ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 99 ปวดศีรษะ
ตอนที่ 99 ปวดศีรษะ
เรื่องพิสดารเช่นนี้ถูกหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง หมอเทวดาอยากจะด่าว่าไร้สาระ แต่ก่อนหน้านี้ดันพูดไว้ว่าเรื่องพิสดารอะไรก็เคยเจอมาหมดแล้ว เขาก็เลยไม่อยากตบหน้าตนเอง
หมอเทวดาหลี่ข่มอารมณ์ ไม่พูดอะไร
หญิงสาวถามอีกครั้งด้วยใบหน้าขาวซีดว่า “หมอเทวดา ข้าถูกผีอำหรือไม่”
หมอเทวดาหลี่ชะงักงัน
เขาคือหมอเทวดา ไม่ใช่เทพเสียหน่อย
โลกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่พิสดารนั้นไม่มี เขาไม่เคยเจอใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง…
หมอเทวดาหลี่คิดอะไรขึ้นได้ถามว่า “ตอนที่เจ้ากลับมาจากจินซาแวะพักเมืองหนานหยางท่องราตรีจวนเจิ้นหนานอ๋องคือวันอะไร”
“วันที่สามเดือนสาม” ลั่วเซิงราวกับไม่รู้อะไรเลย นางพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
หมอเทวดาหลี่ตะลึง
เขาจำได้แม่น วันที่สามเดือนสามของสิบสองปีที่แล้วคือวันที่จวนเจิ้นหนานอ๋องถูกกวาดล้าง ซึ่งก็คือวันที่ท่านหญิงชิงหยางออกเรือน
ครานั้นเขาออกจากจวนเจิ้นหนานอ๋องแล้ว เพราะว่ายาที่กำลังศึกษาอยู่ในช่วงสำคัญจึงไม่ได้เร่งเดินทางกลับไปแสดงความยินดี เขายังเคยไหว้วานให้คนส่งของขวัญแสดงความยินดีไปให้
ครานี้เอง หมอเทวดาหลี่แทบจะเชื่อสิ่งที่ลั่วเซิงพูดทั้งหมด เพียงแต่ว่าสติสัมปชัญญะทำให้เขายังคงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
หรือว่าภูตผีมีจริงนะ และเนื่องจากโชคชะตาบางอย่างทำให้วิญญาณของท่านหญิงชิงหยางเชื่อมโยงกับแม่นางน้อยตรงหน้า…
ลั่วเซิงถอนหายใจในใจเมื่อเห็นเขามีสีหน้าที่มิอาจคาดเดาได้
นางไตร่ตรองแล้วคิดว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะบอกความจริงกับหมอเทวดาหลี่
หากพูดความจริงออกมา ฝ่ายตรงข้ามีตัวเลือกเพียงสองอย่างคือ เชื่อหรือไม่เชื่อ
หากไม่เชื่อ จะยิ่งยากสำหรับนางในการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง มิหนำซ้ำหากเรื่องไปถึงหูแม่ทัพใหญ่ลั่ว นางคงถูกเผาตายทั้งเป็น
นางรับความเสี่ยงนี้ไม่ได้
คำพูดจริงเท็จเหล่านี้ แม้หมอเทวดาหลี่ส่งคนไปตรวจสอบที่หนานหยางก็ตรวจไม่เจอช่องโหว่ใดๆ
ครานั้นที่นางกลับมาเมืองหลวงจากจินซานางเข้าไปสำรวจจวนเก่าของจวนเจิ้นหนานอ๋องยามราตรีจริงๆ และนางก็ยังรู้จากปากของหงโต้วว่าตอนที่พวกเขาออกจากเมืองหลวงไปจินซาก็เคยแวะพักที่เมืองหนานหยาง
ว่ากันว่าคุณหนูลั่วพบชายงดงามโดดเด่นคนหนึ่งเข้าเมืองจึงไล่ตามไป แต่น่าเสียดายที่หาไม่เจอในภายหลัง…
สิ่งที่นางบอกหมอเทวดาหลี่ ถือว่าเป็นเรื่องจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง ไม่ว่าหมอเทวดาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ต่อจากนี้คงปฏิบัติต่อนางไม่เหมือนผู้อื่นแน่นอน
บางทีสักวันหนึ่งสิ่งต่างๆ อาจเป็นจริง และในที่สุดหมอเทวดาก็จะระบุตัวนางได้ว่านางคือท่านหญิงชิงหยาง
ลั่วเซิงยอมรับว่าตนเองกำลังวางแผน แต่เนื่องด้วยภาระอันหนักหน่วงและอุปสรรคมากมาย นางจะปล่อยให้ตนเองเป็นท่านหญิงที่สูงศักดิ์สุขสบายและไร้ความกังวลคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้
นางไม่ใช่ท่านหญิงชิงหยางมานานแล้ว
“แม่นางน้อย สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ทั้งหมดคือความจริงหรือ” หมอเทวดาหลี่ตาเป็นประกาย จ้องลั่วเซิงเขม็ง
ลั่วเซิ่งยิ้มขมขื่น “พูดตามตรง บางครั้งข้าก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ เหมือนกับว่ากำลังฝัน…”
หมอเทวดาหลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เรื่องเหล่านี้ ต่อไปเจ้าอย่าเล่าให้ผู้อื่นฟังอีกเลย”
หญิงสาวตรงข้ามทุกข์ใจพูดว่า “จริงๆ ก็ไม่กล้าพูด แต่หมอเทวดาถามเรื่องที่มาของยาก็เลยต้องพูดเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่ถอนหายใจ
พูดอย่างนี้โทษเขาสินะ นังหนูน้อยย้อนหาเรื่องเก่งจริงๆ
หากเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว
เมื่อทานขนมดอกหอมหมื่นลี้ชิ้นหนึ่งเสร็จ หมอเทวดาหลี่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ข้าต้องกลับแล้ว นังหนูดูแลตนเองด้วย”
“ข้าส่งหมอเทวดาออกไปเอง” ลั่วเซิงพูดพลางโบกมือให้โค่วเอ๋อร์ที่อยู่หน้าประตูสวน
โค่วเอ๋อร์รับทราบ รีบเดินเข้าไปในห้องครัว
“มิต้องส่ง” หมอเทวดาหลี่ปฏิเสธ จู่ๆ ก็เห็นสาวใช้ถือกล่องอาหารเดินเข้ามาไวๆ เขาชะลอฝีเท้าลง
ลั่วเซิงรับกล่องอาหารมาจากโค่วเอ๋อร์ เดินส่งหมอเทวดาไปประตูสวนพลางยิ้มพูดว่า “ข้าเตรียมขนมอบไว้ให้หมอเทวดาเล็กน้อย ยังมีบ๊วยกวนที่ทำเองสองกระปุก”
ขนมอบ? บ๊วยกวน?
หมอเทวดาหลี่รู้สึกสดชื่น แต่กลับทำสีหน้าเรียบเฉย “เตรียมของเหล่านี้ทำไม”
เขาเป็นถึงหมอเทวดา ดูขาดแคลนของกินมากหรือ
ลั่วเซิงยิ้ม “รู้ว่าหมอเทวดาไม่สนใจ แต่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยของข้า ท่านโปรดอย่ารังเกียจ”
หมอเทวดาชอบกินขนมหวาน ครานั้นทานขนมที่นางทำมากเกินไปจนย่อยไม่ได้ เขาจึงได้คิดค้นยารักษาโรคกระเพาะขึ้นมา…
“ในเมื่อเช่นนี้ ข้าจะรับไว้” หมอเทวดาหลี่พยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อเดินออกจากประตูสวน หมอเทวดาหลี่ก็เตือนว่า “คุณหนูลั่วมิต้องส่งแล้ว”
ลั่วเซิงถือกล่องอาหารแล้วหยุดเดิน พูดอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “หมอเทวดาเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่รอครู่หนึ่ง เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่มีทีท่าใดๆ ก็กระแอมเบาๆ “ส่งกล่องอาหารให้จ้าวต้าก็พอ”
ไหนว่าเตรียมไว้ให้เขาไง ยังถือกล่องอาหารไว้ทำไมเล่า
ดูไม่ออกหรือ!
จนเมื่อคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตูสวนรับกล่องอาหารไป หมอเทวดาหลี่จึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
“ออกมาแล้ว หมอเทวดาออกมาแล้ว!”
“ดูเร็วเข้า คนใช้ที่อยู่ข้างหลังหมอเทวดาหลี่มีกล่องเพิ่มมาอีกหนึ่งใบ!”
“ใช่กล่องยาหรือไม่”
“ตาบอดหรือ ไม่เห็นหรือว่าหมอเทวดาถือกล่องยาเอง”
“พวกเจ้าคิดเหมือนกันหรือไม่ว่ากล่องที่คนใช้ถือคือกล่องอาหาร”
“กล่องอาหาร? เจ้าหมายความว่าหมอเทวดาเอากล่องอาหารกลับจากจวนแม่ทัพลั่ว?”
การคาดเดานี้ยากที่จะเชื่อจริงๆ
หมอเทวดาหลี่ขึ้นไปบนรถม้าอย่างรวดเร็ว และหายไปจากสายตาของทุกคน
เมื่อกลับถึงที่พักอาศัย ฝั่งซ้ายของหมอเทวดาหลี่ก็มีชาใสกาหนึ่ง ฝั่งขวามีขนมอบจานหนึ่ง เขาถอนหายใจอย่างพึงพอใจ
จะว่าไปแล้ว นังหนูสกุลลั่วนั่นรู้ประสากว่าเจ้าเด็กไคหยางอ๋องมากเลย
ไคหยางอ๋องนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ
หมอเทวดาหลี่พึงพอใจกับการทานขนมอบ เว่ยหานเห็นว่าการรักษามีหวังก็พึงพอใจ ลั่วเซิงได้ตอบแทนบุญคุณก็ยิ่งพึงพอใจ
ส่วนผู้คนที่ยังไม่เข้าใจและเกือบจะอัดอั้นตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั้นก็ไม่มีใครรับผิดชอบได้
ความอยากรู้อยากเห็นมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการสู่รู้เรื่องผู้อื่น
ในวันที่เหลือต่อมา ลั่วเซิงมุ่งความสนใจไปที่หอสุรา ในขณะเดียวกันก็ให้โค่วเอ๋อร์สืบสถานการณ์ของจวนฉางชุนโหวเงียบๆ
ครอบครัวสกุลหลินใสสะอาดและมีคุณธรรม นางไม่ต้องเป็นห่วงหลานชายคนโตเป็นการชั่วคราว แต่บุตรชายแล้วบุตรสาวคู่หนึ่งที่พี่ใหญ่ทิ้งไว้จะเป็นอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องที่นางต้องกังวลต่อไป
ส่วนสือเยี่ยนช่วงนี้เขาพาลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกตามหาห่านขาวจนขาแทบขาด ในที่สุดเรื่องที่เว่ยหานสั่งให้ทำก็มีความคืบหน้า
องครักษ์น้อยที่ทำงานมีความคืบหน้าแล้วกลับรู้สึกซับซ้อน คิดไปคิดมาทำได้เพียงกลับไปขอคำชี้แนะ
“มีข่าวแล้วหรือ” เว่ยหานไม่เห็นสือเยี่ยนพักใหญ่ เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวข้างหน้าก็รู้สึกผ่อนคลายลง
หลังจากการฝังเข็มของหมอเทวดา อาการย่ำแย่ที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ของเขาก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
และเป็นเพราะเช่นนี้จึงยิ่งตระหนักรู้ว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
โรคที่เบาหน่อยทำให้เขาถูกแม่นางน้อยเกี้ยวพา หนักหน่อยทำให้เขาเกือบเสียชีวิตนี้ต้องรักษาให้หาย
“ข้าน้อยถามมาหลายที่ ในที่สุดก็ทราบมาว่ามีห่านสีขาวที่อาจจะเข้าเกณฑ์ เพียงแต่ว่า…”
“อย่าลีลา” เว่ยหานเอ่ยราบเรียบ
“ห่านขาวตัวนั้น คุณหนูลั่วเป็นคนเลี้ยงขอรับ!” สือเยี่ยนพูดเสร็จก็รีบมองเว่ยหานทันที
พูดตามตรง แม้แต่เขาเองก็รู้สึกเห็นใจนายท่าน เหตุใดไปตกอยู่ในมือของคุณหนูลั่วอีกแล้วนะ
กริชเล่มหนึ่งนางกล้าขายสามพันตำลึง บะหมี่ผัดเครื่องถ้วยหนึ่งนางกล้าขายหนึ่งร้อยตำลึงแล้วห่านขาวตัวหนึ่งที่เลี้ยงมาสิบกว่าปีเล่า
เมื่อเว่ยหานได้ยินสิ่งที่สือเยี่ยนพูด จู่ๆ ดวงตาก็ปวดตุบๆ อีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนกับถูกตีด้วยบะหมี่พริกเผ็ดๆ อย่างไรอย่างนั้น
ไม่สิ บางทีเขาอาจจะปวดศีรษะมากกว่า