World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 41
ตอนที่ 41 ใช้เงินไม่ต่างน้ำ
“ปัง! ปัง! ปัง!”
ขณะที่ฟางผิงรู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้และเตรียมบ่มเพาะอีกรอบก็มีคนมาเคาะประตูห้องเขาอย่างรุนแรง!
ไม่จำเป็นต้องถามเลย ฟางผิงระบุตัวตนที่อยู่เบื้องหลังเสียงเคาะประตูที่เป็นเอกลักษณ์ได้อย่างง่ายดาย
และมันก็เป็นไปตามคาด
บุคคลที่ยืนอยู่อีกฟากของประตู ฟางหยวนทุบประตูพร้อมตะเบ็งเสียงไปด้วย “ฟางผิง นายทำอะไรอยู่!”
“หัวเราะเหมือนคนโง่มาพักนึงแล้วนะ แถมจากนั้นก็หอบหายใจอีก…”
“นายรู้มั้ยว่ามันวิตถารมาก!”
“หนูขอเตือน ถ้านายวิตถารแบบนี้ นายจะหาภรรยาไม่ได้…”
“หนูยังไม่บรรลุนิติภาวะ อย่าชักนำหนูไปทางที่ผิดนะ!”
“…”
ฟางผิงหน้าดำหน้าแดง
‘ฉันกำลังทำอะไรงั้นเหรอ?’
‘ฉันแค่บ่มเพาะ ฉันชักนำเธอไปทางที่ผิดได้ไง?’
หลังจากนึกถึงคำพูดของยัยหนูอีกครั้ง ฟางผิงก็เหมือนจะเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร เขาคำถามด้วยหน้าดำหน้าแดง “พูดเป็นเล่น!”
“ใครวิตถารกัน?”
“ใครชักนำน้องไปทางที่ผิด?”
“ร่างกายของพี่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก บ่มเพาะ เข้าใจไหมบ่มเพาะ?”
ฟางหยวนเหยียดหยามจากอีกฝ่ากของประตู “นายจะหลอกใคร? นายบ่มเพาะที่ลานนอกบ้านไม่ได้รึไง?”
“ช่างมันเถอะ หนูไม่สน นายห้ามหอบอีก นายเหมือนคนวิตถาร”
“ฟางหยวน…”
ฟางผิงอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เขาจะไปหาที่อื่นบ่มเพาะแน่นอน!
บ้านซ่อมซ่อหลังนี้เก็บเสียงได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
หลังบ่มเพาะเคล็ดเสริมสร้างรอบนึง ปราณและเลือดพลุ่งพล่าน เขาย่อมต้องหอบหายใจเพื่อบรรเทาตัวเอง
ใครจะไปรู้ล่ะว่าฟางหยวนที่อยู่ข้างนอกได้ยินอย่างชัดเจน
ยัยหนูนี่ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับเขา
แอบอยู่ในห้องนอนตอนกลางวันแสกๆ หอบหายใจครู่นึง แถมจากนั้นยังหัวเราะคิกคักเหมือนคนโง่…
ตอนแรกเขาอยากลองฝึกจวงกง แต่เขาตัดสินใจไม่ฝึกแล้ว
เมื่อเทียบกับ’เคล็ดเสริมสร้าง’ การฝึกท่าจวงกงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวมากกว่า พอถึงตอนนั้นมีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่ายัยหนูนี่จะคิดกับเขายังไง
…..
หลังทำความสะอาด ฟางผิงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่
เสื้อตัวเก่าเขาเปื้อนเลือดจากเส้นเลือดระเบิด แม้แต่กางเกงเขาก็เปื้อนไปด้วยเลือด
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ฟางผิงก็เก็บเสื้อผ้าตัวเก่าเอาไปห้องน้ำ
ก่อนที่แม่เขาจะกลับมา เขาต้องทำความสะอาดเสื้อผ้าให้เสร็จเพื่อไม่ให้พ่อแม่เป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ในสายตาฟางหยวน การกระทำของเขาบ่งบอกแล้วว่าเขามีความผิด
“ฟางผิง ถึงเวลาที่นายหาแฟนแล้ว!”
“เฮ้อ ผู้ชายในห้องหนูมีแฟนกันหมดแล้ว แต่พี่ดันเป็นหมาโสดอยู่”
“โสดก็เรื่องนึง นายกระทั่งหลบอยู่ในห้องทำอะไรไม่ดีไม่งาม น่าเกลียดมาก!”
“ถ้าเกิดพ่อกับแม่รู้ล่ะ? นายไม่อายเลยเหรอ?”
“ฟางผิง ให้หนูแนะนำ…”
“หุบปาก!”
ความโกรธเกรี้ยวพลั่งพรูในใจฟางผิง เขาคำรามขณะถูเสื้อผ้าไปด้วย “เลิกคบกับเพื่อนเกเรได้แล้ว!”
“น้องอายุเท่าไหร่เชียว? ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้!”
“ฉันพึ่งสิบแปด หมาโสดหมายความว่าไง?”
“ฉันกำลังบ่มเพาะ บ่มเพาะ! เข้าใจไหม?!”
“ชิ บ่มเพาะก็บ่มเพาะ ปฏิเสธก็ไม่เป็นไร”
ฟางหยวนพึมพำอย่างเฉยเมย “คำแนะนำหนูไม่มีค่าเลย พี่สาวของเพื่อนๆออกจะสวย…”
“ฟางหยวน!”
“ก็ได้ ก็ได้! หนูไม่พูดแล้ว” สายตาที่เธอมองมาทำให้ฟางผิงเจ็บปวดยิ่งขึ้น
‘ฉันไม่ได้ดูหนังติดเรท อ่านนิตยสารที่มีรูปผู้หญิงที่ไม่มีปัญญาซื้อเสื้อผ้า หรือทำอะไรทำนองนั้นเลย!’
‘ฉันกำลังบ่มเพาะโว้ย!’
‘บ่มเพาะ!’
ฟางผิงรู้สึกอับจนหนทาง ช่างมันเถอะ อธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ ยัยหนูนี่ไม่มีทางเข้าใจอยู่ดี
…..
ตอนกลางคืน
ฟางผิงไม่ได้บ่มเพาะเคล็ดเสริมสร้าง กลับกันเขาอ่าน’สิบหกรูปแบบจวงกง’แทน
โดยเฉพาะกับส่วนท่าขี่ม้า
การฝึกวรยุทธโดยไม่ผ่านการฝึกฝนขั้นพื้นฐานเป็นการเสียเวลาและเสียแรงเปล่า
‘การฝึกฝนขั้นพื้นฐาน’ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอะไรอื่นนอกจากท่าจวงกง
ท่ายืนไม่ดีก็หมายถึงพื้นฐานไม่มั่นคง มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การเสริมสร้างกระดูกและเสริมสร้างเส้นเลือดลมเท่านั้น มันยังส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้ด้วย
ในมหาลัยวิชายุทธ ผู้ฝึกยุทธที่ทำท่าจวงกงได้อย่างสมบูรณ์แบบจะได้ฉายาว่า ตุ๊กตาล้มลุก
ถ้ายืนท่าจวงกงได้ดี ต่อให้ถูกผลักก็ไม่ล้ม ต่อให้ถูกโจมตีก็มั่นคง ต่อให้พวกเขาเอาชนะคุณไม่ได้ พวกเขาก็หงุดหงิดคุณจนตาย
ชื่อท่าขี่ม้าก็มาจากท่ายืนที่คล้ายกับท่าขี่ม้า
ท่าขี่ม้ามีอยู่สามระดับ
ขั้นแรก ยืนมั่นคง
ยืนมั่นคง ต่อให้ถูกผลักก็ไม่ล้ม
ขั้นสอง ยืนหนักแน่น
แข็งดุจหิน หยั่งรากกับพื้น ยืนหยัดไม่โอนเอน
ขั้นสาม ยืนไร้ลักษณ์
ยืนไร้ลักษณ์เป็นที่มาของชื่อ’ตุ๊กตาล้มลุก’
ยืนไร้ลักษณ์หมายถึง การมีอิสระในการปรับเปลี่ยนศูนย์ถ่วงของร่างกายมนุษย์ ถ้าศูนย์ถ่วงไม่เสถียร เราจะล้มลงได้ง่าย
ด้วยการมีศูนย์ถ่วงที่มั่นคงและปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะผลัก เตะ ต่อย ก็ไม่ทำให้เคลื่อนไหว
ความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธไม่ได้ขึ้นอยู่กับขั้นพลังเท่านั้น
เมื่อผู้ฝึกยุทธที่มีท่ายืนมั่นคงเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขั้นสูงกว่า แม้ว่าคุณจะทำลายการป้องกันไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็เอาชนะคุณไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น การยืนท่าจวงกงยังช่วยปรับกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น มันช่วยเสริมสร้างกระดูกอย่างมาก
ฝึกฝนท่าจวงกงและเคล็ดเสริมสร้างด้วยกันจะส่งผลยิ่งขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอัตราสูญเสียปราณและเลือดก็มากเช่นกัน
…..
ฟางผิงอ่านหนังสืออย่างละเอียด
เขาพยายามยืนท่าขี่ม้าช่วงสั้นๆ
ในเวลาแค่ห้านาที ฟางผิงพบว่าตัวเองสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า เหงื่อโชกราวกับไปตากฝนมา
ท่ายืนยากกว่าที่เขาจินตนาการไว้อีก
สิบนาทีต่อมา ฟางผิงแทบทรุด
ขาทั้งสองข้างสั่นอย่างหนัก ถ้ามีคนผลักเขา เขาคงล้มแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเขายังมีหนทางอีกยาวไกลกว่าจะถึงขั้นแรก ยืนมั่นคง
“ยืดอก หลังตรง…”
เขานึกถึงสาระสำคัญของท่ายืนอยู่ในหัวพร้อมกับเหงื่อแตกพลั่ก ไม่นานเขาก็หอบเหมือนหมาและทรุดลงกับพื้น
เขายังไม่ทันรวมกับเคล็ดเสริมสร้าง เขาก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว
พอเอาไปรวมกับเคล็ดเสริมสร้าง ฟางผิงไม่มั่นใจว่าเขาจะตั้งสมาธิได้ไหม
เขาหันไปสนใจกับสถานะ
ทรัพย์สิน : 3365800
ปราณและเลือด : 122แคล
จิตใจ : 135เฮิรตซ์
…..
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่เพียงแต่ปราณและเลือดของเขาจะลดเท่านั้น จิตใจเขาก็ลดเช่นกัน
“มันเป็นการใช้พลังงานทางจิตด้วยเหรอ?”
เขาพึมพำ ฟางผิงพอเข้าใจเหตุผลคร่าวๆว่าทำไมจิตใจถึงลดลง
ขณะที่เขาฝึกท่าจวงกง พลังงานทางจิตจำนวนมากถูกใช้ไปกับการตั้งสมาธิ ตัวเลขจึงลดลงไปมาก ทั้งปราณและเลือด และจิตใจต่างก็ถูกใช้ไป
หลังคิดไปคิดมา ฟางผิงก็ตั้งสมาธิเพื่อเพิ่มปราณและเลือดกับจิตใจ
ทรัพย์สิน : 3357800
ปราณและเลือด : 125แคล
จิตใจ : 140เฮิรตซ์
“เสียไปมากกว่าที่คิดเสียอีก!”
มันยังไม่ถึงวันเลย แต่เขาก็ใช้ทรัพย์สินไป 13000 แล้ว
ตอนแรกเขาคิดว่าตอนค่าทั้งสองเพิ่มขึ้นถึง 200 อย่างมากเขาก็คงใช้ค่าทรัพย์สินไปสองสามแสน
พอมาลองคิดดูตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะมองในแง่ดีเกินไป!
ทั้งค่าปราณและเลือดและค่าจิตใจไม่ได้คงที่ไม่มีลด มันต่างถูกใช้ไปตามการฝึกฝนและการบ่มเพาะ
เวลาแบบนี้ คนปกติจะพักฟื้นด้วยการนอน ทานอาหารหรือใช้ยา
ฟางผิงไม่เสียเวลา เขาจึงได้แต่ใช้ทรัพย์สินฟื้นฟู
ทรัพย์สินมากมายจะถูกใช้ไปทุกครั้งที่เขาพักฟื้น
ทรัพย์สินเขามากกว่าสามล้านอาจดูเหมือนเป็นจำนวนมหาศาล แต่ด้วยความเร็วที่เสียไป มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน?
เว้นแต่ฟางผิงจะล้มเลิกการเพิ่มความสามารถอย่างเร็ว และติดอยู่กับการพักฟื้นด้วยการพักผ่อนและทานอาหารเหมือนอย่างคนอื่น
“ท่าจวงกงคู่กับเคล็ดเสริมสร้างจะทำให้เสียไปมากขึ้น!”
“ทุกครั้งที่คนธรรมดาฝึกฝน ขั้นตอนพักฟื้นไม่มีที่สิ้นสุด ทรัพยากรที่ใช้มีมหาศาล ฉันเข้าใจแล้ว…”
เพราะแบบนี้นี่เองผู้ฝึกยุทธจึงหาได้ยากในสังคม!
คนธรรมดาต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามอายุเพิ่มขึ้น ร่างกายก็ยิ่งแข็งทื่อดัดยาก มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำลายขีดจำกัด
ตอนเด็ก นอกจากการสนับสนุนจากครอบครัวแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทุนทรัพย์มาฝึกฝนแล้ว
ในทางกลับกันมีกี่ครอบครัวเชียวที่สามารถหาเงินจำนวนมหาศาลแบบนั้นได้?
ต่อให้เอาอู๋จื้อเห่ามาเป็นตัวอย่าง พวกเขาก็คงหลีกเลี่ยงการบ่มเพาะที่รวมกันระหว่างเคล็ดเสริมสร้างและท่าจวงกง
…..
อัตราการใช้ค่าทรัพย์สินเร็วกว่าที่ฟางผิงคิดไว้เสียอีก!
สองวันต่อมา ฟางผิงเรียนและอ่านหนังสือตอนกลางวัน ฝึกท่าจวงกงและบ่มเพาะตอนกลางคืน
คืนวันอังคาร หลังบ่มเพาะเคล็ดเสริมสร้างเสร็จ ฟางผิงก็เหลือบมองสถานะด้วยความสิ้นหวัง
ทรัพย์สิน : 3320800
ปราณและเลือด : 126แคล
จิตใจ : 142เฮิรตซ์
ทั้งปราณและเลือดทั้งจิตใจต่างก็เพิ่มขึ้น
สิ่งที่ตามมาก็คือค่าทรัพย์สินที่ลดลงไปมหาศาล
ในเวลาเพียงสองสามวัน จากทรัพย์สินตอนแรก 3.37 ล้าน เขาใช้ไปทั้งหมด 50000 แล้ว
สิ่งตอบแทนคือ ปราณและเลือดเขามาถึง 126แคล แต่ฟางผิงรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้นถึง 127แคลแล้ว
โดยเฉลี่ยแล้วปราณและเลือดเพิ่มขึ้น 1แคลจะใช้ทรัพย์สินขั้นต่ำ 20,000
นี่เป็นเฉพาะตอนที่ปราณและเลือดยังไม่ถึงขีดสุด ตอนปราณและเลือดถึงขีดจำกัด มันควรเป็นหลังบรรลุ 150แคล
จากการคาดการณ์ของฟางผิง ค่าใช้จ่ายคงเพิ่มขึ้นสูงเสียดฟ้า
“ฉันไร้เดียงสาเกินไป!”
รอยยิ้มของฟางผิงราวกับยิ้มเยาะให้ตัวเอง ช่วงก่อนเขาภูมิใจกับตัวเองมาก คิดว่าใช้ทรัพย์สินหลายแสนก็บรรลุ 200แคลได้
ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างถ่องแท้แล้ว ระบบเป็นหลุ่มพรางขนาดใหญ่จริงๆ
“อัตราเพิ่มขึ้นคร่าวๆคือ 1แคลต่อวัน”
ฟางผิงคิดคำนวณ หลังครุ่นคิดเสร็จ เขาก็เพิ่มปราณและเลือดเล็กน้อยอีกครั้ง
หลังใช้ทรัพย์สิน 1000 ปราณและเลือดเขาก็มาถึง 127แคล
ฟางผิงขยับร่างกายสักพัก เขารู้สึกว่าความเครียดยังพอรับได้ และค่อนข้างน่าพอใจ
ด้วยอัตราเพิ่มขึ้น 1แคลต่อวัน พอถึงเวลาประเมิณร่างกาย เขาอาจเป็นผู้ฝึกยุทธคนเดียวที่มีปราณและเลือดอย่างต่ำ 150แคล
แน่นอน มันยังบอกได้ยากว่าความเร็วจะยังเท่าเดิมไหม
ส่วนเขาจะเปิดเผยปราณและเลือดที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นไหมนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
การเพิ่มปราณและเลือดนั้นเป็นไปได้ยาก แต่การผลาญปราณและเลือดเป็นเรื่องง่ายมาก
ถ้าฟางผิงไม่อยากเป็นจุดเด่น เขาแค่ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงก่อนประเมิณร่างกายเพื่อใช้ปราณและเลือดปริมาณมาก จะให้มันลดลงเหลือ 120แคลไม่ใช่เรื่องยากเลย
ขณะที่เขาเตรียมไปอาบน้ำ โทรศัพท์ที่ถูกโยนไว้ข้างๆก็เริ่มสั่น
ฟางผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเหลือบมองดูอย่างรวดเร็ว เมื่อเขารับสาย เขาก็จำได้ว่ามันเป็นเสียงของหัวหน้าผู้จัดการฝ่ายขาย
“คุณฟาง ขอโทษที่โทรมารบกวนครับ ขั้นตอนการซื้อห้องชุดของคุณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าพรุ่งนี้คุณว่าง…”
“เอาล่ะ ผมจะไปตอนบ่าย”
ฟางผิงลดเสียงและตอบกลับไปเบาๆ
ฟางผิงวางสายโดยไม่ได้พูดสุภาพกับอีกฝ่ายมากนัก
ย่านกวนหูหยวนเดินเรื่องได้เร็วไม่เบา พึ่งเซ็นสัญญาวันอาทิตย์ พรุ่งนี้พึ่งวันพุธ ขั้นตอนทั้งหมดก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
พอเขาได้ห้อง เขาก็จะซื้ออุปกรณ์ฝึกฝน รวมถึงของใช้ที่จำเป็น
นี่เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
ไม่รวมเงินที่ต้องจ่าย ตอนนี้เขามีเงินสดกว่า 410,000
หลังซื้อของเพิ่มเติม เกรงว่าเขาคงเหลือเงินน้อยกว่า 400,000
“ใช้เงินไม่ต่างจากน้ำเลย!”
ฟางผิงถอนหายใจอย่างหดหู่ ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมผู้ฝึกยุทธขั้นสูงถึงหาเงินอย่างบ้าคลั่ง
เขายังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ แต่เขาก็ใช้เงินเพื่อบ่มเพาะจำนวนมากแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่านี่เป็นกรณีที่มีระบบอยู่ในมือ
คนธรรมดาที่ไม่มีระบบอย่างเขาคงมีค่าใช้จ่ายรายวันเป็นจำนวนมหาศาล
ถ้าไม่มีเงิน แค่รักษาระดับปัจจุบันก็เป็นเรื่องท้าทายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงบ่มเพาะเลย
“ฉันจำเป็นต้องหาเงิน”
ฟางผิงพึมพำกับตัวเอง แต่มันต้องรอจนกว่าเกาเข่าจะจบ ตอนนี้เขาไม่มีเวลาทำแบบนั้น