ไหปีศาจ - บทที่ 856 การฟื้นตัวของราชาผีดิบ
บทที่ 856 การฟื้นตัวของราชาผีดิบ
บทที่ 856
การฟื้นตัวของราชาผีดิบ
ต้าหวงบอกว่าต้นกำเนิดของราชาผีดิบยังคงทำงานอยู่
อาจเป็นเพราะพลังวิญญาณของโลกไหนั้นแรงเกินไป ความเร็วในการเกิดใหม่ของราชาผีดิบนั้นสูงมาก โชคดีที่ต้าหวงกินมันอย่างต่อเนื่อง
ราชาผีดิบก็น่าสงสารเช่นกัน
ราชาผีดิบถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นยอดรองจากระดับจักรพรรดิตั้งแต่กำเนิด ในแง่ของความแข็งแกร่ง มันก็เป็นอันดับต้น ๆ รองจากระดับจักรพรรดิอย่างแน่นอน
แต่มันถูกผนึกไว้และกลายเป็น “ขนม” ของต้าหวง
แต่ต้าหวงก็มีขีดจำกัด
ท้ายที่สุดราชาผีดิบนั้นระดับสูงเกินกว่าจะที่ต้าหวงจะกลืนกินได้มากเกินไป และไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังของเขาเองได้
ด้วยการใช้กลืนกินสวรรค์มากขึ้นเรื่อย ๆ
ต้าหวงก็ค่อย ๆ รู้สึกอิ่มตัวเล็กน้อย
การกินมากเกินไปนั้นไม่ดี
ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ต้นกำเนิดของราชาผีดิบแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงนี้ แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากการทำลายผนึกได้ แต่ก็เป็นสัญญาณอันตราย
นอกจากให้ต้าหวงกลืนกินแล้ว ลั่วอู๋ก็ดูเหมือนจะไม่มีวิธีอื่น ๆ ที่ดีในการจำกัดราชาผีดิบได้
ลั่วอู๋มองไปที่ราชาผีดิบ
ราชาผีดิบเป็นชายร่างกำยำ สูงสองหรือสามเมตร สวมชุดเกราะสีทองเข้มลึกลับ มีขนสีขาวแซมไปทั่วร่างกายของเขา ใบหน้าของเขาดุร้าย และเขี้ยวของเขาก็ยื่นออกมา ซึ่งทำให้เขาน่ากลัวมาก และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเล็บสีเข้มและแหลมคมของเขา ฉายแสงเย็นวาบ ยาวและแข็งจนสามารถเจาะหินได้
ตอนนี้เขาดูไม่เปลี่ยนไปมาก
ยกเว้นผมขาวมากขึ้น
ลั่วอู๋ยื่นมือออกมา พลังทำลายล้างวนเวียนอยู่รอบปลายนิ้วของเขา
แล้วเขาก็ดีดนิ้ว
พลังแห่งการทำลายล้าง พุ่งออกไปเหมือนลำแสง ทะลวงความว่างเปล่า ทิ้งรอยดำไว้ แล้วตกลงบนหัวของราชาผีดิบ
ทักษะทีนี้ดูเหมือนจะทรงพลัง แต่ที่จริงแล้วลั่วอู๋ต้องเค้นพลังเต็มที่ทีเดียว
“ฟิ้ว!”
มีเสียงเล็กน้อย
พลังแห่งการทำลายล้างกระทบกับหัวของราชาผีดิบแต่ก็หายวับไปในทันทีไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยให้เห็น และไม่ได้รับบาดเจ็บด้วย
ใช่แล้ว แม้แต่ผมสีขาวเหล่านั้นก็ยังไม่เป็นอะไร
“มันเป็นร่างกายที่น่ากลัวมาก ถ้ามันฟื้นขึ้นมาใครจะรู้ว่ามันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น” ลั่วอู๋พูดเบา ๆ
ต้าหวงงอตัว
มันไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เจ้าของมันถึงพูดถึงเรื่องนี้
จู่ ๆ ลั่วอู๋ก็เดินเข้าไปหาราชาผีดิบและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่าเสแสร้ง มาคุยกันอย่างเปิดเผยเถอะ”
ดวงตาของต้าหวงเบิกกว้างและเขามองไปที่ร่างสูงด้วยท่าทางตกใจ
แต่ราชาผีดิบไม่ตอบสนอง
นอนเงียบ ๆ เหมือนเป็นศพ
“โอ้ ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการคุยกับข้าแล้วก็อยู่ที่นี่ตลอดไปเถอะ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ต้นกำเนิดของเจ้าฟื้นขึ้นมา” ลั่วอู๋พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
หลังจากนั้น ลั่วอู๋ก็หันหลังและพร้อมที่จะจากไป
ในเวลานี้ราชาผีดิบก็ลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาเป็นสีเหลือง มีความมืดมิดอยู่ตรงกลางรูม่านตา ราวกับงูพิษ
เมื่อเขาลืมตา พลังที่มองไม่เห็นจะออกมาจากตัวเขา
เป็นพลังที่อ่อนแอ
เห็นได้ชัดว่าการมีผนึกและการสูญเสียต้นกำเนิดไปทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังมากเกินไปได้
ลั่วอู๋หันมาแล้วพูดว่า “เจ้าตื่นแล้วสินะ”
เมื่อเขาเห็นราชาผีดิบอีกครั้ง เขาก็เดาได้ว่าเขาตื่นแล้ว เขามีพลังมากกว่าตอนที่เขาถูกพบ และเขามีผมสีขาวมากขึ้นเรื่อย ๆ
สัญญาณเหล่านี้บ่งบอกว่าเขาแข็งแกร่งขึ้น
ผนึกก็มีพลังแค่ผนึกเท่านั้น
จะไม่ทำให้เขาหลับไปอย่างยาวนานได้
แต่เดิมการนอนหลับเป็นเพียงเพื่อลดการสูญเสียความแข็งแกร่ง ในเมื่อความแข็งแกร่งของเขากำลังฟื้นตัวจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตื่นขึ้นเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน
“เจ้าคือใคร?”
ถ้อยคำโบราณและซับซ้อนถูกเปล่งออกมาจากปากแห้ง ๆ เสียงนั้นเบาและแหบมากเหมือนเสียงกระดาษทรายขัด ซึ่งทำให้แก้วหูสั่น
ลั่วอู๋ใช้จิตสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
“ข้าน่ะรึ? ข้าเป็นผู้ชนะ และผู้ปลดปล่อยของเจ้า” ลั่วอู๋ยักไหล่
เขาเงียบไปนาน “ตราบเท่าที่เจ้าช่วยข้าปลดผนึก…”
“อย่าพูดอะไรโง่ ๆ แบบนั้นสิ”
ลั่วอู๋ขัดจังหวะคำพูดของอีกฝ่ายทันที “อะไรจะล้ำค่าไปกว่าร่างกายและต้นกำเนิดของราชาผีดิบ?”
เขาพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
“เจ้าต้องการอะไร?” เดิมทีเขาต้องการสะสมพละกำลังเพื่อทำลายผนึก แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตื่นขึ้น
เขาถูกผนึกไว้นานเกินไป
แม้ว่าเขาจะเป็นราชาผีดิบ เขาก็ไม่สามารถทนความเหงาได้
ลั่วอู๋หัวเราะ “ง่ายมาก ข้าอยากรู้อะไรบางอย่าง”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“เรื่องเกี่ยวกับภูตไห”
เมื่อเอ่ยชื่อนี้ เขาดูโกรธมาก ถ้าไม่มีผนึกอยู่ เขาจะระเบิดและทำลายทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขา
ราชาผีดิบไม่ใช่คนดี
เมื่อเห็นแบบนี้ ลั่วอู๋จึงตัดสินใจ
แน่นอนว่าผนึกนั้นเป็นฝีมือของภูตไห ไม่อย่างนั้นเขาจะโกรธขนาดนี้ได้ยังไง
“หากข้าตอบคำถามของเจ้า เจ้าจะช่วยข้าแก้ผนึกไหม?” หลังจากผ่านไปนาน เขาก็สงบลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ลั่วอู๋พยักหน้า “แน่นอน”
“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับภูตไหล่ะ?”
“ทุกอย่างที่เจ้ารู้เลย”
ราชาผีดิบไม่มีอะไรให้พูดมาก
ทว่าเขาก็ยังต้องหาทางปลดผนึกออกให้ได้ และเขาสามารถฟื้นขึ้นมาได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น เขาพูดช้า ๆ
“ภูตไหเป็นชายชราที่แปลกประหลาด”
“ครั้งแรกที่ข้าเห็นเขาเมื่อ 20,000 ปีที่แล้ว ข้าไม่คิดเลยว่ามนุษย์จะมีชีวิตยืนยาวได้ขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่เป็นเวลานานโดยไม่มีการพัฒนาความแข็งแกร่งใด ๆ”
ลั่วอู๋ไม่แปลกใจ
ตามที่เขารู้ ภูตไหมีชีวิตอยู่มาอย่างน้อย 50,000 ปี
“ในตอนนั้น ข้าเจอวิกฤติและร่างกายของข้าไม่มั่นคง เขาช่วยทำให้ร่างกายของข้ามั่นคง และช่วยให้ข้าหลอมรวมร่างอมตะและร่างคงกระพันได้สำเร็จ”
“ข้าปกป้องเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ประมาณ 300 ปีได้ แล้วข้าก็จากไป”
“เขามีพลังวิเศษ ล้อมรอบด้วยกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและแปลกประหลาดอยู่เสมอ และเขาก็มักจะทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์อยู่เสมอ
“เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วอู๋ถาม
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยกตัวอย่างเช่น เขาศึกษาวิธีการฝึกฝนแบบใหม่ แล้วแอบถ่ายทอดให้มนุษย์ นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอเป็นพิเศษบางตัว หรือ… ”
“เดี๋ยวก่อน วิธีการฝึกฝนแบบใหม่?”
“ใช่แล้ว”
ลั่วอู๋สูดหายใจเข้าลึก ๆ
แน่นอนว่าวิธีการฝึกฝนพลังวิญญาณนั้นถูกสร้างขึ้นโดยภูตไห
ลั่วอู๋นึกถึงจดหมายจากหลี่ซวนจง
ในยุคของศิลปะการต่อสู้โบราณ มีจักรพรรดิสิบคนที่ปราบปรามกลุ่มชาติพันธุ์อื่นทั้งหมด และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อยู่แทบไม่ได้
จักรพรรดินั้นไม่เพียงแต่ทรงพลังแต่ยังมีชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย
ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจักรพรรดิที่จะมีชีวิตอยู่ถึง 10,000 หรือ 20,000 ปี
นั่นเป็นเหตุผลที่มียอดฝีมือสะสมอยู่เรื่อย ๆ
ทว่า หลังจากมีการฝึกฝนพลังวิญญาณ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เราต้องยอมรับว่าในเวลาต่อมา การเพาะฝึกฝนพลังวิญญาณ พลังของการทำสัญญากับสัตว์วิญญาณถูกรวมเข้าด้วยกัน และการต่อสู้ในระดับเดียวกัน ผู้ฝึกพลังวิญญาณโดยพื้นฐานแล้วจะชนะผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณ
น่าเสียดายที่ผลของการฝึกพลังวิญญาณในด้านการยืดอายุนั้นค่อนข้างแย่
แม้ว่าจะไปถึงระดับจักรพรรดิแล้วก็จะมีอายุขัยเพียงหนึ่งหรือสองพันปีเท่านั้น
แต่วิธีการฝึกฝนล้วนแล้วแต่เป็นทางเลือกของพวกเขา และไม่มีใครสามารถยืนได้ว่าพวกเขาด้อยกว่าคนอื่นเพราะวิธีการฝึกฝน ดังนั้นวิธีการฝึกฝนพลังวิญญาณจึงเป็นที่นิยม
ยิ่งกว่านั้น ในยุคที่ศิลปะการต่อสู้โบราณอันทรงพลังอยู่ในมือของตระกูลใหญ่ คนจนย่อมเต็มใจที่จะเรียนรู้การฝึกฝนพลังวิญญาณ เพื่อไล่ตามเด็กที่ร่ำรวยเหล่านั้นโดยธรรมชาติ
ดังนั้นศิลปะการต่อสู้โบราณจึงค่อย ๆ ถอนตัวออกจากเวที
มันดูเหมือนว่ามนุษย์น่าจะแข็งแกร่งขึ้น แต่แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นกำลังประสบปัญหาอย่างลับ ๆ
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวมากเกินไป
นอกจากนี้ เผ่าพันธุ์อื่นจะเริ่มมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังปรากฏขึ้น ในตอนนั้น มนุษย์จะค่อย ๆ สูญเสียอำนาจในแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าจะยังแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่มีอำนาจปกครองที่แน่นอน