ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1201 มันเป็นของเจ้า
ตอนที่ 1201 มันเป็นของเจ้า
เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่นอนหลับฝันไปนานมาก
ในความฝันนั้น เหมือนว่านางได้ต่อสู้กับใครสักคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นใช่มนุษย์หรือไม่?
มีเพียงแต่พลังที่แข็งแกร่งพันวนรอบตัวนาง พร้อมลากนางไปด้านหน้า
นางถอยร่นลงไปอย่างสุดชีวิต นางต้องการจะหนี แต่ร่างกายกลับถูกลากไปด้านหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ในที่สุดนางก็เห็นว่าตนเองได้ปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของหุบเหวสีดำขนาดใหญ่!
นางเลือกสายตามองลงไปด้านล่าง และรู้ได้ทันทีว่า จะไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด!
ถึงแม้นางจะไม่เห็นอันใดเลยก็ตาม และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าด้านในนั้นมีอันใดซ่อนอยู่
แต่สัญชาตญาณของนางบอกว่า…อันตราย!
ขาทั้งสองข้างของนางตรึงอยู่กับพื้น นางอ้าปากขึ้น คิดว่าจะตะโกนออกมา
แต่มันก็ไม่มีประโยชน์
เหมือนนางเป็นปลาตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นรนอยู่กลางทะเลทราย สิ่งที่รอคอยนางอยู่นั้น คือความมืดและความตายอันไม่มีที่สิ้นสุด!
ในที่สุดนางก็ถูกลากไปที่ริมขอบหุบเหวนั้น!
เท้าข้างหนึ่งของนางลื่นไถลอยู่กลางอากาศ!
“ไม่ ไม่…”
ภายในห้องมีเพียงความเงียบ
เสียงละเมอเสียงนี้ จึงดังขึ้นอย่างชัดเจน
หรงซิวนั่งอยู่ข้างเตียงตลอด อีกทั้งยังจับมือของนางเอาไว้อยู่
เมื่อเห็นว่านางกำลังจะตื่นแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ตอนที่เห็นสีหน้าดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดของนาง เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
นางขมวดคิ้วแน่น เหมือนว่าได้รับความเจ็บปวดอย่างมหาศาล ปากก็ยังบ่นพึมพำเสียงต่ำ
หรงซิวบีบมือของนางแน่น จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีก พร้อมจูบเบาๆ ที่ระหว่างคิ้วของนาง นางนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ศีรษะนางวางอยู่บนหน้าอกของเขา มือข้างหนึ่งของเขา ตบที่มือของนางเบาๆ ก่อนจะปลอบโยนอย่างอบอุ่น และอดทน
“เยว่เอ๋อ ข้าอยู่นี่แล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบทุ้มต่ำ เหมือนว่าในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็สงบลงได้แล้ว คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออก
หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ในตอนแรกสายตาก็ยังขุ่นมัว
นางหลับตาลง หลังจากที่ปรับแสงเข้ากับสภาวะโดยรอบได้แล้ว นางจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นห้องที่ไม่คุ้นตา
ภายในห้องสะอาดสะอ้าน แม้ว่าจะมีสิ่งของไม่เยอะ แต่ของที่วางไว้เหล่านั้นล้วนมีมูลค่า
คนมีฐานะที่ทำตัวติดดินล้วนมีอยู่ทุกที่
ฉู่หลิวเยว่รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ห้องของนาง!
ไม่ถูกต้อง!
เมื่อครู่นี้นางยังอยู่ด้านนอกอยู่เลยไม่ใช่…
“ตื่นแล้วหรือ?”
เสียงของหรงซิวดังขึ้นมาจากเหนือศีรษะ
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น
ทั้งสองคนสบประสานสายตากัน
ดวงตาของนางนั้นงดงามอย่างมาก มักจะสว่างไสว แล้วยังฉายแววเฉลียวฉลาด เจ้าเล่ห์
อีกทั้งในตอนนี้ ไม่รู้ว่านางผ่านประสบการณ์มามากเกินไป หรือเป็นเพราะนางเพิ่งตื่นฟื้นคืนสติ ในแววตาของนางจึงมีเหมือนม่านหมอกขึ้นมาบังหนึ่งชั้น มันขุ่นมัวและไม่สามารถมองเห็นได้ชัด เหมือนว่านางจะรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย
“…หรงซิว…ศิษย์พี่?”
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าเขา ก่อนจะขานชื่อออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเติมสองคำสุดท้ายอย่างมีสติ
แววตาของหรงซิวดำมืดลงทันที มันลึกเสียจนมองไม่เห็นก้น
สายตาของเขานั้นอันตรายมาก เหมือนกับว่ากำลังสะกดกลั้นอันใดบางอย่าง แต่การกระทำของเขากับอ่อนโยนอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หยุดการกระทำลง พร้อมบีบปลายคางของนางให้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“อื้อ แบบนี้น่าจะมองไม่ออกแล้ว”
แม้ว่าเขาต้องการจะทำต่อไป แต่เมื่อคิดได้ว่ายังมีกลุ่มคนที่รออยู่ด้านนอก เขาก็ต้องยับยั้งห้ามใจตัวเองเอาไว้
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
ในตอนนี้นางได้นึกถึงเรื่องราวก่อนที่นางจะสลบลงไปได้ทั้งหมดแล้ว
นางจำได้ว่าตนเองได้ต่อสู้กับผู้ชายคนนั้น แต่ถูกเขาใช้หลังมือสะบัดออกไป
หลังจากนั้นกระบี่หลงหยวนก็ได้กระทบกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ จิตวิญญาณของกระบี่ก็ได้เคลื่อนที่เข้าไปในนั้น
และเป็นเพราะว่านางไม่สามารถทนรับแรงกดดันในขั้นตอนเหล่านั้นได้ จึงทำให้สลบลงไป
หลังจากนั้น…
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นล่ะ?”
นางเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมคว้าแขนของหรงซิวเอาไว้
“กระบี่เล่มนั้น…”
“วางใจเถอะ มันยังอยู่ดี”
หรงซิวรู้ว่านางต้องการจะถามอันใด จึงตอบคำถามนั้นทันที
น้ำเสียงของเขาราบเรียบมาก แล้วยังแฝงไปด้วยความเกียจคร้านที่มีอยู่เป็นประจำ เหมือนว่าเขากำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่อยู่ในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าเมื่อไร ดูเหมือนเขาจะสามารถสงบเยือกเย็นได้ตลอดเวลา
ในใจของฉู่หลิวเยว่ก็ได้รับผลกระทบจากเขาเช่นกัน ทำให้ตอนนี้นางรู้สึกมั่นคงกว่าเดิมมาก
นางถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว…”
นางคิดว่าของสิ่งนั้น…
“เจ้าของสิ่งนั้น เคยทิ้งสมุดบันทึกเอาไว้ในสำนักเล่มหนึ่ง ถ้ากลับไปข้าจะไปหามาให้เจ้า”
หรงซิวพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ฉู่หลิวเยว่นิ่งค้างไป
“อันใดนะ?”
เจ้าของ?
สมุดบันทึก?
นางจะเอาของเหล่านั้นมาเหตุใด?
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง หรงซิวจึงเลิกคิ้วกระบี่ขึ้น พร้อมหรี่ตาหงส์ลงเล็กน้อย
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง
ช้าก่อน นี่คงไม่ใช่…
“เจ้ายังไม่รู้หรือ?”
หรงซิวพูดขึ้นมาเสียงเบา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อชิ้นนั้น ยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว”
“…”
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เบิกตากว้าง
“ไม่รู้ว่าเหตุใด มันจึงไม่มีจิตวิญญาณแห่งอาวุธ อีกทั้งจิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่หลงหยวนก็ไหลเข้าไปสู่ตัวมัน ทำให้มันกลายเป็นอาวุธโบราณของเจ้าแล้ว”
หรงซิวอธิบายขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ตามหลักการแล้วจิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่เล่มนั้น ไม่มีทางที่จะต้านทานอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อได้ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือถูกกลืนกิน แล้วพังพินาศไป แต่…ไม่รู้ว่าเหตุใด จิตวิญญาณกระบี่เล่มนั้นจึงกลายเป็นนาย จนสุดท้าย…นี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เจ้าหมดสติไป ในตอนที่พลังทั้งสองกำลังปะทะกันอยู่นั้น เจ้าไม่สามารถต้านทานได้ และสลบไป”
หรงซิวพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้ฉู่หลิวเยว่ได้ยินอย่างชัดเจน และเข้าใจอย่างถ่องแท้
แต่เมื่อประสมเรื่องราวเข้าด้วยกันแล้ว นางก็ยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย
หากพูดให้ถูกต้องก็คือ นางรู้สึกตกใจอย่างมากกับเรื่องราวเหล่านี้
…นางไม่อยากครอบครองของสิ่งนั้นเป็นของตนเองจริงๆ!
ในตอนนั้นนางได้กล่าวกับองค์ปฐมกษัตริย์ไปแล้วว่า นางต้องการมอบของชิ้นนี้ให้กับสำนัก เหตุใดสุดท้ายแล้วยังกลายเป็นของนางได้อีกล่ะ!?
หรงซิวสัมผัสใบหน้านางอย่างอ่อนโยน
“วางใจเถอะ สถานการณ์ในตอนนั้นทุกคนล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะครอบครองมัน อีกทั้งตอนที่โดนคนอื่นโจมตี เจ้าก็ปะทะกับมันโดยบังเอิญ ไม่มีใครรู้ว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อนั้นจะไม่มีจิตวิญญาณแห่งอาวุธ…ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องของโชคชะตา เหล่าผู้อาวุโสไม่มีทางโทษเจ้าอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็สามารถหาเสียงของตนเองเจอ
นางถามขึ้นมาอย่างยากลำบากว่า
“ถ้าเช่นนั้น…ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันล่ะ แล้วเหล่าผู้อาวุโส…ล่ะ?”
หรงซิวพูดว่า
“อ่า…ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่พักของข้า ผู้อาวุโสซูเฟิง และคนอื่นๆ ต่างรออยู่ที่โถงด้านนอก”
ฉู่หลิวเยว่มองตามสายตาของเขา จากนั้นก็รู้สึกแปลกประหลาดขึ้น
“แล้ว ข้ากลับมาที่นี่ได้อย่าง…”
“ข้าอุ้มเจ้ากลับมา”