World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 89
ตอนที่ 89 ทาบทาม
หลี่เฉิงเจ๋อเป็นคนฉลาด การสังเกตเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานของเขา
เมือฟางผิงเชิญเขามาทานอาหารเย็นด้วย เขาก็รู้เลยว่าฟางผิงต้องการอะไรบางอย่าง
ช่วงนี้ฟางผิงออกไปแต่เช้าและกลับมาดึก เขายุ่งมาก และหลี่เฉิงเจ๋อก็สังเกตเห็น
อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าไม่ควรสอดรู้เรื่องส่วนตัวของผู้ฝึกยุทธ นอกจากพวกเขาจะพูดขึ้นมาเองนี่เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาหลังทํางานในสังคมนี้มานานหลายปี
เมื่อฟางผิงเปลี่ยนหัวข้อเตรียมเปิดปากพูด หลี่เฉิงเจ๋อก็รู้ว่าฟางผิงจะเข้าเรื่องจริงแล้ว
“ผู้จัดการหลี่ คุณเลื่อนขั้นมาเป็นระดับผู้จัดการแผนกของโรงแรมโม่ตได้ คุณต้องทํางานที่นี่ มาหลายปีแล้วใช่มั้ย?”
“ผมทํางานอยู่โรงแรมโม่ตูมาแปดปีแล้ว”
หลี่เฉิงเจ๋ออธิบายด้วยรอยยิ้ม “แปดปีก่อน ผมจบมาจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการเงินเซี่ยงไฮ้ และมาทํางานที่โรงแรมโมดู”
“ผมพึ่งเลื่อนตําแหน่งเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้านของโรงแรมโมดูได้ตอนสามปีก่อน”
ที่จริงคําพูดเหล่านี้เปิดเผยความลับไปมาก เขาเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้านได้หลังทํางานห้าปี
หลังเขากลายเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้าน เขาก็ไม่มีวี่แววเลื่อนตําแหน่งเลยมาสามปีแล้ว
แม้ว่าโรงแรมโม่ตูจะค่อนข้างใหญ่ แต่ไม่ว่ามันจะใหญ่โตแค่ไหน มันก็ยังเป็นแค่ธุรกิจที่ไม่โดดเด่นภายใต้ชื่อของมหาลัยวิชายุทธเซียงไฮ้
นี่เป็นเพียงธุรกิจที่มีไว้ให้บริการนักศึกษาและครอบครัว ดังนั้นมันจึงมีความสําคัญน้อยมาก
ไม่กี่วันที่เขามาอยู่ที่นี่ ฟางผิงเข้าใจระบบบุคลากรของโรงแรมโม่ตูอยู่หลายอย่าง
ผู้จัดการทั่วไป – รองผู้จัดการทั่วไป – ผู้อํานวยการแผนก – ผู้จัดการแผนก – หัวหน้างา นอาวุโส-หัวหน้างาน – พนักงาน
หลี่เฉิงเจ๋อจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินจากเซี่ยงไฮ้ ดังนั้นวุฒิการศึกษาของเขาจึงไม่เลว
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ การที่เขาเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้านได้นั้น เขาต้องอาศัยความสามารถที่แท้จริง การประจบก็ถือเป็นความสามารถเช่นกัน
เขาใช้เวลา 8 ปีเพื่อเลื่อนตําแหน่งเป็นผู้จัดการขั้นกลางระดับสี่ในโรงแรมที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักแปลว่าเขาไม่มีอะไรพิเศษ
อันที่จริงฟางผิงคาดการณ์ได้นานแล้วว่าหลี่เฉิงเจ๋อไม่มีปูมหลัง
วันที่พวกเขาพบกันครั้งแรก หญิงกลางคนที่แผนกต้อนรับไม่ได้พูดกับเขาสุภาพนัก
มันอาจไม่ใช่ไม่สุภาพเลย แต่มันก็เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หญิงกลางคนเป็นคนมีปูมหลังดี การได้เข้าไปเป็นพนักงานที่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ แม้ว่ามันจะเป็นแค่พนักงานภายนอก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากนี้หลี่เฉิงเจ๋อยังสุภาพกับฟางผิงที่เป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธจนเกินไป ราวกับว่าเขากลัวฟางผิงไม่รู้ว่าเขากําลังประจบอยู่
ฟางผิงยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ เขาเป็นแค่หนึ่งในนักศึกษาหลายพันคน
ทั้งหมดนี้อธิบายอะไรได้มากมาย
ฟางผิงได้ยินประโยคที่มีความหมายแฝงอยู่ เขาจึงไม่อ้อมค้อมอีก เขาถามตามตรง “ผู้จัดการหลีคุณได้เงินเดือนต่อปีเท่าไหร่?”
“150,000
“มันโอเคเลยครับ แต่ในมหานครอย่างเซี่ยงไฮ้ แสนห้าไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึง”
ฟางผิงถามต่อ “แล้วผู้อํานวยการแผนกมีเงินเดือนต่อปีเท่าไหร่?”
“300,000 สองเท่าของผม”
“ผู้จัดการหลี่ คุณคิดว่าคุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าคุณจะเป็นผู้อํานวยการแผนก”
หลี่เฉิงเจ๋อยิ้มอย่างขมขึ้น “ถ้าผมโชคดี อาจใช้เวลาสามปี นานกว่านั้นหน่อยก็ห้าปี เป็นไปได้ทั้งหมด”
“แม้ผมจะไม่มีปูมหลัง แต่ผมขยันทํางานและทํางานอย่างจริงจัง”
“ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนที่พูดไม่ดีกับผม แม้แต่ผู้จัดการทั่วไปก็ยอมรับผม…”
“เมื่อคุณเป็นผู้อํานวยการ คุณจะมีอายุเกือบ 40 ปี คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเลื่อนตําแหน่งเป็นรองผู้จัดการทั่วไป?”
“แล้วผู้จัดการทั่วไปล่ะ?”
ฟางผิงหัวเราะในลําคอเบาๆ “บางทีถ้าเส้นทางของคุณราบรื่น คุณจะเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมได้ตอนอายุ 50”
“แต่โรงแรมไม่ดูเป็นแค่สาขาย่อยเล็กๆของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้จัดการทั่วไปแล้วยังไง?”
“ผมคิดว่านักศึกษาส่วนใหญ่ที่จบการศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ยังเริ่มต้นสูงกว่านี้อีก”
“นั่นเป็นความจริง เพราะผู้ฝึกยุทธแตกต่างจากพวกผม…”
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ปฏิเสธ เขาคิดเล็กน้อยก่อนจะพูด “ด้วยเหตุนี้ ไม่กี่ปีข้างหน้าหลังผมเก็บเงินได้มากพอ ผมจึงเตรียมสมัครเรียนคอสฝึกฝนวิชายุทธกับมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้จากนั้นผมจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ”
“ใช้เวลานานแค่ไหนถึงคุณจะเก็บเงินพอเรียนคอสฝึกฝน?”
“อีกสองสามปีน่าจะพอแล้วครับ”
“อีกสองสามปี คุณก็อายุสามสิบกว่าแล้ว ปราณและเลือดของคุณจะลดลงอย่างรวดเร็วคุณแทบไม่มีโอกาสไปถึงขั้นหนึ่งเลย”
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้ตอบ เขาตรงเข้าประเด็นแทน “คุณฟาง ถ้าอยากให้ผมทําอะไร โปรดพูดออกมาตามตรงเลยครับ”
” พวกเราไม่ค่อยได้สนทนากันมากนัก แต่เวลาสั้นๆที่ผมได้คุยกับคุณ คุณฟางมอบความประทับใจให้ผมเป็นพิเศษ”
ความพิเศษนี้มาจากวุฒิภาวะของฟางผิง
เขาไม่ได้เป็นนักศึกษาปีสี่ของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่พึ่งจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย
ถ้าเขาดูจากบัตรประชาชนหรือรูปลักษณ์ที่เยาว์วัย ใครจะเชื่อบ้างว่าฟางผิงอายุ 18 ปี?
หลี่เฉิงเจอรู้สึกว่าเขาอาจเป็นผู้ใหญ่ไม่เท่าฟางผิง แม้ว่าเขาจะอายุ 28 ปีแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ความจริงที่ว่าเขาขัดเกลากระดูกสองครั้ง แต่บุคลิกของเขาไม่เย่อหยิ่งไม่ใจร้อนเขาปฏิบัติต่อพนักงานบริการธรรมดาอย่างสุภาพ ใครล่ะจะเชื่อว่าคนแบบนี้จะไม่มีอนาคต?
บ่อยครั้ง ชิ้นส่วนเล็กๆก็เผยให้เห็นภาพใหญ่ได้ และนี่แหละที่เป็นเหตุให้หลี่เฉิงเจ๋อประจบเขามากขนาดนี้
ฟางผิงเลิกแสร้งโง่ “ผมไม่ได้มามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้เพื่อมาเรียนอยู่ในมหาลัยสี่ปีเท่านั้น”
“ยิ่งผู้ฝึกยุทธแข็งแกร่ง ทรัพยากรที่ใช้ก็มากเป็นเงาตามตัว ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมาก”
“ผมไม่อยากรอจนจบการศึกษาแล้วเริ่มวางแผน”
“เพราะงั้น ผมถึงอยากทําธุรกิจของตัวเองตั้งแต่ตอนนี้”
เขาอธิบายเรื่องของตัวเองอย่างเรียบง่าย ขณะที่พูด สีหน้าของฟางผิงจริงใจมาก “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเซี่ยงไฮ้ ผมไม่คุ้นเคยกับผู้คนและมหานครแห่งนี้นัก ผู้จัดการหลี่ คุณอาจเป็นคนที่ผมสนทนาด้วยมากที่สุด”
“ตอนนี้ บริษัทผมเป็นแค่เปลือกเปล่า เงินทุนก็มีจํากัดมากเช่นกัน”
“คุณพูดได้ว่าบริษัทแบบนี้ไม่คุ้มที่จะเข้าร่วม อย่างน้อยคนอย่างคุณที่มีเงินเดือนปีละ 150,000 หยวนและอาจเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 หยวน มันไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ํา”
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมกําลังขาดคนที่มีความสามารถในการบริหารเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ”
“มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ใกล้เปิดภาคเรียนแล้ว เมื่อภาคเรียนเริ่มขึ้น ผมเกรงว่าผมจะไม่มีเวลามาจัดการธุรกิจ”
“เพราะงั้นผมถึงอยากได้คนที่น่าเชื่อถือพอ มีความสามารถมีประสบการณ์ที่จําเป็นมาเป็นส่วนหนึ่งของพนักงานบริหารของผมและคอยช่วยเหลือผม”
หลังเขาพูดจบ ฟางผิงก็ประสานมือเข้าด้วยกัน เขาไม่ให้โอกาสหลี่เฉิงเจ๋อได้พูด “สิ่งที่ผมพูดคือข้อเสีย ตอนนี้ผมจะพูดข้อดีบ้าง”
” อย่างแรก ผมเป็นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ เตรียมผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง”
“ไม่นาน ผมจะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง มีโอกาสเช่นกันที่ผมจะเป็นขั้นสามก่อนปีสอง”
หลี่เฉิงเจือผงกหัวเล็กน้อย นี่เป็นความจริง เขาไม่ปฏิเสธ
ผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลาสองครั้งสามารถบรรลุขั้นสามได้ในหนึ่งปี แน่นอนนี่เป็นเพียงความเป็นไปได้ ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนหวังจินหยาง
“อย่างที่สอง ผมมาทาบทามคุณ ซึ่งหมายความว่าผมคาดหวังกับคุณ”
“ถ้าคุณเห็นด้วย นี่จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลําบากที่สุดของผม และคุณจะเป็นถ่านไฟกลางหิมะ”
(ผู้แปล : หมายถึงให้ความช่วยเหลือตอนที่ลําบาก)
“ผมไม่พูดถึงคนอื่น บุญคุณจากผู้ฝึกยุทธที่เป็นขั้นสามมีค่ามาก คุณปฏิเสธไหมผู้จัดการหลี่?”
“ผมไม่ปฏิเสธ บุญคุณของผู้ฝึกยุทธขั้นสามมีค่ามากกว่าที่คุณคิดไว้อีกคุณฟาง”
“อย่างที่สาม ไม่ว่าบริษัทจะมีโอกาสหรือไม่ ไม่มีใครเชื่อในสัญญาปากเปล่า”
“อย่างไรก็ตาม ผมสัญญาว่าภายในสามปี ผมจะทําให้คุณเป็นผู้ฝึกยุทธแน่นอนผู้จัดการหลี่โดยไม่คิดเงินเลยสักนิด”
“ไม่จําเป็นต้องจ่ายค่าลงทะเบียน ไม่จําเป็นต้องซื้อเม็ดยา”
“ผมคิดว่า ในฐานะนักศึกษาเซี่ยงไฮ้ สัญญาของผมคู่ควรแก่การเชื่อถือ”
“ใช่ครับ!”
หลี่เฉิงเจ๋อกล่าวอย่างมั่นใจ “ถ้าคุณเป็นนักศึกษามหาลัยทั่วๆไป ผมไม่เก็บไปคิดแน่นอนแต่ผมเชื่อมั่นในสัญญาจากนักศึกษาชั้นยอดของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้”
ชายคนนี้ให้ความร่วมมือมากเกินจนฟางผิงคิดว่าเขาตอบตกลงแล้ว
ในทางตรงข้าม หลี่เฉิงเจ๋อกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ” คุณฟาง ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ งกับสิ่งที่คุณกล่าว”
” อย่างที่คุณพูดไว้ ผมไม่รู้อนาคตของบริษัทเช่นกัน แต่ที่คุณสัญญาไว้ก็เพียงพอให้ผมทํางานให้คุณสามปีแล้ว”
” อย่างไรก็ตามหลังจากสามปีนั้นล่ะ?”
” ขอโทษที่ผมต้องพูดแบบนี้ แต่หลังสามปี ถ้าบริษัทคุณล้มเหลวล่ะ”
“ใช่ ตอนนั้นผมคงเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว แต่ผมก็ยังต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง”
“แม้ว่าผมจะเริ่มจากตําแหน่งที่สูงขึ้นอย่างผู้ฝึกยุทธ แต่ผมลังเลนิดหน่อยที่ต้องทิ้งงานที่ทํามาหนักตลอดแปดปี”
“ยิ่งกว่านั้น คุณบอกว่ามันเป็นบริษัทส่งของ มันเป็นสายงานที่ผมไม่เคยทํามาก่อน ผมอาจทําไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้”
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วคุณเกิดไม่พอใจขึ้นมา ผมยอมรับความรับผิดชอบไม่ไหวเช่นกัน”
“สิ่งที่คุณกังวลคืออนาคต ใช่ไหม?”
“ใช่ สามปีข้างหน้า ผมคงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ แม้ว่าคุณจะไม่มอบค่าตอบแทนให้เลย ผมก็ยังได้กําไรเพราะผมแลก 450,000 หยวนกับการเป็นผู้ฝึกยุทธ”
“ใครๆก็รู้ว่าต้องเลือกทางไหน”
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณกําลังซื้อไม่ใช่แค่สามปีของผม ยังมีการเสียเวลาที่จะเกิดขึ้นหลังเริ่มต้นใหม่งั้นมูลค่าก็คงเกินราคาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเป็นผู้ฝึกยุทธ”
ฟางผิงหัวเราะเบาๆ “ผมชอบคุยกับคนฉลาด คุณมีเหตุผลมาก”
“ถ้าเกิด…ผมบอกว่าผมเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลางได้หลังสามปีและให้มหาลัยช่วยให้คุณเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรมแรมโมดูล่ะ คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม?”
สุดท้าย แววตาของหลี่เฉิงเจ๋อก็เปล่งประกาย เขายิ้มและพยักหน้า ”ประธานฟาง ผมดีใจที่ได้ทํางานกับคุณ!”
สามปีต่อมา ต่อให้เขาไม่ใช่ขั้นสี่ ถ้าฟางผิงเป็นขั้นสามและเต็มใจช่วยเหลือเขาจริงๆ มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ก็ไม่ปฏิเสธคําขอเล็กน้อยเช่นนี้
ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมเล็กๆมีค่าเท่าไหร่เชียว?
ฟางผิงรับประกันรางวัลของอนาคตสามปีข้างหน้าแล้ว แม้แต่แผนสํารองก็เตรียมไว้ให้ มันดีกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก
ถ้าเป็นแบบนี้ เขามีอะไรให้กังวลอีกล่ะ?
เขาประจบคนมาหลายปีแล้ว เขาจะหาโอกาสดีๆแบบนี้ได้อีกเหรอ?
ที่จริงตอนที่ฟางผิงพูดถึงบุญคุณของผู้ฝึกยุทธขั้นสามและถ่านไฟกลางหิมะ เขาก็ตัดสินใจไปแล้ว
เขายังเด็ก ถ้าเขาไม่รับโอกาสนี้ เขาจะต้องอยู่บนเส้นทางสายนี้ไปตลอดชีวิตเหรอ?
หลังเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ ผู้จัดการแผนกแม่บ้านจะมีความสําคัญอะไร?
เขาลองถามไปเมื่อกี้ก็เพื่อทดสอบนิสัยใจคอของเจ้านายใหม่ เขาไม่คิดเลยว่าฟางผิงจะใจกว้างกว่าที่เขาคิดไว้
นอกจากนี้ ขั้นกลางในสามปี
คําพูดเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของฟางผิง
นักเรียนที่พึ่งจบมัธยมปลายตัดสินใจทําธุรกิจก่อนเข้ามหาลัยวิชายุทธ และรู้จักใช้คุณค่าทางสถานะเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดด้วยราคาถูกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
สําหรับคนเช่นนี้ ต่อให้ธุรกิจล้มเหลว มันจะสําคัญอะไร?
หลังเขาจบมหาลัย ถ้าเขาไม่ทําธุรกิจ เขาก็ยังเป็นผู้บัญชาการได้ การรับใช้ผู้บัญชาการก็ยังดีกว่าการทํางานในโรงแรม
คําว่า”ประธานฟาง ทําให้ฟางผิงหัวเราะ
ท่าทางการพูดของหลี่เฉิงเจอเปลี่ยนไปเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ มันกระทันหันแต่เป็นธรรมชาติมาก
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็หวังว่าเราจะร่วมมือกันได้ด้วยดี!”
“ไม่ครับ ไม่ใช่ร่วมมือกัน แต่ผมทํางานให้คุณ!”
หลี่เฉิงเจ๋อยืนยันที่จะใช้คําว่า “ทํางานให้” บางทีฟางผิงในตอนนี้อาจไม่ใส่ใจ แต่ในอนาคตล่ะ?
เนื่องจากเขาประจบแล้ว เขาก็ต้องประจบให้ถึงที่สุดและไม่ล้มเลิกกลางคัน
“ฮ่าๆๆ ตกลง จากนี้ไป คุณคือผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเรา!”
ฟางผิงอยากพูดชื่อของบริษัท แต่เขาพล้นตระหนักว่าเขายังไม่ได้จดทะเบียน แถมเขายังมนึกชื่อด้วย
หลี่เฉิงเจ๋อเหมือนจะตระหนักเรื่องนี้ มุมปากเขากระตุกเล็กน้อย
เขาจะทําธุรกิจได้จริงไหม?
แต่ตามหลักการของตน หลี่เฉิงเจ๋อยิ้มกว้าง “ขอบคุณสําหรับการสนับสนุนครับประธานฟางแม้ว่าผมจะไม่เคยทําบริการส่งของ แต่ถ้าผมทํางานในสายงานนี้ได้ ผมก็ทําอย่างอื่นได้เหมือนกัน”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากสิ่งที่ผมทําอยู่ตอนนี้ก็เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม”
“สิ่งที่คุณพูดถึงเมื่อกี้เกี่ยวกับแพล็ตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ ผมคิดว่าผมมีประโยชน์”
“โรงแรมโมตูเป็นบริษัทย่อยของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ แม้ว่าตําแหน่งผมจะเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้าน แต่สิ่งที่ผมทํามาตลอดหลายปีนี้มีมากกว่าการต้อนรับ”
“เนื่องจากผมต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ ผมจึงคุ้นเคยกับบริษัทบางแห่งในเมืองมหาวิทยาลัยในแวดวงเดียวกัน”
เวลานี้ หลี่เฉิงเจ๋อก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง
เพราะฟางผิงไม่คุ้นเคยกับเซี่ยงไฮ้ เขาถึงมาหาหลี่เฉิงเจ๋อ
เมื่อฟางผิงคุ้นเคยกับเซี่ยงไฮ้และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ถ้าเขายังสะท้อนให้เห็นคุณค่าของตัวเองไม่ได้เขาต้องถูกตัดสิทธิ์แน่นอน
แปดปีที่ทํางานให้กับโรงแรมโม่ตู เขาไม่ใช่ได้รับเงินปีละ 150,000 เพียงอย่างเดียว
ถ้าเงินเดือนเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้รับ เขาคงไร้ค่าแล้ว
เส้นสายที่เขาเข้าถึงด้วยชื่อของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ เป็นผลกําไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับพนักงานบริการ
ผู้จัดการระดับสูงในโรงแรมใหญ่จะมีเงินเดือนสูงจนน่าตกใจและมักจะถูกทาบทาม สิ่งที่คนอื่นต้องการไม่ใช่ตัวบุคคล ไม่ใช่แค่ความสามารถในการบริหาร
มันเป็นเส้นสายที่ผู้จัดการระดับสูงมีอยู่ รวมถึงลูกค้าและทรัพยากรทางตลาด
ตอนนี้ฟางผิงสัมผัสถึงความรู้สึกเหนือกว่าจนทุกคนก้มหัวให้
อย่างไรก็ตามนี้ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์และพลังเขาเท่านั้น
เหตุผลที่หลี่เฉิงเจ๋อตัดสินใจเร็วขนาดนี้เป็นผลมาจากสถานะนักศึกษามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้
ความคิดของฟางผิงขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่หลี่เฉิงเจ๋อหรือชื่อของบริษัท เขากําลังคิดถึงมหาลัยวิชายุทธเซียงไฮ้
เขาต้องหวงแหนฐานะนักศึกษามหาลัยวิชายุทธเอาไว้ และต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และสร้างชื่อของตนในมหาลัยวิชายุทธ
แค่หวังจินหยาง ประธานชมรมวิถียุทธมหาลัยมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงพูดออกมาคําเดียวมันก็ทําให้ผู้บัญชาการของเมืองปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพอย่างถึงที่สุด
ถ้าหวังจินหยางเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นสามของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเพียงอย่างเดียวเขาคงไม่ได้รับความเคารพถึงเพียงนี้
ฟางผิงทิ้งปัญหาทุกอย่างของบริษัทส่งของให้กับหลี่เฉิงเจือและไม่กังวลเรื่องนี้อีก
สิ่งสําคัญที่สุดของเขาในตอนนี้คือการทะลวงขัดเกลาสามครั้ง
มันผ่านมายี่สิบวันแล้วตั้งแต่ที่ปราณและเลือดของเขาถึงขีดจํากัด 199แคล ฟางผังรู้สึกว่ามันถึงเวลาทะลวงแล้ว
ขณะที่หลี่เฉิงเจ๋อเฝ้าดูเจ้านายคนใหม่วิ่งหายไปปานสายลม เขาก็กลืนคําถามที่กําลังจะหลุดออกจากปาก”บริษัทเราชื่ออะไรเนี่ย?”