เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 107 เยี่ยนเสี่ยวเป่าหวงอาหาร
เขายังทำบางสิ่งกับความทรงจำของเจ้าตัวน้อย ดังนั้นเหตุผลที่เยี่ยนเสี่ยวเป่าตื่นแล้วไม่งอแงหาท่านพ่อ นั่นก็เพราะเขายังนึกถึง “ความฝัน” ของเขาไม่ออก
“แค่ก” ต้าซือมิ่งราชสำนักผู้ถ่อมตนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า อันที่จริงกับดักนี้ มารดาของเจ้าก้อนน้อยมีบทบาทเป็นสื่อนำ มิใช่ความดีความชอบของตำหนักไท่ชางทั้งหมดตามที่นางกล่าวแต่อย่างใด ถึงแม้ตำหนักไท่ชางถือเป็นดินแดนที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ แต่เยี่ยนอวี๋ที่อาจจะถือโอกาสสร้างค่ายกลป้องกันขึ้น กลับเป็นผู้กระทำที่สำคัญที่สุดกับกับดักนี้
“ยันต์ที่สูญหายอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว ดาบไท่ชางเจาะจงเจ้าเป็นเจ้าของ ชักจะสนุกขึ้นทุกวันแล้ว” ต้าซือมิ่งหรงที่อยู่กลางอากาศนั้น มีชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกอยากลงไปดูมารดาของเจ้าก้อนมอมแมมตัวนี้เหลือเกินว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่เมื่อคำนึงถึงความอ่อนไหวอันแปลกประหลาดของเจ้าก้อนน้อย ต้าซือมิ่งผู้มิเคยเกรงกลัวสิ่งใดก็ล้มเลิกความคิดที่เขาเห็นว่าไม่มีความหมายใดๆ ในตอนนี้
ทว่าหลังจากที่สายตาที่ซ่อนอยู่ในมวลเมฆของเขามองกลับมา เขาก็สัมผัสอะไรได้ พลางมองไปทางทิศตะวันออก เพราะเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของประมุขสำนักคนก่อนของสำนักคุนอู๋
…ต้าซือมิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าสำนักคุณอู๋จะส่งประมุขสำนักคนก่อนมาเป็นคนแรก ให้ความสำคัญกับสำนักชางอู๋เพียงนี้
ทว่า หลังจากที่ต้าซือมิ่งกวาดตามองสตรีงดงามที่กำลังป้อนอาหารให้เด็กน้อยอยู่ข้างล่างปราดหนึ่งแล้ว เขาก็หายเข้าไปในความว่างเปล่าทันที
และสายตานี้ของเขา เนื่องจากเขามิได้ปิดซ่อน เยี่ยนอวี๋จึงสัมผัสได้ทันที นางรีบเงยหน้ามองท้องฟ้า แต่บริเวณที่นางมองไปนั้นกลับไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว
“หนีเร็วจริงๆ” เยี่ยนอวี๋หันกลับมาอย่างสงบนิ่ง นางมั่นใจว่าเมื่อครู่นี้มีคนซุ่มมองพวกเขาสองแม่ลูก และฝ่ายตรงข้ามมีเพียงต้าซือมิ่งราชสำนักที่เอาแต่หลบซ่อนผู้นั้น
“อ้ะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่เพิ่งทานข้าวต้มงูไปคำหนึ่งก็มองมารดาของเขาอย่างฉงน เนื่องจากครั้งนี้ต้าซือมิ่งลอยอยู่บนที่สูงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงพลังสัมผัสของเขา เขาจึงไม่รู้ตัวเลย
นี่จึงทำให้เยี่ยนอวี๋รู้สึกผิดปกติ ทว่านางก็ไม่ได้คิดมาก นางคิดเพียงว่าเป็นเพราะปัญหาเรื่องระยะห่าง นางจึงป้อนข้าวต้มงูต่อไป โดยไม่เอ่ยปากถามสิ่งใด
อินหลิวเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “จะว่าไปแล้ว ข้าวต้มงูที่เม่ยเอ๋อร์เคี่ยวนี่น่าทานมากเลย เนื้องูติดกระดูกเหล่านี้ ถูกนางเคี่ยวจนแตกข้น ท่านประมุขน้อยทานได้สบายเลย!”
เยี่ยนอวี๋ชำเลืองมองเขา พูดว่า “ทานสิ”
“ได้เลย!” อินหลิวเฟิงตักข้าวต้มทันที เขารอคำนี้มานานแล้ว!
กู้หยวนหมิงรู้สึกละอายจนต้องปิดตาตนเองไว้…
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับหวงไม่ยอมแบ่งให้!
เยี่ยนอวี๋จึงใช้นิ้วชี้แตะหน้าผากของเขาเบาๆ “เจ้าทานไม่หมดเสียหน่อย”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าทำหน้ามุ่ย แม้จะไม่ยอม แต่ก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ไม่ห้ามอินหลิวเฟิงแล้ว
ลูกหนูน้อยก็ประจบเยี่ยนอวี๋ มันดึงชายกระโปรงของนางเบาๆ ส่งเสียงร้อง “จิ๊ดๆ ๆ ” เพื่อถามว่า ข้าขอทานเล็กน้อยได้หรือไม่
“แบ่งกันทานเถอะ” ในขณะที่เยี่ยนอวี๋ตอบลูกหนูน้อย นางก็ให้เยี่ยนจื่อเสาและคนอื่นๆ พักผ่อนและทานข้าวต้มงู
ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ แม้จะกล่าวว่าไม่ว่าเป็นผู้ฝึกฌานแขนงใด เมื่อมีความสามารถบรรลุขั้นสุวรรณชาดแล้ว ไม่ทานข้าวสิบวันก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับอวัยวะที่ยังหลุดพ้นจากความต้องการด้านอาหารไม่ได้นั้น ก็ถือว่าค่อนข้างทรมานอยู่บ้าง
เมื่อข้าวต้มร้อนๆ ลงท้อง ถึงแม้อินหลิวเฟิงจะไม่รู้สึกหิว แต่ความทุกข์ทรมานที่อดทนมานั้น ทำให้เขาซดข้าวต้มหมดในอึดใจเดียว “อ่าห์… รู้สึกดีจังเลย! ตับไตไส้พุงของข้าฟื้นคืนชีพแล้ว”
“รู้สึกดีจริงๆ อาหารแห้งไม่ใช่อาหารของมนุษย์จริงๆ ฝืดคอจะตายชัก” เยี่ยนจื่อเสาเห็นด้วย “ต้องรีบบำเพ็ญฝึกฝนแล้ว จะได้บรรลุขั้นวิญญาณปฐมภูมิของการถือศีลอดปี้กู่[1]ได้ เพื่อความสะดวกสบาย”
“สำหรับผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์อย่างเราแล้ว หากฝึกพลังจิตวิญญาณบรรลุขั้นวิญญาณปฐมภูมินั้นไม่ยาก แต่ร่างกายนี่สิ ไม่ง่ายเลย” กู้หยวนหมิงพูด
“อย่าว่าแต่ผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์อย่างเราเลย แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ในตอนนี้ก็ยากมากเช่นกัน ตามที่ท่านพ่อข้าบอก บนโลกมนุษย์ ผู้แข็งแกร่งขั้นสุวรรณชาดสูงสุดที่สามารถบรรลุพลังฟ้าดินดั้งเดิมของขั้นวิญญาณปฐมภูมิได้นั้น มีจำนวนน้อยลงมากแล้ว” อินหลิวเฟิงทอดถอนใจอย่างเห็นด้วย
กู้หยวนหมิงได้ยินดังนั้นก็มองไปที่อินหลิวเฟิง พูดว่า “พวกเจ้าคนโยวตูศึกษาเรื่องนี้ลึกซึ้งนัก”
“แหงสิ! พวกเราคนโยวตูไม่ต้องบำเพ็ญฌานแล้วหรืออย่างไร” อินหลิวเฟิงซดข้าวต้มงูหมดเกลี้ยงอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาไม่ได้หน้าด้านไปตักอีกถ้วย ยังรู้จักพอประมาณ
“ฮึ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่คอยจ้องมองก็ส่งเสียงกระฟัดกระเฟียด ทานข้าวต้มงูคำใหญ่ของเขาต่อไป
อินหลิวเฟิง “…”
เขารู้สึกว่าตนเองถูกประมุขน้อยจดบัญชีอีกแล้ว!
เยี่ยนอวี๋จึงหยิกแก้มชมพูของเจ้าตัวน้อยเบาๆ อย่างขบขัน พูดขึ้นว่า “ทางตอนเหนือมีลูกศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนกำลังหนี ในเมื่อนายท่านอินทานเสร็จแล้ว ก็ไปจับเขาเถิด”
“หืม?” อินหลิวเฟิงชะงัก ก่อนจะปล่อยพลังจิตออกไปทางทิศเหนือในทันที จากนั้นเขาก็พบว่า มีลมหายใจเบาบางกำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็วอยู่จริงๆ ด้วย
“มีจริงๆ ด้วย?!” อินหลิวเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ “เช่นนั้นข้าไปประเดี๋ยวกลับมา!” เขาสัมผัสได้ว่าคนนั้นเป็นลูกศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนที่ค่อนข้างอ่อนแอ
“นายท่าน ข้าไปด้วยขอรับ!” เอ้อร์เหมารีบพูดอย่างภักดี เขากลัวว่านายท่านเจ้าชู้คนนี้จะเป็นอันตราย
เยี่ยนอวี๋เตือนว่า “ระวังด้วย คนผู้นี้ค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
“วางใจเถิด!” อินหลิวเฟิงน้อมรับคำเตือน ก่อนจะพาเอ้อร์เหมาไปด้วย
ทว่าผ่านไปนาน เจ้านายและลูกน้องคู่นี้ก็ไม่มีทีท่าจะกลับมา
———————–
[1]การถือศีลอดปี้กู่ คือการหลีกเลี่ยงการทานธัญพืช ตามหลักความเชื่อทางวัฒนธรรมของคนจีน