World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 81
ตอนที่ 81 สัมผัสอันตราย
ชั่วพริบตา เดือนกรกฎาคมก็มาถึง
ไม่กี่วันมานี้ พ่อแม่เขายุ่งมาก ฟางหยวนก็เช่นกัน ฟางผิงเป็นคนที่ว่างที่สุด
พ่อแม่ของเขากําลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงฉลองและแจ้งเพื่อนๆและญาติๆ
ส่วนฟางหยวนกําลังยุ่งอยู่กับการโม้ ไม่สิ เธอกําลังแบ่งปันข้อมูล
” พี่ชายฉันเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้
” พี่ชายฉันกําลังสอนวิชายุทธให้ฉัน!”
” อนาคตฉันจะเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ด้วยเหมือนกัน!”
ฟางผิงได้ยินประโยคเหล่านี้บ่อยมาก
เพราะเขาจะไปเซี่ยงไฮ้ในเร็วๆนี้ ฟางผิงตระหนักว่าเด็กสาวไม่มีโทรศัพท์มือถือมันไม่ค่อยสะดวก เขาจึงซื้อโทรศัพท์ให้น้องสาวเครื่องนึ่ง
เมื่อเขาซื้อให้เธอ ฟางผิงก็เสียใจ
เมื่อเด็กสาวสอบเสร็จ เธอก็ใช้โทรศัพท์โทรคุยธุระบ่อยกว่าฟางผิงเสียอีก
พูดโม้เป็นเรื่องของ ยกตัวอย่าง ตอนนี้ฟางผิงได้ยินเด็กสาวกําลังพูดเบาๆใส่โทรศัพท์ ” ฉันขายไม่ได้จริงๆ พี่ชายบอกว่าถ้าฉันขายของๆเขาอีก เขาจะฆ่าฉัน”
“ไม่มีลายเป็นเหมือนกัน เขาไม่ยอมเซ็นให้ฉันด้วยซ้ํา”
“500หยวน? อวี้ เธอบ้าไปแล้ว ราคามันสูงมาก!”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอคิดก่อน เอาแบบนี้ไหม? หลังพี่ชายฉันไปอยู่หอ ฉันจะลองหาในบ้านดูว่าเขาเหลืออะไรทิ้งไว้ใหม จากนั้นเธอค่อยมาเลือก
คําพูดของเธอตอนแรกทําให้ฟางผิงโล่งอกเล็กน้อย ในที่สุดสาวน้อยก็เรียนรู้บทเรียน
แต่หลังจากนั้น เมื่อเขาได้ยินคําพูดตอนท้ายของน้องสาว ฟางผิงก็หน้าดําหน้าแดง
“พอฉันออกไป เด็กคนนี้จะรีบเก็บข้าวของของฉันไปขายงั้นเหรอ?”
ฟางหยวนอาจสัมผัสได้ว่าฟางผิงกําลังมองมาที่เธอ เธอจึงพูดออกมาเสียงดังโดยพลัน “อวี้ฉันออกไปเที่ยวกับเธอไม่ได้แล้ว สองสามวันนี้ฉันต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ!”
“อ่าฮะ แค่นี้นะ ไว้เจอกันตอนเปิดเทอม!”
ฟางผิงมุมปากกระตุก น้องคิดว่าพี่ชายโง่เหรอ?”
เขาขัดเกลากระดูกครั้งที่สองเสร็จแล้ว เขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งทั่วๆไปเสียอีก
“เราห่างกันแค่ห้าหกเมตร แต่น้องคิดว่าพี่จะไม่ได้ยินที่น้องพูดเลยรึไง?”
เนื่องจากสาวน้อยคิดว่าเขาไม่รู้ ฟางผิงจึงไม่พูดอะไรเช่นกัน
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็เปิดปากพูด “พรุ่งนี้ คุณป้ากับครอบครัวจะมาหา พี่คงไม่มีเวลาสอนจวงกงน้อง เพราะงั้นวันนี้พี่จะฝึกน้องเป็นพิเศษ”
ฟางผังตัดสินใจใช้การฝึกฝนจวงกงมาจัดการเด็กคนนี้
พอพวกเขาฝึกเสร็จ เขาก็จะมอบยาเติมเต็มเลือดและลมปราณให้เธอ
อิงจากสภาพร่างกายฟางหยวน พอเธอทานเม็ดยาไป ต่อให้เธอฝึกจวงกงเธอก็คงไม่อยากอาหารไปอีกสองวัน
ฟางหยวนขอให้แม่ซื้อของโปรดให้ตอนครอบครัวคุณป้ามาถึงวันพรุ่งนี้
เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อยยกเว้นตัวเอง
ฟางฝั่งคิดอยู่พักนึงและรู้สึกลังเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ เธอจะผอมไหม?
ถ้าเธอผอม หน้าเล็กๆกลมๆ ก็จะกลายเป็นรูปไข่ มันคงดูไม่ดี
เขากังวลเรื่องนี้ไปพักนึ่งเลยที่เดียว ฟางผิงได้แต่บอกตัวเองว่าเมีตยาเติมเต็มเลือดและลมปราณจะฟื้นฟูปราณและเลือดของเธอ และเมื่อมีปราณและเลือดเพียงพอ เด็กสาวก็ไม่ควรผอมลง
ฟางหยวนไม่รู้ว่าฟางผิงวางแผนอะไรไว้ เธอพึ่งได้รับการชี้แนะวิชายุทธและรู้สึกสนใจจรงกงมาก
เมื่อเธอได้ยินเรื่องฝึกพิเศษ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เธอตื่นเต้นด้วยซ้ํา “ตกลง หนูจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องรีบ เราเริ่มตอนกลางคืนก็ได้ “
“จะไม่รีบได้ไง? ตอนนี้เลยฟางฝั่ง อย่าชักช้า!” เด็กสาวหน้ายิ่ง
ฟางหยวนตื่นเต้นมากจนแทบอยากฝึกซะเดี๋ยวนี้เลย
ฟางผิงชําเลืองมองเธอและทําตามที่เธอต้องการ เขาพยักหน้าแล้วยิ้ม “ก็ได้ น้องเปลี่ยนชุดเสร็จ พี่จะเริ่มสอนเลย”
เด็กสาวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างกระตึกระด้า ฟางยิ่งคิดไว้แล้วว่าฝึกพิเศษควรหนักมากแค่ไหน
ฟางหยวนหอบแฮ่กๆไม่ต่างกับลูกหมา “พี่ หนูต้องฝึกต่ออีกเหรอ?”
“ฮือฮี ไม่เจ็บปวดก็ไม่มีกําไร น้องไม่อยากเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้แล้วเหรอ?”
“ถ้าน้องไม่ลําบากตอนนี้ แล้วน้องจะเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ได้ยังไง?”
แต่
เด็กสาวอยากเลี้ยงว่าเขายังไม่ได้ทําแบบนี้เลย!
ฟางผิงอยู่โรงเรียนมัธยมปลายสามปี เขาเริ่มมาขยันตอนช่วงสุดท้าย เขาทําตัวสบายๆมาโดยตลอตแท้ๆ
ทําไมเธอต้องเริ่มลําบากตั้งแต่อยู่มัธยมต้นล่ะ?
ฟางผิงเดาได้นานแล้วว่าเธอจะพูดอะไร เขายิ้ม ” พี่ต่างจากน้อง พี่เป็นอัจฉริยะ”
“อย่าพึ่งรีบเถียง!”
“ถ้าพี่ไม่ใช่อัจฉริยะ งั้นพี่จะเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ได้ยังไงทั้งๆที่คนอื่นยังเข้าไม่ได้เลย?”
“ในฐานะที่น้องเป็นคนธรรมดา น้องต้องขยัน ถ้าน้องไม่ทนลําบากสักหน่อย อนาคตน้องจะไม่ประสบความสําเร็จ”
หลังล้างสมองน้องสาวสักพักและสังเกตเห็นว่าเธอเหนื่อยจนยืนแทบไม่ไหวแล้ว ฟางผิงก็พอใจ “วันนี้พอแค่นี้แหละ ไว้มาฝึกพรุ่งนี้ต่อ”
” ห้ะ?”
” พวกคุณป้าจะมาพรุ่งนี้ นายไม่ได้บอกเหรอว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ฝึก?” ฟางหยวนทักท้วง
“ความขยันขันแข็งเป็นสิ่งสําคัญของการฝึกฝนวิชายุทธ!” ฟางผิงทําหน้าจริงจัง “ถ้าพี่บอกว่าไม่ฝึกน้องจะขี้เกียจ ถ้าแบบนั้นน้องคิดว่าจะเชี่ยวชาญจวงกงได้เหรอ?”
” พี่ชาย ๆ
ฟางหยวนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม นายเป็นคนบอกเองว่าจะไม่ฝึก หนูจะรู้ได้ยังไงว่านายจะเปลี่ยนใจ?”
ขณะที่ฟางผิงกําลังจะพูดต่อ โทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น
เขารับสายและโบกมือไล่น้องสาว ปล่อยให้เธอได้พัก ก่อนที่เธอจะไป เขาก็ไม่ลืมชี้ให้เธอดื่มน้ำผสมยา
หลังเห็นฟางหยวนดื่มน้ำผสมยาเติมเต็มเลือดและลมปราณในอีกเดียว ฟางผิงก็รู้สึกพึงพอใจ
ดูเหมือนพรุ่งนี้จะมีอะไรสนุกๆดูแล้วสิ
เมื่อฟางหยวนเดินออกไป ฟางผิงก็ยิ้มทันที ” พี่หวัง ผมไม่รบกวนใช่ไหม?”
“ไม่ เมื่อฉันแค่ไม่ว่างเฉยๆ”
หวังจินหยางตอบแล้วเอ่ยถาม ” แล้วโทรมาหาฉันมีอะไรรึเปล่า?”
ฟางผิงอธิบายเรื่องมหาลัยวิชายุทธเทียนหนานอย่างง่ายๆ หวังงินหยางเงียบไปครู่นึง เขาตอบด้วยน้ำเสียงซับซ้อน ไม่มีอันตรายมากนัก”
” เพราะพวกเขาเตรียมตัวไม่เพียงพอ มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานจึงสูญเสียนักศึกษาชั้นยอดไปอย่างหนักตอนภารกิจแรก”
” ตอนนี้พวกเขาจําเป็นต้องเพิ่มจํานวนนักศึกษาเพื่อป้องกันการขาดแคลนนักศึกษา”
“สูญเสียอย่างหนัก
นี่เป็นประเด็นที่ฟางผิงกังวล มหาลัยวิชายุทธอันตรายขนาดนั้นเลยจริงๆเหรอ?
“มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานมีผู้ฝึกยุทธขั้นสาม 18 คนอยู่ในมหาลัย มากกว่ามหาลัยวิชายุทธหนานเฉียงถึง 2 คน!”
“ในภารกิจครั้งก่อน มี 8 คนสละชีวิต!”
หวังจินหยางพูดด้วยน้ําเสียงเคร่งขรึม เขาบอกว่าพวกเขา สละชีวิต “ไม่ใช่” เสียชีวิต !!
คําว่า ‘สละชีวิต ไม่ใช่คําที่ใช้กับใครๆก็ได้
ฟางผิงเหมือนจะเข้าใจขึ้นเล็กน้อย เขาถามด้วยน้ําเสียงอึมครึม “มีคนสละชีวิตมากขนาดนั้นได้ยังไง?”
“บางสิ่งที่อันตรายกว่าที่นายคิต!” หวังจินหยางกล่าวเสียงเบา “ยิ่งนายแข็งแกร่งเท่าไหร่ นายก็จะได้ผลประโยชน์มากเท่านั้น และนายก็ต้องจ่ายยิ่งขึ้น”
“ฉันเคยบอกแล้ว ถ้านายเป็นคนธรรมดา มันก็ไม่เป็นไร นายไม่ต้องทําอะไรก็ได้”
” แต่ถ้านายไม่เต็มใจเป็นคนธรรมดา นายต้องเตรียมตัวให้พร้อม
” นักศึกษาชั้นยอดของมหาลัยวิชายุทธเทียนหนานหลายคนก็เหมือนกันที่สละชีวิตเพราะไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม
หวังจินหยางนึกถึงวันนั้นโดยไม่รู้ตัว มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานเป็นกลุ่มแรกที่เข้าไปในถ้ำใต้ดินที่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่สงบ
กองทัพซีหนานและมหาลัยวิชายุทธหนานแข็งแกร่งกว่ามหาลัยวิชายุทธเทียนหนาน กองกําลังทหารและอาจารย์ของมหาลัยวิชายุทธชีหนานก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน
มีเพียงอาจารย์ของมหาลัยวิชายุทธเทียนหนานที่อ่อนแอกว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่ มีความสามารถมากพอปกป้องเหล่านักศึกษา
นักศึกษาส่วนใหญ่ลงถ้ําใต้ดินเป็นครั้งแรก พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมากพอ จึงมีหลายคนเสียชี วิตในเวลาต่อมา
หวังจินหยางหยุดคิดเรื่องเหล่านี้ เขาพูดต่อ “ที่นายอยากรู้ก็คือเพื่อนนายจะเผชิญกับอันตรายไหมใช่รึเปล่า?
“มันมีอันตรายแน่นอน แต่ปัญหาถูกแก้ชั่วคราว มันจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
“แถมพวกเขายังไม่ถึงขั้นสาม ไม่มีอะไรน่าห่วง”
” ค่อยยังชั่ว
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ เขาสนิทกับหยางเจี้ยน ถ้ามีอันตรายมาก ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องแจ้งให้เพื่อน
ทั้งสองไม่ได้คุยเรื่องอื่นอีก พวกเขาวางสายอย่างรวดเร็ว
ฟางผิงวางสาย แต่เขาก็จมอยู่ในห้วงความคิด
แม้หวังจินหยางจะไม่ได้พูดอะไรนัก แต่เขาก็ยังสัมผัสถึงอันตรายอย่างหนักหน่วง
นักศึกษาชั้นยอดคืออะไร?
ทุกมหาลัย ผู้ฝึกยุทธขั้นสามถึงจะเป็นนักศึกษาชั้นยอดที่แท้จริง
มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานมีนักศึกษาขั้นสามมากกว่าสิบคน แต่กว่าครึ่งสูญเสียไปในภารกิจเดียวมันน่าตกใจเกินไป
มันเป็นอันตรายแบบไหนกัน? และเป็นภารกิจแบบไหนกันที่ทําให้ผู้ฝึกยุทธขั้นสามหลายคนสัม?
มีผู้ฝึกยุทธขั้นสามในเมืองหยางเนิ้งอันกว้างใหญ่ไหม?
ในเมืองหยางเฉิง ค้นหาหวงในคนนึงที่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว มันพูดยากว่ามีผู้ฝึกยุทบขึ้นสามอยู่ใหม
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสามไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาถือเป็นคนใหญ่คนโตแล้ว
อย่างไรก็ตามคนใหญ่คนโตเหล่านี้ยังเด็กและมีอนาคตที่สดใสรออยู่ แต่พวกเขาก็จากไปในพริบตา
“ดูเหมือนฉันรีบทะลวงสู่ขั้นหนึ่งโดยเร็วอีกว่า จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว”
ฟางผิงตัดสินใจแล้ว การอยู่ในขอบเขตเตรียมผู้ฝึกยุทธนานเกินไปไม่จําเป็นต้องเป็นเรื่องดีเสมอไป
กลางเดือนมิถุนายน ตอนที่ฟางผิงกับหวังจินหยางมาเจอกัน ปราณและเลือดเขาก็เกิน 180แคสแล้ว และเขาก็ขัดเกลากระดูกครั้งสองไปแล้ว
อย่างไรก็ตามยิ่งปราณและเลือดสูง มันก็เพิ่มได้ยากเท่านั้น แถมมันยังผลาญมากขึ้นด้วย!
ตอนนี้ขึ้นเดือนกรกฏาคมแล้ว มันผ่านมาครึ่งเดือน
ปราณและเสื้อตของฟางผังพัฒนาช้าลงยิ่ง
ทรัพย์สิน : 3,200,000
ปราณและเลือด : 189แคล
จิตใจ : 199เฮิรตซ์
ปราณและเลือดของเขาติดอยู่ที่ 189แคล ส่วนจิตใจเขามาถึง 199เฮิรตซ์ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน แล้วแต่มันไม่ขยับเลยสักนิด
ฟางผิงคาดการณ์ว่า 200 เป็นคอขวดใหญ่
เมื่อปราณและเลือดเขามาถึง 200แคล มันเป็นไปได้มากว่ามันจะถึงเวลาขัดเกลากระดูกครั้งสาม
อย่างไรก็ตามค่าทรัพย์สินของเขาลดลงเร็วเกินไป!
ตอนเดือนเมษา เขาใช้ค่าทรัพย์สิน 1000 แต้มก็เพิ่มปราณและเลือดได้ 1แคลแล้ว
เมื่อร่างกายเขามาถึงขีดจํากัด เขาต้องใช้เฉลี่ย 20000-30000 แต้มเพื่อเพิ่ม 1แคล
หลังทะลวงผ่าน 150แคล เขาใช้เฉลี่ย 40000-50000 แต้ม
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ฟางผิงใช้ค่าทรัพย์สินไปมากกว่า 6 ล้านและใช้จ่ายเงินไปกว่า 3 ล้านแล้ว
หลังมาถึงขัดเกลากระดูกครั้งที่สาม เขาไม่รู้ว่าเขาต้องหมดค่าทรัพย์สินไปอีกเท่าไหร่ มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะเหลือค่าทรัพย์สินประมาณ 2 ล้านแต้ม
ค่าทรัพย์สินมีประสิทธิภาพมากกว่าเงินสด ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาไม่ต้องใช้ทรัพยากรถึงสิบล้านเลยเหรอ?
ไม่แปลกใจเลยที่หวังจินหยางไม่พยายามขัดเกลากระดูกครั้งที่สาม เป็นไปได้ว่าจํานวนทรัพยากรที่ต้องใช้ขัดเกลากระดูกครั้งที่สามไม่ต่างจากจํานวนทรัพยากรที่ใช้ไปถึงขั้นสาม
ยิ่งกว่านั้นฟางผิงได้ใช้เงินห้าแสนหยวนเพื่อซื้อน้ํายาเสริมสร้างร่างกายสามขวดจากหวังจินหยางด้วยแถมนี้ยังเป็นราคาลดให้แล้ว
ทรัพยากรที่เขาใช้ไปมากมายยิ่งนัก
“ฉันจะรออีกสักหน่อย ถ้าฉันยังขัดเกลากระดูกครั้งที่สามไม่ได้ก่อนมหาลัยเป็ด ฉันจะทะลวงทันที”
ถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ จะทําอะไรก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า
หลังเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ เขาจะทําอะไรได้สะดวกยิ่งกว่า
เขาเหลือเงินสดไม่มากนัก เขาให้แม่ไปสามแสน ใช้ซื้อน้ํายาเสริมสร้างร่างกายไปห้าแสนเขาเหลืออยู่ 1.5 ล้านกับเศษอีกเล็กน้อยเท่านั้น
เงินก้อนนี้อาจดูเหมือนมากในสายตาคนธรรมดา และใช้จ่ายในเมืองหยางเนิ้งได้ไม่น้อยเลย
แต่เซี่ยงไฮ้จะเป็นแบบนี้เหรอ?
เขาเกรงว่าเงิน 1.5 ล้านอาจเป็นจํานวนไม่มากนักในเซี่ยงไฮ้ มันอาจพอซื้อห้องน้ำในใจกลางเมืองได้อย่างเดียวเป็นห้องน้ําที่ขนาดใหญ่หน่อยนึง
“ฉันจะฝึกอยู่ที่บ้านในเดือนกรกฎา และออกจากบ้านไปสํารวจเซี่ยงไฮ้ก่อนมหาลัยเปิดช่วงเดือนสิงหาเพื่อเตรียมตัวเอง
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พอฉันทะลวงสู่ขั้นหนึ่ง ฉันคงจนมาก
ส่วนเมีดยากับน้ํายาที่มีอยู่ในมือ เขาต้องทิ้งยาเติมเต็มเลือดและลมปราณไว้ให้ฟางหยวนเขา ต้องมียาชําระกระดูกขั้นหนึ่งและยาป้องกันอวัยวะภายในเพื่อเตรียมใช้ทะลวงขั้น
เขาก็จะเหลือเพียงยาปราณและเลือดสามัญ 8 เม็ดและยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 5 เม็ตเท่า
ถ้าเขาหาเงินไม่ได้ เขาก็จะหาโอกาสขายยาพวกนี้ เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้ใช้ยามาเติมเต็มปราณและเลือก
“โอ้ย ปวดหัว ฉันไม่รู้ว่าหลังทะลวงขั้นสามแล้ว มันจะมีความแตกต่างยังไง”
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นนักศึกษาชั้นยอดที่มาถึงขอบเขตผู้ฝึกยุทรขั้นสามแล้ว
แม้ว่าฟางผิงจะกลัวสิ่งที่ไม่รู้จักอยู่บ้าง แต่รู้อะไรครึ่งๆกลางๆ เป็นอะไรที่ไม่สบายใจมากกว่า