหญ่
หวงจิ่งมองด้วยความเคารพ “อาจารย์ ผมได้รับแจ้งมาแล้ว โม๋อู่จะตั้งกลุ่มผู้ฝึกยุทธขั้นสอง 100 คนไปถ้ำใต้ดิน เมี่อคนเหล่านี้เอาชีวิตรอดในถ้ำใต้ดินได้ ผมเดาว่าพวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่ทรงพลังได้ในไม่ช้า”
“เฮ้อ!”
อาจารย์ใหญ่เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่และบ่นพึมพำ “ขั้นสอง…พวกเขายังเด็กอยู่เลย…”
“นักเรียนทุกคนยังเด็ก ทว่าแม้แต่เด็กก็จำเป็นต้องแบกรับความรับผิดชอบเช่นกัน”
“พวกเขาได้รับอนุญาตให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่ถูกกวาดล้างเท่านั้น ความเสี่ยงไม่สูง”
อาจารย์ใหญ่ผู้เฒ่าไมได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้อีก เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ก่อนหน้านี้ต้องเตรียมการล่วงหน้าก่อน อย่าเข้าถ้ำใต้ดินโดยไม่รู้เรื่องอะไร”
“นอกจากนี้ เมื่อถึงเวลานั้น เธอลอบปกป้องพวกเขาด้วย”
หวงจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยักหน้า
“ตอนนี้ ทางเข้าถ้ำใต้ดิน 22 แห่งก็มากเกินกว่าที่เราจะรับมือไหวแล้ว ถ้ามีอีกหนึ่งทางเข้า ฉันไม่มั่นใจว่าเราจะประคองไหวไหม”
“ฉันได้แต่หวังว่าในหนึ่งถึงสองปี จะมีผู้ฝึกยุทธชั้นยอดปรากฏขึ้นอีก”
อาจารย์ใหญ่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดต่อ “สถานการณ์ในพื้นที่อื่นก็ดูไม่ดีเช่นเดียวกัน…เธอได้ข่าวไหม?”
“ในแอฟริกา รัฐบาลปล่อยขีปนาวุธแล้ว”
“ครับ ผมเห็นแล้ว ทางเข้าถ้ำใต้ดินในพื้นที่นั้นถูกทำลาย”
“ฉันเกรงว่าเราจะปกปิดความจริงเรื่องถ้ำใต้ดินได้ยากขึ้น บางประเทศก็แบกรับแรงกดดันไม่ไหว เวลานี้พวกเขาจำเป็นต้องเกณฑ์ประชาชนทุกคนไปเป็นทหารเพื่อต้านทานถ้ำใต้ดิน”
“เมื่อความจริงถูกเปิดเผย…ฉันเกรงว่าเราจะไม่มีวันได้เห็น…ชีวิตที่สงบสุขของมนุษย์อีก”
อาจารย์ใหญ่ผู้เฒ่าทอดถอนใจอีกครั้ง หวงจิ่งตอบกลับอย่างใจเย็น “บางทีมันอาจเป็นโอกาสใหม่ ไม่ว่าอย่างไรผู้ฝึกยุทธก็เป็นคนส่วนน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศจีนก็รับมือไม่ไหวเช่นกัน”
“เราได้แต่ใช้ชีวิตมนุษย์เพื่อเติมเต็มช่องว่าง อาศัยจำนวนคนผลักดัน เราจำเป็นต้องให้เวลาผู้ฝึกยุทธพักหายใจบ้าง”
คำพูดเขาฟังดูเลือดเย็น แต่อาจารย์ใหญ่ไม่ได้ออกความเห็น
เมื่อเวลานั้นมาถึง นี่เป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขาทำได้
หลังจากที่เขาเลิกคิดเรื่องนี้ อาจารย์ใหญ่ผู้เฒ่าก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “รัฐบาลอาจให้ความช่วยเหลือท้องถิ่น นี่เป็นหายนะที่ส่งผลทั้งมวลมนุษย์ แจ้งให้อาจารย์เตรียมตัวด้วย”
หวงจิ่งกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อาจารย์ใหญ่ส่ายหน้าและกล่าว “อย่างน้อยในระหว่างนี้ เราไม่ควรนั่งดูดาย เว้นแต่ว่าแม้แต่เราก็ไม่ไหวอีกต่อไป”
“เอาล่ะ ฉันหวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
เมื่อสิ้นเสียงพูด ห้องอาจารย์ใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบ