World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 198 รอฉันเข้ามากุมอำนาจก่อนเถอะ…ฮึ่ม!
ฟางผิงยืนอยู่อย่างภาคภูมิ กวาดสายตามองฝูงชนด้วยรอยยิ้มสงบ ใครที่คิดว่าฉันฟางผิงไม่มีคุณสมบัติได้คะแนนก็เชิญออกมาได้เลย!
สายตาเขาจ้องมองไม่กี่คนที่เยาะเย้ยเขา สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป แต่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
เฉินเผิงเฟยเหลือบมองหยูซ่างฮวากับจางจื่อเวยก่อนจะหันกลับมามองฟางผิงพร้อมกับถามขึ้นมาโดยพลัน ถ้านายไม่ว่าอะไร นายช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าปราณและเลือดของนายสูงแค่ไหน?
ประมาณ 600แคล
เฉินเผิงเฟยหน้าเปลี่ยนสี เขาพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรอีก
ผู้ฝึกยุทธขั้นสองขัดเกลาสองครั้งมีปราณและเลือดอย่างมาก 500แคล
อันที่จริง 480แคลเป็นขีดจำกัดของคนส่วนใหญ่ นี่แหละคือผู้ฝึกยุทธขั้นสองขัดเกลาสองครั้ง
ปราณและเลือดของฟางผิงมาถึง 600แคลแล้ว มันหมายความว่าในการต่อสู้ เขาจะใช้กระบวนท่าได้ทรงพลังกว่า อยู่ได้นานกว่า ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นขั้นสามแล้ว ขีดจำกัดปราณและเลือด และสมรรถภาพร่างกายก็ดีขึ้นด้วย
แน่นอนนี่ไม่ใช่เหตุผลที่หยูซ่างฮวากับจางจื่อเวยพ่ายแพ้
มันเป็นเพราะด้วยปราณและเลือด 600แคล แถมฟางผิงสามารถฟื้นฟูปราณและเลือดได้ตลอดเวลา พวกเขาจึงไม่มีทางสู้ได้เลย
ต่อให้หยูซ่างฮวาอยากใช้ไพ่ตาย แต่ฟางผิงไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสทำแบบนั้น ฟางผิงปล่อยหมัดต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้หยูซ่างฮวารวมพลังไม่ได้
ส่วนเรื่องหลบเลี่ยงหรือวิ่งหนี…ถ้าหยูซ่างฮวาทำแบบนั้น งั้นจะประลองกันไปทำไม?
รุ่นพี่ทั้งสองร่วมมือกันประลองกับรุ่นน้อง ถ้าพวกเขาล่าถอยหรือวิ่งหนี มันคงน่าขายหน้ายิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้ฟางผิงไม่ได้เชื่องช้า แม้การระเบิดพลังของเขาไม่ได้สูงนัก แต่ความได้เปรียบของเขาคือเขาสามารถโจมตีต่อเนื่องได้โดยไม่หยุด
อีกอย่างฟางผิงยังได้ทุ่มเทอย่างมากกับการฝึกฝนวิชาก้าวย่าง ช่วงหลายวันมานี้ ทุกครั้งที่เขาว่าง เขาจะใช้เวลาไปกับการฝึกวิชาก้าวย่าง
ในความเห็นของฟางผิง ต่อให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ เขาก็ต้องเร็วกว่าให้ได้ ด้วยปราณและเลือดที่พรั่งพรูอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธที่ความเร็วเทียบเท่ากับเขาหลายคน เขาก็หนีเอาตัวรอดได้ ความเร็ว บวกกับฟันได้ต่อเนื่อง ผู้ฝึกยุทธประเภทนี้รับมือได้ยากมาก ถ้าการประลองดำเนินต่อไป หยูซ่างฮวาไม่มีหวังเอาชนะเลย เว้นแต่ว่าเขาจะทำให้ฟางผิงบาดเจ็บร้ายแรงได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ท่ามกลางความเงียบของฝูงชน ฟางผิงยิ้มเย้ยหยัน แต่ไม่ได้พูดอะไร
พวกเขาคิดว่าเขาเอาชนะกู้เสียงอย่างยากลำบาก ซึ่งนั่นเป็นความจริง พวกเขาไม่ได้คิดผิด มันเป็นเพราะการประลองครั้งนั้น ฟางผิงไม่ได้ใช้ค่าทรัพย์สิน เขาอาศัยความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้น
แต่ตอนนี้ประลองหนึ่งต่อสอง ถ้าเขาไม่ใช้ค่าทรัพย์สิน เขาคงโง่แล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยากให้ดูก้าวร้าวมากๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องแสร้งบาดเจ็บล่อจางจื่อเวย เขาจะสู้แบบลากถ่วงให้ทั้งสองเหนื่อยจนแพ้ไป
การจัดการจางจื่อเวยอย่างรวดเร็วและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เป็นผลลัพธ์ที่ฟางผิงรับได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว
…
ฝั่งฉันจะโหวตคะแนนให้นาย หยูซ่างฮวาหยิบพลองขึ้นมาแล้วเดินโซซัดโซเซจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
แขนซ้ายเขาหัก หน้าอกบาดเจ็บหนัก เขาจำเป็นต้องพักฟื้นอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ถึงจะสู้ได้อีกครั้ง
จางจื่อเวยบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าอีก ฟางผิงไม่ได้ออมแรง เพราะเขาอยากจัดการคู่ต่อสู้คนนึงโดยเร็ว แขนของจางจื่อเวยไม่ได้หัก แต่แตกเป็นเสี่ยงๆ
หากไม่มีเม็ดยารักษาที่มีประสิทธิภาพและเม็ดยาชำระกระดูกขั้นสอง เธอจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นไม่ต่ำกว่าเดือน
ส่วนหมัดคู่สุดท้าย…พวกหยางเสี่ยวม่านมีสีหน้าแปลกๆ เขาทำหน้าอกเธอยุบเลยรึเปล่า?
จางจื่อเวยรู้สึกพูดลำบาก เธอเหลือบมองฟางผิงแล้วจากไปพร้อมกับนักศึกษาสาวที่คอยประคองอยู่
หลังจากทั้งสองจากไป เฉินเผิงเฟยก็หัวเราะ อย่ามองฉัน ฉันไม่ใช่คู่มือนาย การโหวตเป็นเรื่องเล็กๆ
กลับกันนายถูกกำหนดให้สู้กับจ้าวเหล่ยสักวันหนึ่ง
โอ้?
จางจื่อเวยเป็นแฟนของเขา จิ๊ จิ๊ ดูสิว่านายทำเธอบาดเจ็บแค่ไหน ถ้าฉันเป็นจ้าวเหล่ย ฉันต้องไปเยี่ยมนายคืนนี้แน่นอน
เฉินเผิงเฟยหัวเราะไม่หยุด ฟางผิงไม่ได้ออมแรงแน่นอน
ฟางผิงอัดแฟนคนอื่นหนักจนหน้าอกยุบ ถ้าเป็นเฉินเผิงเฟย เขาคงหาทางแก้แค้นทันที
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างใจเย็น ถ้าเขามาก็ช่างเถอะ!
ถ้าเซี่ยเหล่ยมาท้าเขาประลองจริงๆ ฟางผิงย่อมไม่ใช่คู่มือเขาแน่นอน พอถึงเวลานั้น ก็อย่าตำหนิเขาที่ไม่สุภาพ!
ฟางผิงไม่ยอมประลองบนเวทีประลองแน่นอน ดังนั้นมันต้องจบลงที่การไล่ล่า ถ้าพวกเขาวิ่งไล่ล่ากันสักหลายชั่วโมง ต่อให้ฟางผิงเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ เขาก็ทำให้เซี่ยเหล่ยหมดแรงได้
เฉินเผิงเฟยหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ได้พูดอะไรอีกก่อนจะเดินจากไป
ฟู่ชางติ่งมองดูอย่างไม่พอใจ จู่ๆเฉินเผิงเฟยก็หันมาถาม ฟู่ชางติ่ง ก้นนายหายดียัง?
ระยำ! ฟู่ชางติ่งโกรธมากจนดูเหมือนกับอยากแลกชีวิตด้วย
เฉินเผิงเฟยหัวเราะแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการประจันหน้ากัน
หลังจากนั้นทุกคนก็เตรียมแยกย้ายกันจากไป แต่จู่ๆฟางผิงก็พูดขึ้นมา ก่อนเปิดเทอมหน้า ฉันจะท้าประลองประธานชมรมวิถียุทธ ทุกคนควรภาวนาดีกว่าว่าอย่าอยู่ภายใต้เงื้อมมือของฉัน!
ฟางผิงแค่นเสียง เก็บดาบยาวแล้วเดินจากไป
กลุ่มคนแก่พวกนี้! พวกเขาไม่รู้รึไงว่าไม่ควรข่มเหงคนหนุ่มสาว?
ฟางผิงเป็นแค่เด็กปีหนึ่ง! ถ้าเขาไม่ได้เป็นประธานชมรมวิถียุทธในปีหนึ่ง เขาก็ยังมีโอกาสในปีสอง
ตอนปีสอง พวกคนในชมรมวิถียุทธยังไม่จบการศึกษาแน่นอน
ตอนนี้พวกเขากำลังค่อนแคะเขา แต่รอจนเขากลายเป็นประธานก่อนเถอะ พวกเขาได้เห็นดีแน่!
ผู้ชมมองหน้ากันเองไปมาด้วยความสับสน จากนั้นสักพักก็มีคนถามอย่างจนใจ เป็นไปได้ไหมที่จะบรรลุขั้นสี่ในปีสอง?
ถ้าฟางผิงทำได้ เขาจะได้เป็นประธานแน่นอน
มีคนกระแอมแห้งๆ ขอให้ประธานอยู่ให้นานหน่อยเถอะ อย่าลาออกก่อนจบการศึกษา ตอนนี้เราอยู่ปีสามแล้ว พอเจ้าเด็กนี่เป็นประธานขึ้นมา เราจะได้ไม่ได้รับผลกระทบ
ทุกคนสบตากัน ปีสามบางคนก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา ถ้าจางอวี่ไม่ลาออกก่อนจบการศึกษา ฟางผิงก็เป็นประธานไม่ได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวฟางผิงมาสร้างปัญหาให้
ส่วนปีสองตอนนี้ พวกเขาต้องดูแลตัวเอง ใครจะรู้ล่ะ บางทีอาจมียอดฝีมืออยู่ก็ได้ เมื่อเทียบกับฟางผิงแล้ว เซี่ยเหล่ยมีโอกาสเป็นประธานมากกว่าเสียอีก
โชคดีที่เขาทุบตีจางจื่อเวย…
มีคนหัวเราะขึ้นมา ทุบตีจางจื่อเวย ฟางผิงสร้างอริให้ตัวเองแท้ๆ
ถ้าจ้าวเหล่ยไม่สร้างปัญหาให้เขาตอนนี้ อย่างมากพอฟางผิงบรรลุขั้นสามชั้นสูง เขาก็ต้องมาสร้างปัญหาให้แน่นอน
แฟนเขาบาดเจ็บหนัก แถมยังไม่รู้ว่าหน้าอกยุบไหม ไม่มีผู้ชายคนไหนที่สงบสติอารมณ์ได้เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้
…
ฟางผิง นายไม่เป็นไรใช่ไหม?
อีกด้านหนึ่ง เฉินหยุนซีถามอย่างเป็นกังวลเมื่อเห็นมือซ้ายที่โชกเลือดกับคราบเลือดบนหน้าอกของฟางผิง
ฟางผิงส่ายหน้าแล้วตอบอย่างสบายๆ กระดูกหักบางท่อน ปราณและเลือดเหือดแห้ง ฉันไม่มีปัญญาซื้อเม็ดยาชำระกระดูกขั้นสอง ฉันเลยต้องรอให้มันหายเอง
กระดูกหัก?
อืม แค่ไม่กี่ท่อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่
งั้น…
หยุนซี! หยางเสี่ยวม่านตะโกน เธอถลึงตามองฟางผิงแกมรำคาญ นายไม่กลั่นแกล้งคนซื่อสัตย์จะได้ไหม?
ฟางผิงทำท่าตกใจ เขากล่าวอย่างงุนงง ฉันทำอะไร?
นาย…
หยางเสี่ยวม่านพูดไม่ออก เขาทำอะไรงั้นเหรอ?
เขามาพูดไร้สาระเรื่องอาการบาดเจ็บของตัวเองทำไม? เขาคิดจริงๆเหรอว่าพวกเขาดูไม่ออก?
ฟางผิงพูดไม่ออก เขากล่าวอย่างหดหู่ ฉันกลั่นแกล้งใคร? กระดูกฉันหัก แต่มันเป็นกระดูกฉัน ฉันแค่ยากจน เธอรู้ไหม เด็กจากครอบครัวยากจนต้องหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เด็ก เลยทนต่อความเจ็บปวด ฉันชินแล้ว…
ฟู่ชางติ่งทนไม่ไหว เขาพูดขัด พอแล้ว อย่ามาโกหกหยุนซีตรงนี้นะ ถ้านายกระดูกหักจริง นายคงหยิบยาชำระกระดูกขึ้นมากินเป็นสิบๆเม็ดแล้ว
เขาเข้าใจฟางผิงเป็นอย่างดี ถ้าเจ้าหมอนี่บาดเจ็บ เจ้าหมอนี่ไม่เคยหวงของเลย
เฉินหยุนซีพึ่งตระหนักเรื่องนี้ หน้าเธอแดงก่ำไปด้วยความโกรธ
ฟางผิงรู้สึกจนใจ ‘ฉันแค่พูดเฉยๆ ต่อให้ฉันหลอกคน ฉันก็หลอกแค่คนเดียว ไม่ได้หลอกคนอื่นเสียหน่อย แถมฉันทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ!’
ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย ก็ได้ ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฉันทนลำบากทนความทรมาณด้วยตัวเองก็ได้
หยุด! ฟู่ชางติ่งขัดจังหวะอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า นายทะลวงสู่ขั้นสามตอนไหน?
หลังกลับมามหาลัย
ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? นายไม่ได้ถามหนิ ถ้าฉันบอกนาย นายจะไม่ท้อเอาเหรอ?
…
ฟางผิงพูดไม่ผิด มันน่าท้อใจจริงๆ
ขั้นสาม…
ทุกคนถอนหายใจ เรื่องนี้ก็พอแล้วที่จะทำให้ใครบางคนหมดหวัง
ปีหนึ่งของพวกเขายังไม่จบเลยด้วยซ้ำ!
พวกเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก ฟู่ชางติ่งถามขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องสร้างทีมนายคิดเห็นยังไง?
ฟางผิงตอบขณะเดินไปพลาง ฉันจะมีความเห็นอะไร? เราเป็นน้องใหม่ รุ่นพี่จะรับเราเข้าทีมเหรอ?
ฉันน่ะไม่มีปัญหา คงไม่มีใครปฏิเสธฉัน
แต่ช่างมันเถอะ มันน่าเบื่อ เรามาตั้งทีมด้วยกันดีกว่า
ฟางผิงมองจ้าวเหล่ยที่อยู่เงียบแล้วกล่าว ลองขอให้อาจารย์นายช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆสิ เขาดูแลกิจการประจำวันแทบทุกอย่างของมหาลัย ยังไงเสียลูกศิษย์ของเขาสองคนอยู่ทีมนี้ ให้คะแนนเราสักสองสามพันคะแนนคงไม่น่ายาก…
จ้าวเหล่ยไม่หันมามอง ไม่หันมาตอบ
หยางเสี่ยวม่านอึ้งไปชั่วครู่ ไปขอเขาเองสิ ถ้านายไม่ตาย เราจะไปลองขอดู
เชอะ! ฟางผิงแค่นเสียง เธอคิดว่าเขาบ้าพอที่จะไปหาที่ตายงั้นเหรอ?
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็ถอนหายใจ อาจารย์ของเราไม่มีประโยชน์เลย เธอขี้เหนียวมาก…
จ้าวเสวี่ยเหมยพูดเบาๆ ปกป้องหลู่เฟิ่งโหรว อาจารย์ใจดีมาก สองวันก่อน อาจารย์ขายยาชำระกระดูกขั้นสองสิบเม็ดให้ฉันครึ่งราคา…
ฟางผิงถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วครู่
นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ!
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าหลู่กลั่นแกล้งเขาเห็นๆ เธอสองมาตรฐานชัดๆ!
ทุกคนกลั้นหัวเราะสุดกำลัง ฟางผิงสมควรโดนแล้ว!
หลู่เฟิ่งโหรวเห็นว่าเขาขายเม็ดยาบ่อย เธอย่อมไม่ขายเม็ดยาให้เขาครึ่งราคาเพื่อให้เขาเอาไปขายแน่นอน
จ้าวเสวี่ยเหมยต่างออกไป เธอฝึกฝนอย่างจริงจัง ไม่เคยทำแบบฟางผิงมาก่อน มันเห็นได้ชัดจากนิสัยของเธอ
แต่ฟางผิงต่างออกไป
อย่างน้อยในสายตาของหลู่เฟิ่งโหรว ฟางผิงไม่ขาดเม็ดยา เธอไม่เคยเห็นความก้าวหน้าของฟางผิงหยุดชะงักลงเนื่องจากขาดทรัพยากร
ถ้าฟางผิงความก้าวหน้าหยุดลงเนื่องจากเม็ดยาไม่พอใช้ หลู่เฟิ่งโหรวย่อมปฏิบัติต่อเขาอีกแบบ
สิ่งที่อาจารย์ควรทำคือการมอบถ่านไฟกลางหิมะ ไม่ใช่ตกแต่งหน้าเค้กแล้วผลาญทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
…
ขณะที่พวกฟางผิงเดินกลับไปหอพัก ข่าวที่ฟางผิงเอาชนะหยูซ่างฮวากับจางจื่อเวยพร้อมกันก็แพร่กระจายออกไปราวกับไฟป่า
…
ในออฟฟิศชมรมวิถียุทธ โจวเหยียนมองจางอวี่ที่กำลังจัดเอกสารอยู่ เธออดพูดขึ้นมาไม่ได้ ฟางผิงเป็นขั้นสามแล้ว
อืม
ปีนี้ยังไม่จบด้วยซ้ำ…
เธออยากจะพูดอะไร?
เขาเติบโตเร็วเกินไป เร็วกว่าหวังจินหยางจากหนานอู่เสียอีก ฉันกังวลว่าไม่นานเขาจะเป็นขั้นสามสูงสุด…จากนั้น…
จางอวี่วางปากกาลงแล้วเงยหน้าขึ้น เธอห่วงว่าฉันจะแพ้งั้นเหรอ?
เปล่า โจวเหยียนส่ายหน้า แต่ก็พูดต่ออย่างเป็นกังวล ทำไมนายไม่หยุดดูแลกิจการของชมรมแล้วตั้งสมาธิกับการฝึกล่ะ? นายยังไม่บรรลุขั้นสี่ชั้นกลางเลย ฉันได้ยินว่าหวังจินหยางบรรลุชั้นกลางแล้ว แถมเขายังทะลวงหลังนายด้วย
เมื่อผู้ฝึกยุทธบรรลุขั้นสี่ ความคืบหน้าจะช้าลงเสมอ
หวังจินหยางทะลวงขั้นตอนเดือนตุลาคมปีก่อน ตอนนี้เดือนเมษายน ฝึกฝนมาครึ่งปี เขาก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ชั้นกลางแล้ว
จางอวี่ทะลวงขั้นตอนเดือนพฤษภาคมปีก่อน นับตั้งแต่นั้นมา มันผ่านมาเกือบปีแล้ว
เขาคืบหน้าช้าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาทุ่มเทให้กับชมรมวิถียุทธ
จางอวี่ยิ้มอย่างใจเย็น เธอกลัวว่าฟางผิงจะตามฉันทันเหรอ? เขาเป็นแค่ขั้นสาม เธอคิดจริงๆเหรอว่าเขาจะก้าวข้ามฉันไป?
เอ่อ… โจวเหยียนไม่ได้ตอบ แต่อธิบายทันที เขาตามไม่ทันหรอก แต่ฉินเฟิ่งชิงล่ะ? เจ้าหมอนี่เป็นขั้นสามสูงสุดแล้ว เขาบรรลุขั้นสี่ได้ทุกเมื่อ ฉันรู้สึกว่า ถ้านายแพ้ฟางผิงมันยังไม่เป็นไร
แต่ถ้านายแพ้ฉินเฟิ่งชิง ด้วยนิสัยของเขา นายไม่ได้อยู่อย่างสงบๆแน่ นายไม่ได้อัดเขาแค่ครั้งสองครั้งนะ
จางอวี่สีหน้าเปลี่ยนไป เจ้าขี้โม้นั่น!
ถ้าฉินเฟิ่งชิงบรรลุขั้นสี่ มันต้องมีการต่อสู้มากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อจัดการทุกอย่าง
ถ้าฉินเฟิ่งชิงกลายมาเป็นประธาน จางอวี่ไม่ได้สงสัยเรื่องสถานะของชมรมวิถียุทธเลย มันต้องกลายเป็นที่ที่วุ่นวายยิ่งกว่าตลาดสด มีการต่อสู้เกิดขึ้นทุกวันแน่นอน
จางอวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม นั่นสินะ ถึงเวลาตั้งใจฝึกแล้ว นับตั้งแต่ที่บรรลุขั้นสี่มันก็เป็นปีแล้ว
ตอนนี้ฝากดูแลกิจการของชมรมวิถียุทธด้วย ฉันจะไปถ้ำใต้ดิน จะกลับมาอีกทีหลังบรรลุขั้นสี่ชั้นกลาง
ส่วนฟางผิง เขายังมีหนทางอีกไกลกว่าจะตามจางอวี่ทัน
ก่อนเป็นขั้นสามชั้นสูง ฟางผิงไม่มีทางคุกคามเขาได้
โจวเหยียนพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เธอกล่าวด้วยอารมณ์หลากหลาย ฉินเฟิ่งชิงอยู่ปีเดียวกับนาย เซี่ยเหล่ยอยู่ปีสอง ฟางผิงปีหนึ่ง…ประธาน ฉันคิดว่าปีหน้านายคงรักษาตำแหน่งได้ยากแล้ว
เธอไม่ได้ดูถูกจางอวี่ แต่คนอื่นๆไม่เคยหยุดที่จะตามให้ทัน
ขั้นสี่มีความคืบหน้าช้าอยู่แล้ว ถ้าทุกคนคืบหน้าด้วยความเร็วนี้ จะมีคนตามเขาทันแล้วท้าประลองกับเขาแน่นอน
ประธานชมรมวิถียุทธในมหาลัยไม่ใช่ตำแหน่งที่รักษาไว้ง่ายๆ
นักศึกษาขั้นห้าที่มีเพียงหยิบมือเดียวในมหาลัยต่างก็จบการศึกษาในเทอมนี้
ถ้าจางอวี่ ประธานชมรมวิถียุทธไม่บรรลุขั้นห้าก่อนจบการศึกษา ปีหน้ามหาลัยอาจไม่มีนักศึกษาขั้นห้าเลย
ถ้านักศึกษาใหม่แข็งแกร่งกว่า รุ่นพี่ไม่แข็งแกร่งเท่า ผลงานของจางอวี่ในฐานะประธานจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน
โจวเหยียนไม่ได้พูดออกมา แต่จางอวี่รู้อยู่แก่ใจดี
นั่นสิ มันเกือบถึงช่วงจบการศึกษาแล้ว
รุ่นพี่ไม่กี่คนที่เป็นขั้นห้ากำลังจะจากไปในไม่ช้า อันที่จริงพวกเขาไม่ได้อยู่มหาลัย พวกเขาต่างก็อยู่เมืองอื่นหรือไม่ก็ไปถ้ำใต้ดินกัน
ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ยังเป็นนักศึกษาของโม๋อู่
แต่เมื่อพวกเขาจบการศึกษา พวกเขาก็จะออกจากมหาลัยและจำนวนนักศึกษาขั้นห้าในมหาลัยก็จะกลายเป็นศูนย์
จางอวี่ถามขึ้นมาทันทีด้วยความคิดยุ่งเหยิงในใจ เธอคิดยังไงถ้าเราขอให้ฟางผิงเข้าชมรมวิถียุทธ?
เข้าชมรม?
เป็นรองประธาน เขากับเซี่ยเหล่ยอาจบรรลุขั้นห้าก่อนจบการศึกษา จางอวี่พูดเบาๆ ฉันจะเป็นประธานหรือไม่ ไม่สำคัญ
ประธานชมรมวิถียุทธในจิงอู่เป็นขั้นสี่สูงสุดแล้ว หวังจินหยางจากหนานอู่ก็เป็นขั้นสี่ชั้นกลางแล้ว ประธานของมหาลัยวิชายุทธแห่งประเทศจีนก็ใกล้บรรลุขั้นสี่ชั้นกลางแล้วเหมือนกัน
ปลายปีนี้จะมีงานประลอง เท่าที่ฉันรู้ งานประลองจะไม่ใช่งานประลองของปีหนึ่ง แต่เป็นการประลองระหว่างชมรมวิถียุทธ
งานประลองครั้งแรกฝากภาระไว้กับเด็กปีหนึ่ง
ครั้งที่สองอาจไม่เป็นเช่นนั้น
ความแข็งแกร่งของมหาลัยและความสำเร็จของการฝึกฝนจะถูกพิจารณาจากนักศึกษาที่แข็งแกร่ง ชมรมวิถียุทธเป็นตัวแทนของนักศึกษาที่แข็งแกร่งที่สุด
จางอวี่ตัดสินว่าชมรมวิถียุทธมีโอกาสมากที่สุดที่จะเข้าร่วมงานประลองปีนี้
โจวเหยียนไม่รู้จะพูดอะไร นักศึกษารุ่นน้องกำลังฉายแวว แต่พวกเขาที่กำลังจะขึ้นปีสี่ดูอ่อนแอลง จางอวี่รู้สึกว่าตนเองใจสู้แต่กำลังไม่ยอมเป็นใจ
โจวเหยียนพิจารณาข้อเสนอของจางอวี่ งั้นมาดูสถานการณ์กันเทอมหน้า นอกจากนี้…โปรดอย่าแพ้ฟางผิง ไม่เช่นนั้น…
จางอวี่ยิ้ม ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
เขาตัดสินใจลงถ้ำใต้ดิน หากเขาพ่ายแพ้จริงๆ…ไม่สิ เขาจะเสียศักดิ์ศรีแบบนั้นก่อนจบการศึกษาไม่ได้