World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 74
ตอนที่ 74 มหาลัยวิชายุทธ! ปรมาจารย์!
วันที่ 1 มิถุนายน วันเด็ก
หรืออีกชื่อนึง’วันน้องสาว’ที่ฟางหยวนตั้งขึ้น
ฟางหยวนเซ้าซี้ฟางผิงให้ฉลองวันเด็กไม่หยุดตลอดทั้งเช้า บางครั้งฟางผิงก็พบว่ามันขบขันและน่ารำคาญในขณะเดียวกัน
ฟางผิงรู้ว่าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่
ฉลองก็หมายถึงของขวัญ
แต่ที่จริงฟางผิงเตรียมของขวัญไว้ให้เธอแล้ว
ดังนั้นเมื่อฟางหยวนขอของขวัญ ฟางผิงก็ยื่น’ช็อคโกแลตรูปถั่ว’ให้
ฟางหยวนจ้องมอง’ช็อคโกแลตรูปถั่ว’ในมือฟางผิง รอยยิ้มเธอค่อยๆหายไป สุดท้ายเธอก็กัดฟันพูดอย่างโมโห “นี่เป็นของขวัญที่นายเตรียมไว้ให้หนูเหรอ?”
“ใช่”
“มันเป็นช็อคโกแลตถั่วที่หนูให้นายไม่กี่วันก่อนไม่ใช่เหรอ?”
ฟางหยวนโกรธยิ่งขึ้น
‘หนูเอาให้นายทั้งถุง แต่นายเอาให้หนูแค่ลูกเดียว!’
ถ้าเขาให้เธอทั้งถุง เธอก็จะยอมรับมาแม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม
จะมีใครอีกที่ให้ช็อคโกแลตถั่วเม็ดเดียวเป็นของขวัญ?
ฟางผิงยิ้ม “นี่ไม่ใช่ช็อคโกแลตถั่วธรรมดาๆ มันอร่อยมากๆ”
“พี่ชายของน้องขาดเงินด้วยเหรอ?”
“ย่อมไม่ขาด!”
“ส่วนเหตุผลที่ทำไมพี่ถึงให้น้องแค่เม็ดเดียว…”
“เป็นเพราะนายขี้เหนียว!” ฟางหยวนพูดอย่างเคืองๆ
เธอไม่เคยเห็นเม็ดยาเติมเต็มเลือดและลมปราณมาก่อน เพราะงั้นเธอจึงไม่รู้ว่า’ช็อคโกแลตถั่ว’ที่จริงแล้วเป็นเม็ดยา
หนึ่งเม็ดมีราคาตลาดสามหมื่นหยวน
ด้วยสภาพของฟางหยวนปัจจุบัน เธอรับไหวแค่ยาเติมเต็มเลือดและลมปราณเท่านั้น แม้แต่ยาปราณและเลือดสามัญก็มีฤทธิ์แรงเกินไป
อันที่จริงต่อให้เป็นครอบครัวที่อยากปูพื้นฐานให้ลูกล่วงหน้า อย่างมากพวกเขาก็มอบแค่เติมเต็มลมปราณหรือยาเติมเต็มเลือดให้เท่านั้น
ถ้าไม่มีฐานะการเงินที่ดี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ยาเติมเต็มเลือดและลมปราณในเวลานี้ การใช้ยาหนึ่งวันก่อนสอบเกาเข่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
ฟางผิงมียาอยู่ 18 เม็ดในมือ มันได้ผลกับคนที่มีปราณและเลือดต่ำกว่า 150แคล
สำหรับฟางผิงและเหล่าผู้ฝึกยุทธ ยาเหล่านี้เหมือนเป็นยาช่วยฟื้นฟูปราณและเลือดเท่านั้น
ยาเติมเต็มเลือดและลมปราณไม่สามารถเพิ่มขีดจำกัดปราณและเลือดได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามถ้าเอามาใช้วางรากฐานปราณและเลือดของฟางหยวน มันได้ผลดียิ่ง
ฟางผิงไม่ได้อธิบายแม้ฟางหยวนจะบ่นไม่หยุดก็ตาม
สาวน้อยขี้เหนียวมาก ถ้าเธอรู้ว่ามันเป็นยาเติมเต็มเลือดและลมปราณ เธออาจเอาไปขายทันที เธออาจรู้สึกเจ็บปวดถ้าเธอรู้ว่าที่เธอกินไปมีราคาหลายพันหยวนต่อคำ
ต่อให้เธอบ่นและไม่พอใจ แต่สาวน้อยก็ยังเงยหน้าขึ้นถาม “มันอร่อยจริงเหรอ?”
“จริงสิ!”
“ขี้เหนียว!”
สาวน้อยด่าอีกครั้งก่อนจะใช้นิ้วคีบ’ถั่ว’แล้วโยนเข้าปาก
หลังเคี้ยวสักพักเธอก็กลืนลงไป เธอไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม “ไม่เห็นอร่อยเลย!”
ฟางผิงไม่โกรธ เขามองเธอด้วยรอยยิ้ม
เม็ดยาไม่ได้ออกฤทธิ์ในทันที
มันมีกระบวนการดูดซึมและย่อยหลังทานเข้าไป นอกจากนี้ผลของยาเติมเต็มเลือดและลมปราณไม่ได้มีฤทธิ์สูงเกินไป ฟางหยวนอาจไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
แต่ฟางหยวนยังเด็ก และมีปราณและเลือดต่ำ การทานยาเติมเต็มเลือดและลมปราณเวลานี้อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง
…..
ผลข้างเคียงนั้นถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงเวลามื้อเที่ยง ฟางผิงตัดสินใจพาน้องสาวไปกินเคเอฟซี
เขาสั่งอาหารเต็มโต๊ะ แต่ฟางหยวนจ้องมองอาหารตาปริบๆแต่ไม่มีน้ำตา “ฟางผิง หนูอยากกิน แต่ทำไมหนูถึงไม่อยากอาหารเลยล่ะ?”
“น้องอิ่มจากตอนเช้ารึเปล่า?”
ตอนนี้เธออยากกินมาก แต่เธอรู้สึกท้องป่อง เธอไม่อยากอาหารเลย
มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่ฟางผิงจะเลี้ยงเธอ แต่เธอทำได้แต่ดูเขากิน เธอเกือบร้องไห้
ฟางผิงแอบหัวเราะในใจ ‘นี่คือโทษฐานที่น้องเอาของพี่ไปขาย วางแผนดูดเงินเก็บของพี่ทุกวัน!’
ปราณและเลือดของฟางหยวนไม่สูงพอ ยาเติมเต็มเลือดและลมปราณออกฤทธิ์ทันทีที่เธอกิน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายหรือฝึกฝนเพื่อผลาญพลังงานที่เกินมา เธอจะรู้สึกหิวได้ยังไง?
ปราณและเลือดที่เหลือล้นก็เหมือนคนทั่วไปกินข้าวเต็มอิ่ม ไม่ว่าอาหารตรงหน้าจะอร่อยแค่ไหน เธอก็กินไม่ได้
เขาโชคดีที่ฟางหยวนไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรในใจ ไม่งั้นเขาอาจถูกข่วนจนตาย
เขาตั้งใจทำ!
ฟางผิงรู้ถึงผลข้างเคียงของยาเติมเต็มเลือดและลมปราณอย่างดี
อันที่จริงมันไม่ได้ถือเป็นผลข้างเคียงสำหรับคนอย่างฟางผิง เพราะเขาดูดซึมยาได้อย่างง่ายดาย ส่วนฟางหยวนต้องรอถึงสองสามวันกว่าอาการจะบรรเทาลง
เด็กสาวจะกินอะไรไม่ลงในสองสามวันนี้
…..
เป็นเรื่องสนุกที่ได้แกล้งน้องสาว แต่เขาไม่อาจรังแกเธอได้ตลอด
ตอนบ่าย หลังเขากินข้าวเสร็จ ฟางผิงก็พาน้องสาวไปเที่ยวสวนสนุก
ในเมืองหยางเฉิงไม่มีสวนสนุกเครื่องเล่นใหญ่ๆ แต่ยังมีเครื่องเล่นเล็กๆอยู่
ความขุ่นเคืองส่วนใหญ่ของฟางหยวนหายไปทันทีหลังได้เล่นสนุกตอนบ่าย
แต่เมื่อกลับบ้านคืนนั้นและพบว่าแม่ทำกับข้าวอร่อยๆมากมาย เธอก็แทบทรุด เพราะเธอไม่อยากอาหารเลย
เธอบ่นกับหลี่อวี้อิง “ฟางผิงจี้จุดหิวหนู!”
ฟางผิงหัวเราะอย่างหนักจนเกือบพ่นของกินในปาก
จุดหิว มันคืออะไรล่ะนั่น สาวน้อยคนนี้ช่างสร้างสรรค์คำใหม่ๆเก่งเหลือเกิน
หลี่อวี้อิงย่อมไม่เชื่อ เมื่อเธอสังเกตว่าลูกสาวเธอไม่กินข้าว เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงโมโห “มันเป็นเพราะขนมที่ลูกกิน! ผิงผิง ลูกห้ามให้เงินน้องไปซื้อขนมเด็ดขาด!”
“แม่จะยึดขนมทั้งหมดในห้องลูก!”
“ลูกกินแต่ขนมไม่ยอมกินข้าวแล้วเมื่อไหร่ลูกจะโต?”
ไม่ใช่แค่หลี่อวี้อิงเท่านั้นที่โกรธ แม้แต่ฟางหมิงหรงก็สนับสนุนให้ยึดขนมในห้องฟางหยวน ลูกสาวเขาเลือกกินขนมมากกว่าข้าว พวกเขาจะยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร?
ขณะที่ทั้งคู่ต้องการคำตอบจากลูกสาว หน้าของฟางผิงก็แทบจุ่มลงไปในชามที่เขากำลังถืออยู่
เขากลัวเผลอหลุดหัวเราะออกมา
ฟางหยวนวางแผนจะฟ้องพ่อแม่ แต่สุดท้ายเธอก็เป็นคนที่ถูกดุ แถมของกินที่แอบตุนไว้ก็ถูกยึดอีก
สาวน้อยคอตก เธอเต็มไปด้วยความสับสน เธอเริ่มกังขาตนเองด้วยซ้ำ
เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงไม่อยากอาหารเช่นกัน
เธอโทษเรื่องนี้กับฟางผิง เพราะเธอรู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่าฟางผิงเป็นคนเดียวที่แกล้งเธอได้
แต่ฟางผิงไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม?
เธอไม่เคยได้ยินเลยว่าผู้ฝึกยุทธทำให้คนไม่อยากอาหารได้
เมื่อเธอเห็นกับข้าวมากมายบนโต๊ะ เธอก็ไม่รู้สึกอยากอาหารเลย เธอไม่หิว แต่เธอก็ไม่ได้ไม่สบายเช่นกัน
“มันเป็นเพราะหนูกินขนมมากไปจริงๆเหรอ?”
ฟางหยวนคิดว่าคำอธิบายนี้ถูกต้องเช่นกัน ซึ่งมันทำให้เธอโกรธยิ่งขึ้น
…..
อาการไม่อยากอาหารของฟางหยวนกลายเป็นประเด็นหลักของพ่อแม่ในช่วงสองสามวันถัดมา
หลี่อวี้อิงถลึงตามองน้องสาวอย่างดุดันและบังคับให้เธอกินคำต่อคำ
ฟางผิงหัวเราะทุกครั้งที่ได้เห็นสีหน้าสิ้นหวังของน้องสาว
สาวน้อยทำเหมือนของกินที่เธอกินไปคือยาพิษที่จะพรากชีวิตเธอไป
กว่าผลข้างเคียงของยาจะหายไปและความอยากอาหารของเธอกลับมา มันก็ผ่านมาสามวันแล้ว
ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่จึงมั่นใจว่าพวกเขาพบเหตุผลเบื้องหลังเหตุการณ์นี้แล้ว ขนมขบเคี้ยวคือต้นเหตุแน่นอน!
ลูกสาวพวกเขากลับมาอยากอาหารอีกครั้งหลังไม่ได้กินขนมขบเคี้ยวมาสามวัน ถ้าไม่ใช่เพราะขนม มันจะเป็นอะไรไปได้อีก?
ฟางหยวนเองก็เชื่อเช่นกันว่าขนมเป็นต้นเหตุ
ทั้งครอบครัวไม่ได้คิดมากนัก ถ้าเป็นครอบครัวผู้ฝึกยุทธคงพบเหตุผลที่แท้จริงนานแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น ฟางหยวนคงมาแก้แค้นฟางผิงนานแล้วเช่นกัน
หลังปัญหาของลูกสาวถูกแก้ ปัญหาต่อไปก็คือสอบเกาเข่าของฟางผิง
เมื่อเทียบกับพ่อแม่ที่กระวนกระวายจนนอนไม่หลับ ฟางผิงไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย
ฟางหมิงหรงพึ่งเริ่มทำงานที่กระทรวงศึกษาเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาจึงไม่เต็มใจลา ทางกลับกันหลี่อวี้อิงขอลาหยุดทั้งอาทิตย์เพื่อดูแลฟางผิง
…..
วันที่ 7 มิถุนายนมาถึงในพริบตา
ตอนเช้า ทั้งครอบครัวฟางพาเขาไปสอบที่โรงเรียน
เขาไม่ได้สอบที่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิง แต่สอบที่โรงเรียนมัธยมต้นสือเยี่ยน ซึ่งบังเอิญเป็นโรงเรียนของฟางหยวนเช่นกัน
ระหว่างทาง พวกเขาเห็นพ่อแม่พาลูกไปสถานที่สอบอยู่หลายคน
อย่างไรก็ตามครอบครัวส่วนใหญ่ คนที่มาไม่เป็นพ่อก็เป็นแม่
ครอบครัวอย่างฟางผิงที่มาทั้งพ่อแม่ และแม้แต่น้องสาวก็มาด้วย หาได้ยากมาก
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของครอบครัว ฟางผิงก็จนปัญญา แต่ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจเช่นกัน
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูโรงเรียน ฟางหมิงหรงก็ขอตัวไปก่อน เพราะเขาต้องไปทำงาน
แม่กับฟางหยวนลังเล เมื่อเห็นฝูงชนที่หน้าประตู ฟางผิงก็คิดถึงการโจมตีตอนอยู่เมืองรุ่ยหยางอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้ต่อให้เขาถูกโจมตีอีก ฟางผิงก็ไม่กลัว
เขาฝึกฝนเคล็ดเพลงเตะพื้นฐานสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว
ฟางผิงรู้สึกว่าเขามีโอกาสชนะ 80% ถ้าเขาประจันหน้ากับผู้หญิงคนนั้น
แน่นอน ผู้หญิงคนนั้นถูกเผาเป็นเถ้าไปนานแล้ว ฟางผิงจึงไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง
เขาไม่กลัว แต่เขาย่อมไม่ยอมปล่อยให้แม่กับฟางหยวนได้รับอันตราย
เขาต้องใช้เวลาโน้มน้าวฟางหยวนให้พาแม่กลับบ้านไปก่อนอยู่พักนึง
ย่านกวนหูหยวนอยู่ใกล้กับโรงเรียนมัธยมต้นสือเยี่ยน ดังนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้แม่รอเขาที่หน้าโรงเรียน
…..
หลังฟางหยวนกับแม่เดินกลับบ้าน ฟางผิงก็เดินไปห้องสอบ
“มันเป็นขั้นตอนสุดท้าย!”
นอกห้องสอบ ฟางผิงพูดพึมพำ
‘ห้าขั้นตอนสอบวิชายุทธ’
ตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงได้ยินประโยคนี้ตลอดเวลา
ตอนนี้เขาสอบผ่านขั้นตอนก่อนหน้านั้นแล้ว
ถ้าเขาสอบวัฒนธรรมศึกษาได้คะแนนไม่ย่ำแย่จนเกินไป การเข้ามหาลัยวิชายุทธไม่ใช่ปัญหาเลย
แม้ปราณและเลือดเขาจะสูงมาก แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้ามหาลัยวิชายุทธ
เขายังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ การศึกษาอยู่ที่มหาลัยวิชายุทธมีประโยชน์แน่นอน เรื่องนี้พิสูจน์ได้จากหวังจินหยางแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสาม แต่ก็ไม่ขอจบการศึกษา
ทรัพยากร อาจารย์ที่ปรึกษา หนังสือเคล็ดวิชา…เขาจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินบนเส้นทางนี้ไปไกลโดยไม่มีใครชี้แนะ
ฟางผิงมาได้ไม่ไกลขนาดนี้ถ้าเขาไม่ได้พบกับหวังจินหยาง ต่อให้เขาโกงได้โดยใช้ระบบก็ตาม
เคล็ดเสริมสร้าง หนังสือจวงกง เคล็ดวิชาต่อสู้…ต่อให้เขาได้มาด้วยวิธีอื่น แต่ถ้าฝึกฝนเอง เขาต้องทำอะไรผิดพลาดบ้างเป็นแน่
นอกจากนี้มหาลัยวิชายุทธยังมีความลับมากมาย
หวังจินหยางก็เหมือนจะรู้อะไรมากมายเช่นกัน
แต่ถานเจิ้นผิง ฟางผิงได้คุยกับเขาหลายครั้งเนื่องจากเรื่องงานของพ่อ ถานเจิ้นผิงแก่แล้ว แต่เขารู้น้อยมาก
ด้วยความคิดเหล่านี้ ฟางผิงก็เข้ามาห้องสอบแล้วนั่งลง รอให้อาจารย์แจกข้อสอบ
“มหาลัยวิชายุทธ!”
นี่เป็นประโยคเดียวที่อยู่ในหัวของฟางผิง
…..
ในขณะเดียวกัน
ณ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
หวังจินหยางเป็นประธานสมาคมวิถียุทธของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงคนถัดไปอย่างเป็นทางการ
ตอนแรกเขาวางแผนจะสืบทอดตำแหน่งเทอมถัดไปหลังเฉินเสวียนจบการศึกษา
แต่ตอนนี้เฉินเสวียนอยู่ส่วนลึกของถ้ำใต้ดิน จางชิงหนานก็ยังไม่กลับมา
ปรมาจารย์ทั้งเก้าผนึกทางเข้าถ้ำใต้ดิน ก่อนผู้สำเร็จราชการออกมา เขาได้ค้นหารอบๆทางเข้า แต่ก็ไม่พบร่องรอยทั้งสอง
ผู้สำเร็จราชการจางมีหลายสิ่งต้องทำ เขาไม่อาจช่วยเหลือการค้นหาเป็นระยะนาน
ปรมาจารย์คนอื่นก็เช่นเดียวกัน ทุกคนยุ่งมาก แถมการเข้าถึงถ้ำใต้ดินก็ถูกจำกัดหลังผนึกทางเข้า
เว้นแต่ว่า…เว้นแต่ว่าเขาหวังจินหยางจะกลายเป็นปรมาจารย์เอง ไม่งั้นเขาจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ยาก
“ปรมาจารย์!”
ขณะที่เขารับตำแหน่งประธาน นี่เป็นคำเดียวที่อยู่ในหัวของเขา
เขาไม่ได้สนิทกับเฉินเสวียน แต่หลังเขาสมาคม ประธานก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี
ไม่ต้องพูดถึงจางชิงหนานเลย เขาเป็นผู้ที่คอยชี้แนะเบื้องต้นให้เขา
แม้ว่ามันอาจเป็นไปได้ที่พวกเขาจะต้องสิ้นชีพในถ้ำใต้ดิน แต่เขาต้องลงไปดูให้เห็นกับตา แก้แค้นให้พวกเขา และให้พวกเขากลับมาพักผ่อนที่แผ่นดินบ้านเกิดอย่างสงบ