World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 96
ตอนที่ 96 วิธีแย่งซีนที่ถูกต้อง
หน้าสนามกีฬา
เด็กใหม่ 19 คนกําลังระเบิดปราณและเลือดสูงสุดอย่างเหิมเกริม คนอื่นๆต่างถอยหลังไปที่ละคน บางคนมีสีหน้าไม่เต็มใจ บางคนก็รู้สึกหดหูเสียใจ
ไม่มีใครเข้าโม่อู่โดยไม่มีความภาคภูมิใจหรือยอมรับว่าตนเองด้อยกว่า
การเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ได้นั้นหมายความว่าพวกเขาต่างเป็นอัจฉริยะ เป็นคนที่อยู่เหนือกว่าคนมากมาย! อย่างไรก็ตามเวลานี้จากนักศึกษานับพัน มีเพียง 19 คนเท่านั้นที่ประกาศชื่อตนเองต่อหน้าทุกคนภายใต้แรงกดดันของอาจารย์ทั้งสิบสอง
หน้าฝูงชน
ฟางผิงมองไปรอบๆและรู้สึกช็อค ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ 19 คนรวมถึงเขา คนอื่นๆไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเลย ยกเว้นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งเท่านั้นที่มีปราณและเลือดต่ํากว่าเขาเพียงเล็กน้อย
ตอนนี้ปราณและเลือดเขาถึง 209แคลแล้ว!
ย้อนกลับไปตอนนั้น ถานเจิ้นผิง ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดระเบิดพลังสูงสุดได้เพียง 250แคล เท่านั้น
ถานเจิ้นผิงขัดเกลาขาทั้งสองข้างเสร็จแล้ว จากนั้นเขาก็อยู่ขั้นหนึ่งมานับสิบปี โดยไม่คํานึงถึงพลังต่อสู้ปราณและเลือดของลานเจิ้นผิงในฐานะผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งย่อมไม่ต่ําแน่
ตอนนี้ในบรรดาเด็กใหม่โม่อู่ทั้ง 19 คน ไม่มีคนใดเลยที่ถึงขั้นหนึ่งสูงสุด พวกเขาอายุเท่าไหร่กันเอง?
แต่ในแง่ของปราณและเลือด ทุกคนมีเกิน 200แคลแล้ว บางคนฝึกฝนเคล็ดวิชายุทธ พลังต่อสู้ของพวกเขาสูงกว่าถานเจิ้นผิงด้วยซ้ํา
นี้แหละมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้
ฟูชางยิ่งสังเกตข้างๆ เขาชําเลืองมองดูว่ามีกี่คนที่ทนต่อแรงกดดันได้ เขากลอก ตามองบนแล้วร้องตะโกน “ฟางผิง นายเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ ไม่คิดเลยว่านายจะทนได้ถึงตอนนี้ ฉันประเมิณนายต่ําไป!”
ฟางผิงเห็นเขาขยิบตาก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เขารู้สึกอึดอัดปนอับอายอย่างอดไม่ได้
พูดจริงๆ เขาอายมาก!
เมื่อเห็นฟูชางยิ่งมีสีหน้ากังวลจนแทบดูเหมือนสีหน้าหาเรื่อง ฟางผิงก็ได้แต่ตะโกนแห้งๆ ” ฟู่ชางติ่ง นายก็ไม่เบาเลยเหมือนกัน!”
“ผู้ฝึกยุทธขั้นเกลาสองครั้ง ดูเหมือนนายจะขัดเกลาแขนขาสําเร็จไปข้างนึงนะ!”
“เราอยู่เรือลําเดียวกัน ฟางผิงบอกมาตรงๆ นายขัดเกลาสามครั้งแล้วใช่ไหม?”
“ฟูชางยิ่ง นายอยากลองเดามั้ยล่ะ?” “ฟางผิง ฉันไม่เดา วันนี้ไม่สะดวกสู้กัน ไม่งั้นฉันให้นายได้เห็นพลังของฉันแน่!”
“ฟู่ชางติ่ง…”
“ฟางผิง…”
“ฟู่ชางติ่ง”
” ฟางผิง..”
ด้วยการพูดเตือนอย่างต่อเนื่องของทั้งสอง ตอนนี้ทุกคนจึงรู้แล้วว่าในบรรดาเด็กใหม่มีคนดังสองคน
คนนึงชื่อฟางผิง คนนึงชื่อฟูชางติ่ง คนนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธที่สงสัยว่าขัดเกลาสามครั้ง อีกคนเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งที่ขัดเกลากระดูกแขนขาเสร็จไปแล้วข้างนึง
ณ ที่นั่งผู้ชม
นักศึกษารุ่นพี่หลายคนตกตะลึง ผู้หญิงข้างฉินเฟิงชิงหัวเราะจนร่างสั่นไปมา ” นักศึก ษาใหม่สองคนนี้น่าสนใจดีจริง ตอนนี้ทั้งมหาลัยคงรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นใคร”
ทุกครั้งที่ทั้งสองคุยกัน พวกเขาก็จะเรียกชื่อของอีกฝ่าย คุยกันปกติจําเป็นต้องพูดกันแบบนี้เหรอ?
ดูแวบเดียว ทุกคนก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
มีหลายคนที่หัวเราะออกมา แต่ฉันเพิ่งชิงตะคอกอย่างเย็นชา “ไอ้โง่ หัวเราะเพื่อ?”
” ทนการระเบิดปราณและเลือดของผู้ฝึกยุทธขั้นกลางสิบสองคนและคุยกันได้อย่างปกติไอ้โง่ อย่างพวกแกยังกล้าหัวเราะอีก!”
ฉันเฟิงชิงไม่สนใจว่าจะล่วงเกินใครไหม เขายังเยาะเย้ยอาจารย์ที่อยู่ข้างๆเขาด้วย
กลุ่มคนโง่
อย่าลืมว่าพวกเขาสองคนเป็นแค่นักศึกษาใหม่ ยืนคุยกันได้ใต้อิทธิพลของการระเบิดปราณและเลือดของผู้ฝึกยุทธขั้นกลางสิบสองคนรวมถึงนักศึกษาใหม่อีกหลายคนที่ก้าวออกมาด้วย คนพวกนี้โง่เหรอ?
หรือพวกเขาไม่เข้าใจ?
ในบรรดาคนที่เหลือ 17 คน มีกี่คนเชียวที่อ้าปากคุยกันได้?
เตรียมผู้ฝึกยุทธสองคนที่ขัดเกลาสองครั้งตอนนี้ต่างก็เหงื่อท่วมตัว แถมดูเหมือนพวกเขาจะทนไม่ไหวแล้ว ถ้าพวกเขาเปิดปาก พวกเขาคงไม่ไหวและคงเสียหน้า
คนอื่นดีกว่าหน่อย แต่ก็ในระดับนึง ถ้าปล่อยให้พวกเขาพูด พวกเขาจะกล้าไหม?
เมื่อเขากล่าวจบ หลายคนก็ตระหนักทันที
ไม่นานก็มีคนนึกอะไรได้ เขาถามทันที “ฟางผิง เขาขัดเกลากระดูกสามครั้ง?”
“เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ?”
การระเบิดปราณและเลือดของฟางผิงเมื่อกี้ทําให้ทุกคนคิดว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว แม้ว่าฟูชางติ่งจะพูดอะไร แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ
“เหลวไหล!”
ฉันเฟิงชิงที่ถูกตําหนิอีกครั้งบ่นพึงพ์ “ฉันจําได้แล้ว!”
เขาจําได้แล้ว เจ้าหมอนี้ไม่ใช่นักศึกษาใหม่ที่เขาเจอหน้าประตูมหาลัยตอนเดือนก่อนเหรอ? ตอนนั้นเขาสัมผัสถึงปราณและเลือดอีกฝ่าย ซึ่งมันไม่ต่ําเลย และเขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายขัดเกลาสองครั้งแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าหนูนี่จะขัดเกลาสามครั้งไม่ใช่สองครั้ง นักศึกษาที่ขัดเกลาสองครั้งไม่ได้หายากในโม่อู่ แต่สามครั้งหายากอย่างยิ่ง
ในตอนนี้ มีนักศึกษาปีสองเซี่ยเหลียที่ขัดเกลาสามครั้งและปัจจุบันเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด
ฉันเพิ่งชิงไม่ได้สนใจว่าเซี่ยเหลียอยู่ขั้นสองสูงสุด ต่อเมื่อเซี่ยเหลียทะลวงสู่ขั้นสาม ตอนนั้น เซี่ยเหล่ยถึงจะกลายเป็นคู่แข่งเขา แม้ตอนนี้เซี่ยเหลียจะประมือกับผู้ฝึกยุทธขั้นสามทั่วๆไปได้ชนะบ้างแพ้บ้างก็ตาม
อาจารย์หลายท่านมีรอยยิ้มในแววตา โม่อู่ไม่ได้สนใจว่านักศึกษาจะเล่นอุบายเล็กๆน้อยๆ เป็นผู้ฝึกยุทธต้องสู้ ต้องพยายามเต็มที่เพื่อแสดงความสามารถของตนเอง สิ่งที่ฟูชางติ่งกับฟางผิง ทํายังอยู่ในกฏ เนื่องจากพวกเขาอยู่ในกฏ มันจึงยังอยู่ในรูปแบบของโม่อู่
ถังเฟิง อาจารย์สาขาศัสตราวุธพลันขมวดคิ้ว “สองคนนี้เป็นตัวปวน ยอมรับสองคนนี้คงแย่แน่!”
“เห็นด้วย!”
มีคนเห็นด้วยทันที “ขัดเกลาสามครั้งไม่มีอะไรเลย เราแค่ไม่อยากเสียเวลาเสียทรัพยากร มันเสียเวลาเกินไป”
“ใช่ เด็กใหม่สองคนนี้คิดว่าตัวเองดี แต่ที่จริงพฤติกรรมแบบนี้ยอมรับไม่ได้ที่สุด”
“ถูกต้อง คนประเภทนี้จะอาศัยแค่เล่ห์เหลี่ยมและหาทางลัดในอนาคต เรายอมรับไม่ได้!”
ขณะที่ทุกคนกล่าวโทษ หญิงสาวที่เมื่อกี้บอกว่าจะตรวจสอบรายละเอียดพูดขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ “เนื่องจากพวกคุณไม่สนใจ งั้นฉันขอฝืนรับพวกเขาไว้แล้วกัน”
“ไร้ยางอาย!”
“ใครบอกกันว่าเราจะไม่รับ? นักศึกษาประเภทนี้แหละที่จําเป็นต้องให้เราสั่งสอน!”
“เห็นด้วย!”
หวงจิ้งปวดหัว กลุ่มคนเขลา แต่อยากโอ้อวดสติปัญญา
ถ้าพวกเขาประทับใจเด็กทั้งสอง แค่ยอมรับก็จบ ไม่จําเป็นต้องพูดดูแคลนทั้งสองเลย พวกเขาคิดว่าคนอื่นโง่เหมือนตัวเองเหรอถึงเก็บเอาคําพูดไร้สาระพวกนี้ไปคิดจริงจัง?
โดยไม่คํานึงถึงการโต้เถียงของพวกเขา หวงจึงพูดอย่างเฉยเมย “ตอนนี้เราดูได้แค่ป ราณและเลือดพวกเขาซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไร”
“ปราณและเลือดบ่มเพาะขึ้นมาได้ แต่บางอย่างก็ต้องพึ่งพาตัวเอง”
“ถ้าเราดูแค่ปราณและเลือด เราจะสอบเข้ามหาลัยทําไม แค่ประเมิณร่างกายก็พอแล้ว”
คําพูดเหล่านี้เป็นการเตือนให้อาจารย์ทุกท่านว่าการเลือกศิษย์ พวกเขาไม่ควรดูแค่ปราณและเลือด
สติปัญญา กลยุทธ วรยุทธ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจําเป็น
ก่อนหน้านี้ ทุกคนไม่ได้บอกว่าจะเลือกใคร ต่อมาพวกเขาแสดงความสนใจต่อฟางผิงและฟูชางติ่ง เพราะพวกเขารู้สึกว่าเด็กทั้งสองไม่ได้ขาดสติปัญญา
แม้ว่าพวกเขาจะแสดงออกมาแบบเด็กๆ แต่ตอนนี้มันก็โดดเด่น ไม่จําเป็นต้องสนใจวิธีการ
ตอนนี้ ในบรรดานักศึกษา 19 คน นักศึกษาคนอื่นๆ อาจจําได้แค่สองคนนี้เท่านั้น
เพราะชื่อ “ฟางผิง” และ “ฟูชางติ่ง ถูกพูดซ้ําไปซ้ํามาหลายครั้ง มันยากจะลืมเลือน
ฟางผิงรู้สึกอับอายเมื่อได้ยินคนอื่นพูดกัน ฟูชางยิ่งเรียกร้องชื่อเขาออกมาอีกครั้ง แต่ฟางผิงตั้งใจไม่ตอบ
นักศึกษานับพันกําลังดูพวกเขา พวกเขาถูกอาจารย์และนักศึกษารุ่นพี่เฝ้าดู ฟางผิงหมดความกล้าที่จะตะโกนต่อแล้ว เมื่อเห็นฟางผิงไม่ตอบ ฟูชางยิ่งก็หยุดเหมือนกัน สุดท้ายเขาก็ร้องออกมา เสียงดังอีกครั้ง “ฟางผิง พรุ่งนี้ ฉันฟูชางยิ่งจะตัดสินกับนายว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!”
“ไร้ยางอายมาก”
หลายคนแอบก่นด่าในใจ ตัดสินว่าใครแข็งแกร่งกว่า? พวกเขาคิดจริงเหรอว่าไม่มีใครดูออกว่าพวกเขาร่วมมือกัน!
หวงซิ่งดูพอแล้ว เขาพูดออกมา “วันนี้ทุกคนได้ทําความรู้จักกันแล้ว”
หลายคนเสียใจ นอกจากคนไร้ยางอายสองคน ไม่มีใครได้ทําความรู้จักกัน แม้แต่ชื่อของคุณบดีก็ถูกลืมอย่างรวดเร็ว
หวงจึงไม่ได้สนใจความคับข้องใจของพวกเขา “ถ้าอย่างนั้น พิธีรับเข้ามหาลัยของวันนี้ก็ขอจบลงตรงนี้ คุณจะได้กําหนดสาขาและอาจารย์ในวันถัดไป”
“นักศึกษา อย่าลืมบทเรียนของวันนี้ ส่วนผู้ที่มาสายหรือไม่มาในวันรุ่งขึ้น พวกคุณจะถูกหัก 30 คะแนน!”
วันนี้ถูกหัก 20 คะแนน พรุ่งนี้อีก 30 คะแนน สองครั้งรวมกันคะแนนก็จะถูกหักไปทั้งหมดไม่น่ามีใครกล้าฝ่าฝืนกฏอีก
มีทรัพยากรใช้ได้มากมายก่อนถึงขั้นหนึ่ง เว้นแต่จะได้คะแนนเพิ่มอีกครั้ง ไม่งั้นพวกเขาจะไม่ได้ทรัพยากรฟรีอีก
หลังหวงจึงพูดจบ เขาก็หันตัวจากไปอย่างรวดเร็ว อาจารย์ที่เหลือก็ค่อยๆปลีกตัวไปโดยนึกถึงนักศึกษาที่ตนเองอยากเฝ้าดู
อาจารย์ทุกท่านที่ขึ้นไปบนเวทีได้ต่างไม่อ่อนแอ ต่ําสุดคือขั้นห้าสูงสุดและสูงสุดคือขั้นหกสูงสุด
กลับกัน อาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นั่งผู้ชมด้านล่างเวทีมีปนๆกันตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไป
อาจารย์ที่อยู่บนเวทีไปกันหมดแล้ว อาจารย์ล่างเวทีไม่รอให้ถึงพรุ่งนี้เพื่อดูการต่อสู้จริงหลายคนเลือกลงจากเวที่แล้วเข้ามาในสนามกีฬา
ตอนท้ายพิธี ฟางผิงได้รับคําเชิญจากอาจารย์ทันที
“นักศึกษาฟางผิง ฉันเป็นอาจารย์สาขาศัสตราวุธ หลี่เย้าฮวา ขั้นสี่สูงสุด จะเข้าขั้นห้าในไม่ช้า…”
ฟางผิงที่ขัดเกลาสามครั้งคุ้มค่าแก่การลงทุนโดยไม่คํานึงถึงความสามารถเชิงยุทธ
” ช่วงกําหนดอาจารย์ในวันพรุ่งนี้ คุณเลือกฉันได้ แน่นอนในแง่ความแข็งแกร่ง ฉัน ค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับอาจารย์ที่อยู่บนเวที”
“อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้สอนนักศึกษาใหม่อย่างเดียว ส่วนใหญ่มีศิษย์กันอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ประมาณสิบคน อย่างมากนี้หลายสิบคนเลยทีเดียว”
” ฉันต่างออกไป ฉันเป็นอาจารย์ในโม่อู่เมื่อปีก่อน ฉันออกไปทําภารกิจเมื่อต้นปีอย่างต่อเนื่องฉันเลยไม่ได้กลับมามหาลัย…”
อาจารย์หลี่เย้าฮวาพูดจริงใจมาก เขายังไม่ได้รับศิษย์สักคน และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่เขารับศิษย์
ถ้าเขากําลังจะทะลวงสู่ขั้นห้าแล้ว แปลว่าความแข็งแกร่งเขาไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน
ถ้าเป็นสมัยโบราณ ฟางผิงกลายเป็นศิษย์คนแรกจะทําให้เขากลายเป็นศิษย์คนโต ผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นจินตนาการได้เลย
อันที่จริงฟางผิงค่อนข้างประทับใจที่ผู้แข็งแกร่งขั้นกลางมาเชิญเขาเป็นศิษย์อย่างจริงใจ
อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจตัดสินใจตามอารมณ์ ขั้นสี่คือขั้นสี่ ขั้นหกคือขั้นหก
นอกจากนี้เขายังดูเหมือนไม่เคยสอนศิษย์มาก่อน ฟางผิงไม่กล้าเป็นศิษย์เขา
หลังถูกปฏิเสธข้อเสนออย่างสุภาพ แม้ว่าหลี่เย่าฮวาจะเสียใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ฝืน เขาไปคุยกับผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลาสองครั้งต่อ
เรื่องรับศิษย์ ทั้งสองฝ่ายต้องพอใจซึ่งกันและกัน
ถ้าใครฝืนรับศิษย์ ไม่เพียงแต่มันจะไม่ใช่การลงทุน ตัวเองจะมีปัญหาด้วยซ้ํา อาจารย์จะไม่ทําเรื่องเสียแรงเปล่าเช่นนี้
เมื่อเห็นอาจารย์คนอื่นเดินเข้ามา ฟางผิงกับฟูชางยิ่งมองหน้ากันไปมาแล้วรีบเดินออกไปเมื่อกี้ก็มีอาจารย์คนนึงเสนอเงื่อนไขกับฟูชางมิ่งเช่นกัน
หลังเดินออกมาจากสนามกีฬา ฟูชางยิ่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เราต้องเข้าสาขาศัสตราวุธ ฉันสืบสถานการณ์ของสาขาศัสตราวุธของปีนี้มาแล้ว ในบรรดาอาจารย์นักศึกษาใหม่ปีนี้ คนที่ แข็งแกร่งที่สุดคืออาจารย์ถัง ถังเฟิง!”
“อาจารย์ถังเฟิงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดหรือรู้จักกันในชื่อ “ราชสีห์คลั่ง” ต่อสู้ได้ดุดัน เชียวชาญวรยุทธหมัดมวย แม้ว่าด้านอาวุธจะอ่อนแอเล็กน้อยก็ตาม”
“นอกจากนี้ อาจารย์หลัวที่อยู่ขั้นหกสูงสุดก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน”
” อาจารย์หลัวเชี่ยวชาญด้านหอก มันไม่ใช่อาวุธร้อน แต่เป็นอาวุธเย็น หอกตระกูลหลัวในมือเธอมีชื่อเสียงมากในยุทธภพ”
(ผู้แปล : หอก () ปัจจุบันมักหมายถึงปืน)
“นอกจากนี้ อาจารย์ไปชั่วชีที่เชี่ยวชาญกระบี่ยาวก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน”
“แม้ว่าไปลั่วซีจะเป็นเพียงขั้นห้าสูงสุด แต่นางหน้าตาสละสวย! ปีนี้นางอายุสามสิบ แต่นางดูแลตัวเองดีมาก อาจารย์สาวที่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้แหละยอดเยี่ยมที่สุดในโลก น่าเสียดายเพลงกระที่ไม่เหมาะกับฉัน”
ฟูชางยิ่งรู้เรื่องอาจารย์ของโม่อู่มาก อาจารย์ที่เขาพึ่งพูดถึงอยู่ขั้นห้าสูงสุดเป็นอย่างต่ํา
ในสาขาศัสตราวุธ ในบรรดาอาจารย์ของนักศึกษาใหม่ มีห้าคนเท่านั้นที่เป็นขั้นหกสูงสุด ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นห้ามีไม่กี่คนที่อยู่ขั้นสี่
ส่วนสาขาอื่น จะมีขั้นสี่มากกว่า
ในสาขาวัฒนธรรมศึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นสี่ มีไม่กี่คนที่เป็นขั้นห้า
สุดท้ายฟูชางยิ่งก็เอ่ยถาม “ฟางผิง นายวางแผนจะเลือกใคร?”
ฟางผิงคิดครู่นึงแล้วกล่าว “ไม่อาจารย์ถังเฟิงก็อาจารย์สวีเจี้ยนโจว”
“อาจารย์สวี่?”
ฟูชางยิ่งประหลาดใจ “แม้ว่าอาจารย์สวี่จะเป็นขั้นหกเหมือนกัน แต่เขาพึ่งทะลวงขั้นหกไม่นาน ครั้งนี้เขาไม่มีเวลามาด้วยซ้ํา ทําไมนายถึงพิจารณาเขาล่ะ?”
“อาจารย์ถังเพิ่งเชี่ยวชาญเพลงหมัดมวย ส่วนอาจารย์สวี่เชี่ยวชาญเพลงดาบ ฉันคิดว่ามันเรียนง่ายกว่า”
“เรียนง่ายกว่าก็จริง แต่มันแค่ง่ายกว่าถ้าเทียบกับอย่างอื่น ถ้านายอยากเชี่ยวชาญ มันก็ไม่ง่าย ฉันวางแผนเลือกอาจารย์หลัวอีชวน”
ฟางผิงประหลาดใจ “นายอยากเรียนหอก?”
ฟูชางติ่งอธิบาย ”ยาวขึ้นหนึ่งนิ้วก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งนิ้ว เรียนหอกปลอดภัยกว่า”
จากนั้นเขาก็พูดต่อ ”วันนี้นอกจากพวกเราแล้ว มีคนอื่นอีก 17 คน ไม่จําเป็นต้องพิจารณาสองคนที่ขัดเกลาสองครั้ง แต่วันพรุ่งนี้ อีก 15 คนล้วนเป็นคู่แข่งของเรา”
“แต่ฉันต้องพูดเลย นายเก็บไว้ลึกจริงๆ ขัดเกลาสามครั้งเนี่ย!”
ฟางผิงหัวเราะเบาๆ ” ฉันว่าฉันไม่ได้ซ่อนนะ”
“นี่ไม่นับว่าช่อนเหรอ? ช่วงสอบเข้ามหาลัย นายไม่ได้ขัดเกลากระดูกสองครั้งแน่นอน แต่แค่สี่เดือน นายขัดเกลาสามครั้ง นายเกินความคาดหมายไปมากเลย”
“มันแค่โชคดี”
ฟูชางติ่งยิ้ม “ฉันไม่สนใจว่ามันเป็นโชคไหม วิถียุทธก็เป็นแบบนี้แหละ บางคนเดินเร็ว บางคนเดินช้า บางคนไปได้ไกล บางคนก็ย่ําอยู่กับที่”
“ฉันไม่ได้ชื่นชมนายที่ขัดเกลาสามครั้ง ถ้าฉันต้องการ ฉันก็ทําได้เหมือนกัน แต่น่าเสียดาย ฉันคิดว่ามันไม่คุ้ม”
“ฉันจะดีใจมากกว่าถ้าพรุ่งนี้เรามีโอกาสใหญ่!”
“ตราบใดที่เราเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมด เราก็เลือกอาจารย์ได้ ใครจะรู้ คณบดีอาจเห็นเราแล้วชอบเราก็ได้ เขาอาจอยากรับเราเป็นศิษย์ก็ได้”
ฟางผิงส่ายหน้า “คณบดีไม่จําเป็นต้องเหมาะสมกับเราเสมอไป เขายุ่งมาก เขาไม่มีเวลามาสอนเด็กใหม่อย่างเรา แข็งแกร่งก็ไม่ได้หมายถึงสั่งสอนลูกศิษย์ได้ดีเสมอไป ขั้นหกก็มากเกินพอแล้ว”
ฟูชางติ่งพยักหน้า “มันก็จริง…” เขาหันหน้าไปมองเหล่าคนที่อยู่ข้างๆ นักศึกษาชั้นนําเหล่านี้ก็เหมือนหนีมาจากภัยพิบัติเช่นกัน
ในหมู่พวกเขา มีถังซ่งถึงอยู่ด้วย
นอกจากเขาแล้ว มีผู้หญิงอีกสามคน เขาไม่เคยพบสามสาวเหล่านี้มาก่อน หนึ่งในนั้นดูเรียบๆ ส่วนอีกสองคนดูดีเลยทีเดียว
ฟูชางติ่งกระซิบ “เราโชคดี คนนึงของนาย อีกคนนึ่งของฉัน คนซ้ายดูห้าวหาญเป็นของนายคนขวาที่ดูน่ารักแบบบางเป็นของฉัน!”
“ฮ่าๆ” ฟางผิงไม่อยากยุ่งด้วย มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน เขาไม่คิดเรื่องจีบสาวเลยด้วยซ้ํา
ยิ่งกว่านั้น เขารู้สึกว่า สาวๆพวกนี้มีสีหน้าเหมือนอยากฆ่าพวกเขา ฟางผิงไม่อยากแส่หาปัญหา
เมื่อกี้พวกเขาเอาหน้ามากไป พวกเขาแย่งซีนไปทั้งหมด คนอื่นย่อมไม่เป็นมิตรกับพวกเขา