World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 55
ตอนที่ 55 ผู้สืบทอดของหวังจินหยาง
หลังฟางผิงระเบิดพลัง ธรรมเนียมประจำปีก็ล่ม!
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของนักเรียนชั้นยอดของโรงเรียน ผู้ฝึกยุทธที่สนุกกับการแสดงก็พบว่ามันกล้ำกลืนได้ยาก
แม้ว่านักเรียนชั้นยอดทั้งสองจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางที่มีปราณและเลือดมากกว่า 130แคลจะไม่ได้รู้สักกดดันมากนัก แต่พวกเขาก็รู้สึกมึนงงอยู่เหมือนกัน
ดูเหมือนผลการประเมิณครั้งนี้จะไม่ค่อยเป็นไปตามที่คาดหวังนัก
นอกจากนักเรียนจากโรงเรียนอื่น แม้แต่โจวปินและเฉินเจี๋ยของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงก็หมดคำจะพูด พวกเขาหมดกำลังใจหรือยังรู้สึกโง่งมอยู่ก็ไม่ทราบได้
ตอนที่ฟางผิงระเบิดพลัง พวกเขาอยู่ใกล้เขา พวกเขาจึงได้รับผลกระทบมากที่สุด
ถานเจิ้นผิงรู้สึกเหมือนเขาทำอะไรโง่ๆลงไป!
คนอื่นได้รับผลกระทบไหม เขาไม่รู้
อย่างไรก็ตามโจวปินกับเฉินเจี๋ยเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธที่มีชื่อเสียงของเมืองหยางเฉิง
ถ้าพวกเขาได้รับผลกระทบจากฟางผิงและทำพลาดไป มันคงเป็นปัญหาแน่
เมื่อเขาคิดว่าฟางผิงเล่นงานแม้แต่คนของตัวเอง ถานเจิ้นผิงก็หมดคำจะพูด เจ้าหนูนี่เหมือนคนซื่อสัตย์ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
…..
เพราะฟางผิงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ ขอบเขตการระเบิดพลังจึงมีจำกัด
นักเรียนที่อยู่ในแถวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่สีหน้าของนักเรียนชั้นยอดของแต่ละโรงเรียนต่างก็เปลี่ยนไป พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจน
ด้านนอกพวกเขาเริ่มกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกโจวปิน?”
“ลั่วหยางหน้าซีดมาก เขาไม่สบายเหรอ?”
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆพวกเขาถึงเงียบกันล่ะ?”
“…”
ในฝูงชน เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า อู๋จื้อเห่าก็ลูบคาง
‘คงไม่ใช่ฝีมือฟางผิงหรอกใช่ไหม?’
อู๋จื้อเห่าคาดเดา เขาไม่มั่นใจนัก เพราะยังไงเสียนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองรุ่ยหยางก็อยู่ด้วย
…..
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของพวกนักเรียน ถานเจิ้นผิงก็หันไปมองฟางผิงที่ยังทำสีหน้าไร้เดียงสาอีกครั้ง
ถานเจิ้นผิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาอ้าปากพูด “ทุกคน กลับไปเข้าแถว เตรียมประเมิณร่างกาย!”
หลังทุกคนกลับเข้าแถวด้วยความตกตะลึง ถานเจิ้นผิงก็สังเกตว่าฟางผิงจะหนีไปแล้วเช่นกัน เขาก็ร้องเรียก “ฟางผิง รอเดี๋ยว!”
ฟางผิงเดินสะดุด เขาหันไปแล้วยิ้มแห้งๆ “ลุงถาน…”
ถานเจิ้นผิงมองเขาอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา “เธอทำได้ดีมาก…”
‘แต่มันดีเกินไปหน่อย!’ ถานเจิ้นผิงพูดเสริมในใจ
“เธออยากได้ยาปราณและเลือดตอนนี้หรือ…”
“ตอนนี้!”
แววตาของฟางผิงเปล่งประกาย เขารีบตอบ
ถ้าเขาไม่เอาตอนนี้ ถ้าเกิดถานเจิ้นผิงกลับคำ เขาจะทำยังไง!
ถานเจิ้นผิงไม่คิดมาก เขาหยิบขวดยาเล็กๆออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนให้ฟางผิง
เมื่อเห็นว่าฟางผิงเหมือนกำลังจะเปิดดูข้างใน ถานเจิ้นผิงก็อดกุมขมับไม่ได้
คุณพระ เขาคิดว่าฉันถานเจิ้นผิงจะหลอกเขาเหรอ?
โชคดีที่ฟางผิงไม่ได้เปิดขวดต่อหน้าเขาและยัดมันใส่กระเป๋า
อันที่จริงฟางผิงไม่จำเป็นต้องเปิดก็รู้ว่ามันเป็นของจริงไหม
ถ้าทรัพย์สินเขาไม่เพิ่ม ฟางผิงจะให้ถานเจิ้นผิงได้คุยกับเขายาวแน่นอน
เมื่อได้รับยาปราณและเลือด สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็จบลงด้วยดี
ถานเจิ้นผิงอยากพูดอะไรเพิ่ม แต่เขาก็ไม่ได้พูด กลับกันเขาโบกมือและพูดว่า “ไว้เราคุยกันต่อหลังประเมิณร่างกาย”
ฟางผิงพยักหน้าแล้วหันกลับไปเข้าแถว
ทันทีที่เขาเดินกลับเข้าแถว สองผู้นำจากอันผิงและซิงซีก็ก้าวออกมาแล้วมองถานเจิ้นผิงอย่างไม่เป็นมิตร
ถานเจิ้นผิงจนปัญญา “อย่ามองฉัน ฉันไม่รู้ว่าปราณและเลือดเขาจะสูงขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้นเขายังเกี่ยวข้องกับคนๆนั้นจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงด้วย”
“ใคร?”
ทั้งสองถาม จากนั้นผู้ฝึกยุทธอันผิงก็เลิกคิ้วแล้วถามต่อ “หวังจินหยางเหรอ?”
“อ่าฮะ”
ไม่มีอะไรต้องพูดมากกว่านี้
สัตว์ประหลาดหวังจินหยางพึ่งเป็นรองประธานสมาคมวิถียุทธของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเมื่อไม่กี่วันก่อน ข่าวนี้แพร่กระจายไปแวดวงยุทธแล้ว
สมาชิกสมาคมวิถียุทธของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงไม่เหมือนกับนักศึกษามหาลัยทั่วๆไป
ไม่ว่าสภานักศึกษาจะทรงอำนาจแค่ไหน มันก็ยังเป็นของมหาลัย
ในทางกลับกันมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเป็นมหาลัยวิชายุทธโดยเฉพาะ สมาคมวิถียุทธมีอำนาจอย่างยิ่ง มันแบ่งอำนาจกับมหาลัย 30-70
อย่างเรื่องจัดสรรทรัพยากร จัดการอุตสาหกรรมมหาลัย…สมาคมวิถียุทธมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
ตอนนี้หวังจินหยางมีตำแหน่งรองประธานสมาคมวิถียุทธ ไม่ว่าใครก็บอกได้ว่าเป้าหมายถัดไปของเขาคือการเป็นประธาน
เมื่อหวังจินหยางควบคุมสมาคมวิถียุทธ ในสามปีข้างหน้า ผลประโยชน์ที่เขาจะได้และความสำเร็จหลังจบการศึกษาต้องมากมายมหาศาล
หวังจินหยางเด็กใหม่ขั้นสามไม่ใช่คนที่พวกเขาจะรับมือได้
เนื่องจากฟางผิงเกี่ยวข้องกับหวังจินหยาง ต่อให้เขาโดดเด่นกว่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องสืบเพิ่ม
พอนึกถึงเรื่องฟางผิงระเบิดปราณและเลือดข่มเตรียมผู้ฝึกยุทธทุกคนเมืองรุ่ยหยางแล้ว…
ผู้ฝึกยุทธอันผิงอิจฉาเล็กน้อย “ใกล้ขั้นหนึ่งแล้ว พอเข้ามหาลัยวิชายุทธ เขาจะทะลวงในสามเดือนแน่นอน”
“แต่ละปีจะมีผู้สมัครสอบที่เป็นผู้ฝึกยุทธไม่กี่คนเท่านั้นในหนานเจียง ตัดสินจากปราณและเลือด ฉันเกรงว่าเขาคงเป็นท็อปสิบของหนานเจียง!”
เมืองรุ่ยหยางไม่ได้เป็นเมืองที่ดีที่สุดในมณฑลหนานเจียงและก็ไม่ได้แย่ที่สุดเช่นกัน มันอยู่ประมาณกลางๆ
เมืองเจียงเฉิงนครเอกของมณฑลมีผู้สมัครสอบที่เป็นผู้ฝึกยุทธเกือบทุกปี
ผู้สมัครสอบที่เป็นผู้ฝึกยุทธปรากฏขึ้นในเมืองใหญ่ๆเช่นกัน
ถ้าปีไหนมีไม่มากนัก ทั้งมณฑลก็อาจมีแค่สองสามคน ถ้าปีไหนมีเยอะ มันก็อาจมีถึงเจ็ดแปดคน
ตอนนี้แต่ละปีจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามมาตรฐานปีก่อน ฟางผิงเข้าเป็นท็อปสิบได้ไม่ยากนัก
ผู้นำเมืองอันผิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “วัฒนธรรมศึกษาของเขาได้เท่าไหร่?”
ถานเจิ้นผิงครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “พอได้ ถ้าผ่านเกณฑ์รับเข้าของมหาลัยหลักๆของประเทศ สองมหาลัยดังก็อาจไม่ปฏิเสธเขา”
“คุณมั่นใจเหรอว่าเขาเข้าสองมหาลัยดังได้?”
ผู้ฝึกยุทธอันผิงขมวดคิ้วแล้วกล่าว “มันเป็นไปได้ที่เขาจะเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงแล้วรอจนหวังจินหยางออกก่อนจะเข้ารับช่วงสมาคมวิถียุทธ”
“พูดยาก ช่างมันเถอะ มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวล”
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ถานเจิ้นผิงก็หยุดคิดเรื่องนี้อีก
มันอาจเกี่ยวข้องกับแผนการของหวังจินหยาง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งอย่างเขาต้องกังวล
ถ้าประธานสมาคมวิถียุทธของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเป็นคนเมืองหยางเฉิงสองสมัยติด เมืองหยางเฉิงก็จะได้รับผลประโยชน์เช่นกัน
ไม่ว่าฟางผิงจะเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงหรือเข้าสองมหาลัยดัง มันก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมพวกเขา
เวลานี้ ทั้งสามค่อนข้างสงสัยว่าหวังจินหยางจะบ่มเพาะฟางผิงมาเพื่อรับช่วงต่อ
ส่วนเหตุผลที่ทำไมไม่เลือกจากคนมหาลัยนั้น คำตอบมันเรียบง่ายมาก ตอนนี้หวังจินหยางเป็นเด็กใหม่ เขาสนับสนุนใครไม่ได้ เพราะเขาเป็นกลุ่มคนที่อายุน้อยที่สุดแล้ว
…..
ณ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
หวังจินหยางพึ่งประชุมเสร็จและก้าวออกจากห้อง แต่จู่ๆเขาก็จามซึ่งดึงดูดความสนใจไม่น้อย
เฒ่าหวังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสาม แต่เขาเป็นหวัดเหรอ?
หวังจินหยางลูบจมูกโดยไม่รู้ตัว เขาหรี่ตามองอดีตรองประธานสมาคมวิถียุทธที่เดินตามเขามา
เจ้าหมอนี่กำลังด่าเขาในใจรึเปล่า?
สัมผัสของผู้ฝึกยุทธเฉียบคมมาก ทำให้เขาจามได้ ความมุ่งร้ายต้องไม่น้อย!
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เฒ่าหวังมองรุ่นพี่ที่ถูกเขาแย่งตำแหน่งอย่างล้ำลึก เขาตั้งใจจะท้าทายฉันเหรอ?
ชายหนุ่มที่หวังจินหยางจ้องมองมีสีหน้าไม่พอใจ
‘บัดซบ เอาตำแหน่งรองประธานของฉันไปยังไม่พอเหรอ เขาอยากกดหัวฉันให้จบดินเหรอ?’
ชายหนุ่มคิดอย่างโกรธแค้น ‘รอฉันขัดเกลาลำตัวก่อนเถอะ ฉันจะเอาคืนไม่ช้าก็เร็ว!”
บรรยากาศในห้องสมาคมวิถีหนาวเหน็บลงเล็กน้อย
…..
เขาฟางเดินกลับมาที่แถว เขาไม่รู้เลยว่ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฟางผิงไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างซับซ้อนของโจวปินและพวก เขาตั้งสมาธิดูสถานะ
ทรัพย์สิน : 2,270,000
ปราณและเลือด : 147แคล (149แคล)
จิตใจ : 170เฮิรตซ์ (172เฮิรตซ์)
ไม่กี่วันมานี้ฟางผิงบ่มเพาะไม่หยุด ใช้ค่าทรัพย์สินจนเหลืออยู่ 2.2 ล้าน
ต้องขอบคุณที่เขาได้ยาปราณและเลือดมาเมื่อกี้ ค่าทรัพย์สินของฟางผิงจึงเพิ่มมาเจ็ดหมื่น
ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน คราวก่อนเขาได้รับยามากมาย ฟางผิงไม่รู้ว่าระบบคำนวณยังไง และเขาก็ไม่ชัดเจนว่ายามีมูลค่าแค่ไหน
ตอนนี้เขามียาปราณและเลือดเม็ดเดียวเท่านั้น ฟางผิงจึงรู้ว่าระบบให้มูลค่ายาปราณและเลือดเจ็ดหมื่น
“ฉันควรเอาไปขายไหม?”
ฟางผิงพึมพำในใจ ระบบให้ค่ายาปราณและเลือดธรรมดาเจ็ดหมื่น
จากการประเมิณของระบบ มันหมายความว่าถ้าซื้อผ่านช่องทางที่ถูกต้อง เราจะซื้อยาปราณและเลือดได้ในราคาเจ็ดหมื่น
ราคายาปราณและเลือดสำหรับผู้ที่เข้าไม่ถึงช่องทางเหล่านี้คือแสนหยวน
ถ้าเขากลายเป็นตัวแทนจำหน่ายและได้ยาปราณและเลือดเม็ดละเจ็ดหมื่น เขาก็ยังเอาไปขายต่อได้และได้รับเงินมากมาย เขาสามารถเพิ่มค่าทรัพย์สินได้อีกด้วย
แต่พอลองคิดดู มันคงทำไม่ได้ เพราะเขาไม่มีช่องทางอะไรแบบนั้น ต่อให้เขามี มันก็ถือว่าผิดกฏหมาย
คนทั่วไปซื้อยาได้ที่ร้านขายยาเท่านั้น
ถ้าฟางผิงมียาอยู่จำนวนมากในมือและขายไปทีละน้อย ตราบใดที่เขาไม่ดึงดูดสนใจ มันก็ไม่เป็นไร
แต่เมื่อเขาเอาไปขายต่อจำนวนมาก ถ้าไม่มีอุบัติเหตุใดๆ กรมสืบสวนจะมาเคาะประตูบ้านเขาในวันถัดไป
ถึงกระนั้น แนวคิดนี้ก็ก่อตัวอยู่ในใจ ถ้าเขามีโอกาส เขาจะลองดู
ฟางผิงละความสนใจจากค่าทรัพย์สินแล้วไปดูค่าปราณและเลือด และค่าจิตใจ
การระเบิดพลังเมื่อกี้ไม่ได้ผลาญไปมากนัก มันกินปราณและเลือดไป 2แคลและจิตใจไป 2เฮิรตซ์
หลังใช้ทรัพย์สิน 4000 แต้มฟื้นฟู มุมปากของฟางผิงก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
ครั้งนี้ไม่ขาดทุนเลย ไม่เพียงแต่จะได้ยาปราณและเลือดเท่านั้น เขายังได้รับแต้มทรัพย์สินอีก 66,000 ด้วย มันเป็นเรื่องดีที่เขาฟื้นฟูค่าทรัพย์สินที่ช่วงนี้ร่อยหรอไปมาก
อย่างไรก็ตามปราณและเลือดเขาติดอยู่ที่ 149แคล เขาไม่รู้ว่าเขาต้องบ่มเพาะอีกกี่ครั้งถึงทะลวงสู่ 150แคลได้
…..
ขณะที่ฟางผิงกำลังคำนวณกำไรขาดทุน หน้าประตูศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกายก็เปิดออกอย่างเป็นทางการ การประเมิณร่างกายเริ่มขึ้นแล้ว!
นักเรียนเข้าแถวเข้าไปข้างในทีละคน
จากนั้นก็มีชายสวมเครื่องแบบตำรวจและคนที่สวมเครื่องแบบคล้ายตำรวจปรากฏออกมา คอยเฝ้าระวังทั้งสองด้านของศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกาย
ฟางผิงเหลือบมองพวกเขาและฟังถานห่าวพึมพำ “อย่าจ้อง พวกเขามาจากกรมสืบสวน”
“กรมสืบสวน?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเขามากันผู้แอบอ้างและผู้ที่มาสร้างความวุ่นวาย เคยมีผู้ฝึกยุทธแอบอ้างเป็นนักเรียนเพื่อเข้าสอบ…”
ฟางผิงเข้าใจแล้ว ถึงว่าตอนเข้าไปพวกเขาถึงต้องตรวจเอกสารสอบยืนยันตัวตน
คนที่มาจากกรมสืบสวนมีไม่มากนัก ทั้งหมดสี่คนเท่านั้น
ฟางผิงยังสัมผัสได้อีกเช่นกันว่าปราณและเลือดของสองคนเทียบกับเขาไม่ได้
ดูเหมือนกรมสืบสวนจะไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธกันทุกคน
นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะขนาดเมืองหยางเฉิงยังมีกรมสืบสวนเลย ถ้าพวกเขาอยากให้ทั้งกรมสืบสวนมีแต่ผู้ฝึกยุทธ ต่อให้พวกเขายัดผู้ฝึกยุทธทั้งหมดของเมืองหยางเฉิง มันก็ไม่เพียงพอ
แม้ว่าเมืองรุ่ยหยางจะแข็งแกร่งกว่าเมืองหยางเฉินมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธทุกคนเช่นกัน
เมื่อถึงตาฟางผิงตรวจสอบ ผู้ฝึกยุทธคนนึงจากกรมสืบสวนที่มีปราณและเลือดใกล้เคียงกับถานเจิ้นผิงก็ตรวจสอบฟางผิงอย่างละเอียดครู่นึง
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและยอมให้ฟางผิงเข้าไปในศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกาย
…..
เมื่อเขาก้าวเข้ามาศูนย์ทดสอบประเมิณร่างกาย ฟางผิงก็ถอนหายใจยาวเหยียด
เขารอวันนี้มาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาดูผลของความพยายาม!