(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์ - ตอนที่ 466-467
ตอนที่ 466 ก่อตั้งธุรกิจของตัวเอง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เธอจะยังเลือกอะไรได้อีก อีกอย่างความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล พวกเขาอยู่ตรงนี้ เด็กทั้งสองคนก็จะไม่โดนรังแกด้วยเช่นกัน
คุณแม่เจียงคิดมาได้อย่างนี้ เธอก็เห็นชอบด้วยแล้ว
คุณพ่อเจียงกลับยิ่งนึกถึงเรื่องข่าวในโลกออนไลน์ “เรื่องแกกับจี้ฉิง แกคิดจะจัดการยังไง”
“ผมกับจี้ฉิงเตรียมจะแถลงข่าวเรื่องนี้ด้วยกัน พ่อแม่วางใจเถอะครับ”
คุณพ่อเจียงพยักหน้า รู้สึกว่าเจียงมู่เฉินทำแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว
“ตอนที่แกกับเธอแถลงข่าวเรื่องนี้กัน ต้องผลักความผิดมาที่ตัวแกเองเยอะๆ แกเป็นผู้ชายคนหนึ่งได้รับความไม่เป็นธรรมสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่จี้ฉิงเธอเป็นผู้หญิงที่ใช้ได้คนหนึ่ง”
เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างขบขัน “พ่อ พ่อวางใจเถอะ ผมเคยเอาเปรียบคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
พอคุณพ่อเจียงได้ยินน้ำเสียงหยอกล้อไม่เอาจริงเอาจังของเขา สีหน้าก็ดำคร่ำเคร่งในพริบตา
ลูกชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายของตัวเองยังดีที่หาคนที่ได้เรื่องได้ราวขนาดนี้อย่างซือเหยี่ยนมาได้
“เสี่ยวเหยี่ยน หนักแน่นหน่อยนะ วันข้างหน้าดูแลเจ้าเด็กแสบนี้ด้วย”
ซือเหยี่ยนหลุดยิ้ม รีบพยักหน้าทันที
“ใช่สิ ตอนนี้เราสองคนมีแผนอะไรหรือเปล่า จะคบกันไปอย่างนี้เหรอ”
ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าเฉินเฉินชอบ…” เขาหยุดไปสักพักหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “ฟังเฉินเฉินคนเดียวเลยครับ”
เจียงมู่เฉินรู้ว่าเดิมทีเขาอยากจะพูดว่าหาสถานที่ที่ชอบไปจดทะเบียนสมรสกัน
แต่ว่าก็กลัวว่าเขาจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำพูด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะไปจดทะเบียนกับซือเหยี่ยนที่ต่างประเทศ แต่รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
เรื่องที่มีความหมายแบบนี้ควรจะทำในเวลาที่เหมาะสมจะดีกว่า
ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงเอ่ยปากขึ้นมา “ตอนนี้มีเรื่องค่อนข้างเยอะ รอให้เรื่องต่างๆ คลี่คลาย แล้วค่อยว่ากันครับ”
คุณพ่อเจียงพยักหน้า “ก็ดี ความคิดคนวัยหนุ่มมีมากมาย เราสองคนก็ตัดสินใจกันเองเถอะ”
เจียงมู่เฉินพูดคุยกับพวกเขาต่อสักพัก จากนั้นก็เรียกคุณพ่อเจียงออกไปด้วยกันทันที
สองพ่อลูกยืนอยู่ข้างนอกกัน จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็พูดขึ้นว่า “พ่อครับ พ่อยังหนุ่มยังไม่แก่ บริษัทยังไม่จำเป็นต้องให้ผมรับช่วงต่อในตอนนี้…
…ดังนั้นผมจึงคิดจะก่อตั้งธุรกิจของตัวเองครับ”
คุณพ่อเจียงได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ก่อตั้งธุรกิจของตัวเองเหรอ”
“ผมเคยหารือกันกับจี้ฉิงมาแล้วครับ วางแผนจะเปิดบริษัทผลิตสื่อบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ เธอทุ่มเทอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีขนาดนี้ ผมเองก็ค่อนข้างจะสนใจเรื่องนี้เหมือนกัน”
เขามองคุณพ่อเจียงแล้วบอกไปตรงๆ “บริษัทนั้นของพ่อ ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ พ่ออยู่ต่อเองก่อนเถอะครับ”
คุณพ่อเจียงครุ่นคิด หลายปีที่ผ่านมานี้จู่ๆ เจียงมู่เฉินมาบอกว่าตัวเองอยากเปิดบริษัท ก็ค่อนข้างน่าตกใจจริงๆ
‘แต่จะว่าไปเจียงมู่เฉินอยากจะเปิดบริษัท นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี เขาเองก็จะโจมตีข้อเสนอนี้ของลูกชายไม่ได้’
ครุ่นคิดแล้วถึงได้เอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อแกคิดจะก่อตั้งธุรกิจของตัวเอง แกก็สร้างขึ้นมาก่อนแล้วกัน ถึงยังไงฉันก็พูดไว้แล้ว วันข้างหน้าบริษัทนี้ยังไงฉันก็ต้องส่งต่อให้แก หลังจากส่งให้แกแล้ว แกอยากจะทำยังไงก็ทำแบบนั้นไป”
เขาทุ่มเทมาทั้งชีวิต วันข้างหน้าก็อยากจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข ภาระหน้าที่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องโยนให้เจียงมู่เฉินรับอยู่ดี
เจียงมู่เฉินชักจะปวดหัวบ้างแล้ว เขามีเจียงเฉินกรุ๊ป ซือเหยี่ยนก็มีซือกรุ๊ป อนาคตถ้าพวกเขาสองคนต่างมีบริษัทขนาดใหญ่แบบนี้ ถึงตอนนั้นคงจะยุ่งกันเกินไปจนไม่มีเวลามาจู๋จี๋กันแล้วจะทำอย่างไรดี
แต่เขารู้ว่าคุณพ่อเจียงต้องยอมรับปากไม่ให้เขาเข้าคุมกิจการเป็นการชั่วคราวอย่างแน่นอน ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้ที่ใหญ่มากแล้ว จะพูดอย่างอื่นไปมากกว่านี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ “ครับ ผมทราบแล้ว”
……
หลังจากที่ออกมาจากบ้านตระกลูเจียงกับเจียงมู่เฉินแล้ว ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าเขาดูเป็นวิตกกังวลอย่างมาก เขาก็อดจะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “เป็นไรไป ทะเลาะกับพ่อคุณมาเหรอ”
เจียงมู่เฉินส่ายหัว ถ้าทะเลาะกัน ก็ดีกันไปแล้ว
‘ทะเลาะกันผ่านไปสองวันก็คืนดีกันแล้ว แต่บริษัทนี้ไม่ใช่บอกว่าจะโยนก็โยนทิ้งได้เลย’
เขามองซือเหยี่ยนด้วยสีหน้าคับข้องใจ “นายว่าถ้าต่อไปฉันรับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ป จะยุ่งมากๆ เลยใช่หรือเปล่า”
ตอนที่ 467 งานแถลงข่าว
พอซือเหยี่ยนได้ยินคำพูดของเขา เจ้าตัวก็เข้าใจได้ในทันใด
“พ่อคุณให้คุณรับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ปเหรอ”
เจียงมู่เฉินส่ายหน้า “ตอนนี้ยังหรอก แต่ในอนาคตยังไงก็ต้องรับช่วงต่ออยู่ดี”
‘วันนี้พ่อเขาพูดมาให้เข้าใจซะขนาดนั้นแล้ว’
ซือเหยี่ยนเห็นเขาเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็อดจะเอ่ยออกมาไม่ได้ “ในอนาคตถ้าคุณไม่อยากจะรับช่วงต่อจริงๆ ผมช่วยคุณได้นะ”
เจียงมู่เฉินไม่คิดก่อนเลยสักนิดก็ปฏิเสธทันควัน
‘ล้อเล่นอะไรกัน ให้ซือเหยี่ยนรับช่วงต่อสองบริษัท จะยิ่งไม่เป็นการบีบคั้นซือเหยี่ยนหรือไง’
“นายทำงานแค่ของซือกรุ๊ปก็ยุ่งจนหัวหมุนแล้ว จะมารับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ปอีก ถึงตอนนั้นต้องไม่มีเวลามาชมนกชมไม้ชมเดือนชมจันทร์กับฉันแล้ว”
ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าอยากร้องไห้ ก็ถอนหายใจด้วยความขบขันออกมา “ทางนั้นผมยังมีไป๋จิ่งอยู่ทั้งคน ไม่ได้ยุ่งอะไรขนาดนั้น”
“หึ” เจียงมู่เฉินทำเสียงพ่นลมหายใจออกมา “นายยังมีหน้ามาพูดอีกนะ ห้าปีมานี้นายขลุกตัวอยู่ในบริษัทมาตลอดเลยไม่ใช่หรือไง”
“นั่นเป็นช่วงที่ผมเพิ่งจะกลับมารับช่วงต่อบริษัท ต้องเสียแรงสมองใช้ความคิดมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ อย่าเพิ่งคิดต่อเลย ถึงยังไงเรือแล่นถึงสะพาน หัวเรือก็จะหันตรงเอง[1]” เจียงมู่เฉินครุ่นคิดมาตั้งนานสองนาน คิดจนปวดหัวไปหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจไม่คิดต่อไปก่อนแล้ว
ดำเนินการเรื่องบริษัทผลิตสื่อบันเทิงภาพยนตร์และโทรทัศน์ขึ้นมาก่อนจะดีกว่า รอจนก่อขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว ถึงเวลานั้นก็โยนให้จี้ฉิงรับไม้ต่อ หลังจากนั้นเขาจะมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นประธาน นั่งหลังม่านรอรับเงิน
ที่จริงเจียงมู่เฉินเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะจี้ฉิง เรื่องนี้ของเขาทำให้จี้ฉิงขาดทุนอยู่ไม่น้อย
ตอนนี้จี้ฉิงอายุยังน้อย เธอยังโลดแล่นต่อไปในวงการบันเทิงได้
แต่ถ้าหากรอจนอายุมาก เธอก็จะทำงานแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้แล้ว
เขาจึงคิดหาอะไรทำสักอย่าง แล้วก็ได้เสนอเรื่องที่ให้จี้ฉิงมาเปิดบริษัทกับเขาพอดี
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ยังต้องปิดเป็นความลับกับซือเหยี่ยนไว้ชั่วคราวก่อน เพราะว่าเขาวางแผนจะทำให้ซือเหยี่ยนประหลาดใจในวันที่เปิดตัวกิจการวันนั้น
ทั้งสองคนกลับไปยังคอนโดมิเนียม เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดว่าซือเหยี่ยนจะตรงกลับไปบริษัททันที ใครจะไปคิดว่าเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้าน ไม่มีท่าทีจะไปบริษัทเลยแม้แต่น้อย
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง “นี่นายคิดจะเริ่มไม่สนใจใยดีบริษัทตั้งแต่ตอนนี้เหรอ”
“ช่วงนี้พ่อผมว่างจนเบื่อ ให้ผมรีบกลับมาเลย บอกว่าผ่านไปไม่กี่วันจะเปรี้ยวปากเอาได้”
คำพูดนี้ของซือเหยี่ยน ถ้าคุณพ่อซือมาได้ยินเข้า เกรงว่าจะชักแส้ออกมายืนอยู่ข้างหลังแล้ว
เขาต่างหากที่ไม่มีเจตนาอยากจะไปทำงานที่บริษัท อายุปูนนี้แล้ว ควรจะพักผ่อนอยู่บ้าน คอยอยู่เป็นเพื่อนภรรยาแทน
ซือเหยี่ยนว่างกะทันหัน เจียงมู่เฉินเองจะทำอย่างอื่นก็ยากแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงพากันพักผ่อนอยู่ที่บ้านของทั้งคู่กัน
ซือเหยี่ยนอ่านหนังสือ เจียงมู่เฉินเล่นเกม
ซือเหยี่ยนอ่านหนังสือ เจียงมู่เฉินดูทีวี
ซือเหยี่ยนอ่านหนังสือ เจียงมู่เฉินว่างจนเบื่อเอนพิงอยู่บนขาของซือเหยี่ยนแล้วผล็อยหลับไปเลย
ครั้งนี้ซือเหยี่ยนไม่ได้อ่านหนังสือแล้ว แต่เปลี่ยนไปมองเจียงมู่เฉินแทน
ทั้งสองคนดูเพี้ยนๆ แต่กลับดูเข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ
……
ทั้งคู่เป็นอย่างนี้กันไปสองวัน จี้ฉิงโทรมาหาเจียงมู่เฉิน แจ้งที่อยู่ของสถานที่จัดงานแถลงข่าวให้
เจียงมู่เฉินบอกกับซือเหยี่ยนสักหน่อย ก่อนที่ทั้งสองคนจะไปงานแถลงข่าวด้วยกัน
จี้ฉิงเห็นซือเหยี่ยน ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มเอ่ยทักทายกับซือเหยี่ยน ยังกะพริบตาใส่เจียงมู่เฉินอย่างแฝงความนัยด้วย
เจียงมู่เฉินกุมหน้าผากอย่างทำอะไรไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะแนะนำซือเหยี่ยนให้จี้ฉิงรู้จักเลย
แต่ซือเหยี่ยนกลับเอ่ยทักทายจี้ฉิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แล้วนั่งรอเจียงมู่เฉินอยู่ด้านข้างตลอดเวลา
เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง มีสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยมาถึงที่งานแถลงข่าว ถึงอย่างไรจี้ฉิงก็ประกาศจะจัดงานแถลงข่าวเพื่อชี้แจงปัญหาในครั้งนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
คนที่มากันในวันนี้จะเป็นนักข่าวเสียส่วนใหญ่ ในจำนวนนั้นมีสาขาอาชีพอื่นผสมปนเปมาบ้างจำนวนหนึ่ง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง จี้ฉิงและเจียงมู่เฉินทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างหน้า ส่วนซือเหยี่ยนนั่งอยู่ข้างล่างแถวแรกตรงข้ามกับตำแหน่งของเจียงมู่เฉิน
[1] เรือแล่นถึงสะพาน หัวเรือก็จะหันตรงเอง หมายความว่า เมื่อดำเนินการไปถึงขั้นตอนหนึ่งแล้ว วิธีการดีๆ จะเกิดขึ้นมาเอง