Your Talent Is Mine ระบบคัดลอกพรสวรรค์ - บทที่ 158 มหาปราชญ์ดาบคลั่งและการแบ่งระดับศักดิ์สิทธิ์
- Home
- Your Talent Is Mine ระบบคัดลอกพรสวรรค์
- บทที่ 158 มหาปราชญ์ดาบคลั่งและการแบ่งระดับศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 158 มหาปราชญ์ดาบคลั่งและการแบ่งระดับศักดิ์สิทธิ์
“เย่เทียน พวกเรากลับด้วยกันเถอะ!”
นักบุญหญิงแห่งนิกายเทพจันทราเดินมาหาเขาใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเธอได้รับสมบัติค่อนข้างมากในมิติวิหารแห่งแสง
“ตกลง!”
เย่เทียนไม่ปฏิเสธ และจากไปพร้อมกับนักบุญหญิง
เมื่อกลับมาถึงฐานทัพจงไห่ทั้งสองก็แยกย้ายกันไป
เมื่อเย่เทียนกลับมาถึงบ้านเขาก็แจ้งให้หวังเยี่ยนทราบทันที ทันทีที่หวังเยี่ยนได้รับข้อมูลจากเย่ทียนเธอก็มาถึงที่พักของเขาอย่างรวดเร็ว
“เย่เทียน ดีจังที่นายกลับมาอย่างปลอดภัย!”
หวังเยี่ยนมองเย่เทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
เย่เทียนรู้ดีว่าสายตาของหวังเยี่ยนหมายถึงอะไร เขาจึงหยิบโอสถหลอมจิตออกมาหนึ่งเม็ดแล้วแสร้งกล่าว”พี่หวังนี่คือโอสถหลอมจิตศักดิ์สิทธิ์ผมโชคดีที่ได้รับมันมาแต่น่าเสียดายที่ได้รับมาแค่เม็ดเดียว! ”
“แค่เม็ดเดียวก็เพียงพอแล้ว!” หวังเยี่ยนรับโอสถหลอมจิตศักดิ์สิทธิ์มาอย่างตื่นเต้น “โอสถเช่นนี้มีพลังอย่างมากแต่มันมีผลแค่ครั้งเดียวเท่านั้นต่อให้กินเข้าไปอีกก็ไม่มีผลอะไรแต่ถึงแม้
ใช้โอสถ ค่าเช่นนี้ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าฉันจะทะลวงเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ได้!”
“พี่หวังฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ท่านจะต้องประสบความสําเร็จในการเลื่อนระดับอย่างแน่นอน!”
เย่เทียนกล่าวอวยพร
“ขอบคุณสําหรับคําอวยพร!”
หวังเยี่ยนยิ้ม
จากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เทียนด้วยความสงสัย “เย่เทียน กลิ่นอายของนายดูเหมือนจะ… นายกลายเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ผมเจอปัญหาเล็กน้อยในมิติวิหารศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทะลวงเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์!”
เย่เทียนกล่าว
“ฉันขอโทษที่ทําให้นายพลาดโอกาสไป!” หวังเยี่ยนรู้สึกละอายใจเล็กน้อยในความคิดของเธอ เย่เทียนเสียโอกาสที่จะทําให้พรสวรรค์ของเขากลายเป็นระดับลึกลับที่แท้จริงโดยเปล่า ประโยชน์ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอที่เป็นต้นเหตุ
เธอไม่รู้ว่าเย่เทียนได้อะไรมาบ้างแต่โอกาสที่จะยกระดับพรสวรรค์ให้กลายเป็นระดับลึกลับที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ว่าสิ่งใดจะชดเชยได้
เย่เทียนไม่ได้อธิบายอะไร เขาไม่สามารถบอกออกไปได้ว่าเขานั้นมีพรสวรรค์ด้านการป้องกันระดับความลึกลับที่แท้จริงแล้วเพราะเขาต้องการให้มันเป็นไพ่ตายของเขาหวังเยี่ยนใช้เวลาไม่นานในที่พักของเย่เทียน และจากไปดูเหมือนว่าเธอจะรีบร้อนที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์โดยเร็วเย่เทียนเริ่มตรวจสอบการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้
อย่างแรกคืออาวุธอาวุธที่ดีที่สุดที่เขาได้รับมาคืออาวุธที่อยู่เหนือระดับเทวะขั้นสูงสุดในอนาคตเขาจะใช้มันเป็นอาวุธหลัก
อย่างที่สองคือเทคนิคการบ่มเพาะเดิมทีเขาฝึกเทคนิคการบ่มเพาะปราณมรกตซึ่งเป็นเทคนิคการบ่มเพาะขั้นสูงสุดระดับ 4 มัน ย่อมด้อยกว่าเทคนิคการบ่มเพาะระดับ 5 อย่างไม่ต้องสงสัยและในครั้งนี้เขาได้รับเทคนิคการบ่มเพาะระดับ 4 มามากกว่า 10 วิชาและยังมีเทคนิคการบ่มเพาะระดับ 5 อีกซึ่งมีชื่อว่าเทคนิคการบ่มเพาะกายาทองคําในความเป็นจริงเขาได้รับทักษะลับระดับ 5 ที่ดีกว่าอีก 2 เล่ม แต่การฝึกฝนเทคนิคการบ่มเพาะนี้ค่อนข้างแปลกมันต้องใช้ปราณซากศพของศพเพื่อประสานกับพลังปราณปฐมของสวรรค์ และปฐพีในการบ่มเพาะเขาจึงไม่กล้าแตะต้องมัน แม้ว่าเขาจะสามารถใช้ซากศพของสัตว์อสูรแทนได้แต่หลังจากฝึกฝนแล้วเขาไม่รู้ว่าจะเกิดผลเสียอย่างไรตามมา
อย่างไรก็ตามเทคนิคการบ่มเพาะกายาทองคํา ก็เพียงพอสําหรับเขาในตอนนี้แล้ว
อย่างที่ 3 คือทักษะดาบ เจ้าของพระราชวังแห่งนั้นสมควรเป็นอัจฉริยะด้านดาบดังนั้นจึงมีทักษะดาบไม่น้อย นอกจากทักษะดาบระดับทองเล่มนั้นแล้วยังมีทักษะดาบระดับเงินอื่นๆอีกหกทักษะ และทักษะดาบระดับทองแดงไม่น้อยกว่า 50 ทักษะ
อย่างที่ 4 โอสถหลายชนิดเย่เทียนพบขวดยามากกว่าร้อยขวด ส่วนใหญ่ช่วยบํารุงร่างกายปรับแต่งเส้นลมปราณและเปิดจุดชีพจร มียาหลายที่ช่วยในการเปิดขอบเขตสมองนอกจากนี้ยังมีตําราอีกหลายเล่มเกี่ยวกับค่ายกลซึ่งเป็นตําราบันทึกค่ายกลระดับสูงสุดและต่าราค่ายค่ายกลระดับดาราอีกหนึ่งเล่ม
เย่เทียนไม่สามารถเรียนรู้ค่ายกลระดับดาราได้ เนื่องจากเขาไม่มีพรสวรรค์ด้านค่ายกลระดับดารายิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ฝึกค่ายกลมากนัก
ในตอนนี้เขาสนใจแค่เพียงค่ายกลรวบรวมลมปราณระดับสูงสุด
ห้องฝึกฝนของเย่เทียนถูกติดตั้งค่ายกลรวบรวมลมปราณระดับสูงเท่านั้น ซึ่งมันไม่สามารถเทียบได้กับการกดรวบรวมลมปราณระดับสูงสุด หากเขาสามารถสร้างค่ายกลรวบรวมลมปราณระดับสูงสุดขึ้นมาได้ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามวัสดุในการสร้างค่ายกลรวบรวมลมปราณระดับสูงสุดนั้นเป็นวัสดุที่มีมูลค่าสูงแต่เขาก็มีมันส่วนหนึ่งซึ่งได้มาจากมิติวิหารแห่งแสง และส่วนที่เหลือเขาอาจจะแลกเปลี่ยนพวกมัน
ได้จากสํานักงานของพันธมิตรพเนจร
หลังจากคัดแยกสิ่งที่ได้รับมาเสร็จสิ้น เย่เทียนพบว่าสมบัติจํานวนไม่น้อยที่ไม่มีประโยชน์อันใดสําหรับเขา เขาจึงคิดที่จะขายมันออกไป
ดังนั้นเย่เทียนจึงวางแผนที่จะไปยังสํานักงานใหญ่ของพันธมิตรพเนจรเพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติเหล่านี้
เมื่อมาถึงสํานักงานใหญ่ของพันธมิตรพเนจรเขาก็เดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วและใช้เวลา
ไม่น้อยในการเปลี่ยนสมบัติของเขา กับสมบัติชิ้นอื่นที่เขาต้องการ เช่นหินลมปราณ
ไม่ว่าจะเป็นห้องฝึกฝนระดับสูงหรือห้องฝึกฝนระดับสูงสุดก็จําเป็นต้องใช้หินปราณจํานวนมาก
หากไม่มีหินปราณเพียงพอก็จะไม่สามารถรักษาค่ายกลเอาไว้ได้
นอกจากนี้เย่เทียนก็ต้องการโอสถฟื้นฟูพลังปราณและความแข็งแรงทางร่างกายด้วยเช่นกัน
เพราะเมื่อเขาเปิดพรสวรรค์ด้านเวลาทําการเร่งเวลาในการฝึกฝนทั้งพลังปราณและความแข็งแรงของเขาต้องสูญเสียไปเป็นจํานวนมาก หากมีโอสถฟื้นฟูย่อมจะต้องดีกว่าผ่านไปเพียงไม่นานเย่เทียนก็ได้รับหินปราณมา 80,000 ก้อนโอสถอื่น ๆ และเลือดสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์แน่นอนสมบัติล้ำค่าที่สุดเย่เทียนยังไม่ได้เริ่มทําการค้า
เขาเตรียมจะแลกเปลี่ยนทักษะดาบเขตแดนดาบสวรรค์ กับทักษะดาบโจมตีประเภทเดี่ยวเพราะการใช้เขตแดนดาบสวรรค์ค่อนข้างจํากัด หากเขาปลดปล่อยทักษะนี้ออกไปนอกจากเป้า
หมายของเขาแล้วคนอื่นๆจะได้รับผลกระทบไปด้วย
แต่หากเขาไม่ใช้เขตแดนดาบสวรรค์ พลังโจมตีของเขาจะลดลงอย่างมาก มันไม่เอื้อต่อการระเบิดของพลังของเขา
ดังนั้นเขาจึงต้องการทักษะดาบระดับทองประเภทโจมตีเดี่ยวอย่างเร่งด่วนผ่านไปไม่นานเขาพบข้อมูลที่เขาต้องการ
(ขายทักษะดาบระดับทอง:ดาบพริบตา ข้อกําหนดในการซื้อขาย: แลกเปลี่ยนกับทักษะดาบระดับทองประเภทโจมตีกลุ่มผู้ประกาศ: มหาปราชญ์ดาบคลั่ง!]
” มันเป็นประกาศที่มหาปราชญ์ดาบคลั่งประกาศออกมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว!”
เย่เทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
มหาปราชญ์ดาบคลั่งไม่ใช่ลดระดับเสียงทั่วไป แต่เขาเป็นยอดฝีมือระดับมหาปราชญ์ในฐานจงไห่มีการแบ่งระดับของระดับศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างเข้มงวดมันไม่ได้ถูกจัดแบ่งตามระดับการบ่มเพาะแต่แบ่งตามพลังการต่อสู้แบ่งออกเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป ระดับเซียนศักดิ์สิทธิ์ระดับมหาปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และระดับราชาศักดิ์สิทธิ์
ในหมู่คนเหล่านี้ผู้ฝึกยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีพรสวรรค์พิเศษหากทะลวงไปจนถึงขีดจํากัดของระดับศักดิ์สิทธิ์ความแข็งแกร่งทางร่างกายของพวกเขาจะเท่ากับ 10 มังกรเมื่อใช้พลังปราณพลังการโจมตีของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 มังกรพวกเขาก็จะถูกเรียกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป
และหากมีพลัง 20 ถึง 100 มังกร จะถูกเรียกว่าเซียนศักดิ์สิทธิ์ 100 ถึง 1,000 มังกรคือมาหาประสิทธิ์และสุดท้ายหากมีพละกําลังมากกว่า 1,000 มังกรพวกเขาจะกลายเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์การบ่มเพาะของระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นคนข้างยากเป็นอย่างมากมันไม่สามารถเพิ่งพาพรสวรรค์
พิเศษเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องของความเร็วในการบ่มเพาะ
ยกตัวอย่างเช่น ราชาระดับสูงของการจัดอันดับราชา หากฝึกฝนจนถึงระดับตัดสิทธิ์ขั้นสูงสุดก็จะสามารถกลายเป็นยอดฝีมือระดับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดายหรือแม้แต่สามารถสังหารราชาศักดิ์สิทธิ์ได้ในพริบตา
แต่การเปิดขอบเขตสมองนั้นยากเกินไป อัจฉริยะการต่อสู้ในการจัดอันดับราชาส่วนใหญ่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับดาราเท่านั้น หากต้องการเปิดขอบเขตสมองให้ได้ 100% ไม่แน่ว่า
อาจใช้เวลาหลายร้อยปี หรืออาจจะถึงหนึ่งพันปีเลยก็ได้
ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกเมื่อ 100 ปีก่อนจนถึงตอนนี้มนุษย์โลกสมัยใหม่ได้ฝึกฝนมามากกว่า 100 ปีส่วนมนุษย์โบราณพวกเขาไม่มีเทคนิคการบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง
พวกเขาจึงไม่ได้โดดเด่นไปกว่ามนุษย์สมัยใหม่
ดังนั้น จึงมีอัจฉริยะมากมายที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่พวกเขาก็ติดอยู่ในขั้นตอนการเปิดขอบเขตสมองดังนั้นผู้ที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับมหาปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้จึงถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งส่วนระดับราชาศักดิ์สิทธิ์มีเพียงไม่กี่คน
ตามการจัดอันดับของระดับศักดิ์สิทธิ์ยอดฝีมือระดับราชาศักดิ์สิทธิ์มีเพียงสิบหกคนเท่านั้นสําหรับการก้าวไปสู่ระดับจักรพรรดิ์นั้นทุกคนต้องพึ่งพาเพียงโชคลาภวาสนาพวกเขาต้อง
พึ่งพาโชควาสนาของตัวเองเพื่อที่จะพบเจอกับโบราณสถานเก่าแก่เพราะแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับจันทราก็ต้องใช้ทรัพยากรจํานวนมหาศาลในการก้าวไปสู่ระดับจักรพรรดิ
ส่วนมหาปราชญ์ดาบคลั่งอยู่ในอันดับที่ 37 ของการจัดอันดับระดับศักดิ์สิทธิ์เขานั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งมากไม่ด้อยกว่าเย่เทียนในตอนนี้
เย่เทียนรับข้อมูลการซื้อขายและติดต่อมหาปราชญ์ดาบคลั่งทันที
และเพียงไม่นานมหาปราชญ์ดาบคลั่งก็มาถึง!