ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 14 บทที่ 399 ส่งข้อความ
“ขอรับ หยวนหลินสำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไร ท่านกัวมีคำแนะนำแก่ผู้น้อยหรือไม่?”
ท่านกัวสูบยาต่อ แสงประกายวาดผ่านบนดวงตา
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงเช่นไรก็มิได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเจ้ารีบไปนอนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องออกเดินทางต่อ”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าท่านกัวจะเอ่ยเช่นนี้
อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เหตุเพราะแม้ท่านกัวจะไม่เลือดร้อนเหมือนสมัยยังหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นความมีคุณธรรมก็หยั่งรากลึกในเลือดเนื้อและกระดูกของเขา
หรือท่านกัวไม่อยากมีปัญหาก็เลยไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่ง?
มองตามแผ่นหลังเหยียดตรง หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจ
ราวกับคำพูดเหล่านั้นมิได้ออกมาจากปากของท่านกัวอย่างไรอย่างนั้น
“ช่างเถิด ในเมื่อท่านกัวเอ่ยเช่นนี้ เจ้าจงนำหนูป๋ายเซียงไปมอบให้ตงฟางสวีกับมือเถอะ จากนั้นเรื่องทุกอย่างก็จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว”
ชิวอวี้เองก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย เหตุเพราะพวกเขาหาเบาะแสเหล่านั้นเจอด้วยความยากลำบาก ทว่าแม้แต่หัวหน้าขบวนการค้ายังเอ่ยเช่นนี้ หากพวกเขายังคงดึงดันจะมิเป็นการสร้างปัญหากระนั้นหรือ?
“เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปหาตงฟางสวี”
หลินเมิ้งหยายังไม่อยากตัดใจ บางทีนางอาจไม่ใช่คนดีเต็มร้อยตั้งแต่แรก
สำหรับนาง หากไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง นางไม่มีวันลงมือทำอย่างแน่นอน
แต่อาซิ่วทำให้นางไม่อาจปฏิเสธได้
นางเปรียบเสมือนดอกทานตะวันที่เติบโตขึ้นท่ามกลางโคลนตม ไม่ว่าจะต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมากสักเพียงไหน แต่ใบหน้าของนางยังคงแย้มยิ้มกว้างอย่างสดใสเสมอ
ไร้เดียงสาทว่างดงาม ซ้ำยังมีความดื้อดึงมิยอมแพ้ง่ายๆ
นับตั้งแต่วันที่ข้ามภพมายังโลกใบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาได้พบเจอคนจิตใจบริสุทธิ์แต่เฉลียวฉลาดเช่นนี้
ความอำมหิตและการหลอกลวงค่อยๆ กลืนกินหัวใจของหลินเมิ้งหยา
ฉะนั้นหลังจากที่นางได้เห็นแสงประกายในดวงตาของอาซิ่วแล้ว นางอดที่จะช่วยอาซิ่วไม่ได้
หลินเมิ้งหยาลอบถอนหายใจ บางทีนางอาจมิได้ใจร้ายเหมือนอย่างที่ตัวเองคิด
ในที่สุดโรงเตี๊ยมอันแสนวุ่นวายก็สงบลง
เหล่าพ่อค้าในขบวนต่างพากันหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว แต่ยังมีบางห้องที่แสงไฟยังคงส่องสว่าง
หลินเมิ้งหยาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านางจะไปแจ้งข่าว แต่นางกลับไม่รู้ว่าตงฟางสวีอยู่ห้องใด
ความอึดอัดใจทำให้นางเปิดใช้งานเรดาร์เพื่อค้นหายาพิษที่คนเมืองเลี่ยหยุนมี
แต่ถ้าหากพวกเขาพักที่โรงเตี๊ยมอื่นเล่า?
หลินเมิ้งหยาก้มหน้ามองหนูป๋ายเซียงที่ข้างเอว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องมอบหนูตัวนี้ให้ถึงมือตงฟางสวี
หลินเมิ้งหยาเดินลับๆ ล่อๆ ราวกับขโมยไปทั่วโรงเตี๊ยม แต่เรดาร์กลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ แปลกเหลือเกิน หรือตงฟางสวีจะมิได้พักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้?
เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว แม้ตำบลแห่งนี้จะไม่ใหญ่ แต่ก็มีนักเดินทางผ่านไปมากค่อนข้างมาก
หรือนางจะต้องออกค้นหาทีละห้อง?
ด้านนอก สีของท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงยามบอกเวลาเท่านั้นที่อยู่เคาะฆ้องบอกเวลา
ป๋ายซ่าวยังคงอยู่ในห้องเพียงลำพัง นางมิได้กลับเข้าห้องจนดึกดื่น ไม่รู้ว่าสาวใช้ของตนเองจะตื่นตระหนกจนแทบสิ้นสติไปแล้วหรือไม่
หลินเมิ้งหยาที่กำลังรู้สึกลำบากใจขณะเดินขึ้นบันได้พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ราวกับท้ายทอยของนางถูกของบางอย่างกระทบ
สัญชาตญาณสั่งให้นางหันหลังกลับ ทว่าด้านหลังกลับไร้ผู้คน มือเล็กลูบท้ายทอยของตนเอง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
แปลก เมื่อครู่คืออะไรกันนะ?
ก้มหน้าลงโดยมิตั้งใจ ก่อนจะเห็นเป็นกระดาษสีขาวเล็กๆ ม้วนหนึ่ง
หลินเมิ้งหยามองไปรอบๆ ก่อนจะรีบเก็บมันขึ้นมา
แกะม้วนกระดาษออก ก่อนจะเห็นตัวอักษรภายใน
“ตงฟางสวีพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมจิ่นฝู ชั้นสอง ห้องแรก”
เพียงประโยคสั่นๆ แต่ความสงสัยของนางพลันคลายลง
หลินเมิ้งหยาวางกระดาษลง ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
หรือการกระทำของนางเมื่อครู่จะถูกพบเข้า?
หัวใจบีบตัวเข้าหากันราวกับถูกมือหนึ่งกำลังกำแน่น
เป็นไปได้อย่างไร…ใครกัน?
หลินเมิ้งหยาพยายามรวบรวมสมาธิ ก้มลงมองกระดาษในมืออีกครั้ง ทว่าลายมือของคนแปลกหน้านั้นมิได้ทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้
ใจเย็น นางจะต้องใจเย็น
เดินเข้าไปยังริมระเบียง ตอนนี้โรงเตี๊ยมทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของนาง
แนบหลังชิดกำแพง หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล
หากคนคนนี้ต้องการทำร้ายนาง เช่นนั้นคนคนนี้สามารถปลอมตัวเป็นลูกน้องของป๋ายหลงและเฮยฮู่แล้วอาศัยจังหวะนั้นทำร้ายนางและชิวอวี้ได้
แต่กระดาษแผ่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
หรือคิดจะล่อนางออกไป? ไม่สิ เท่าที่ดูจากข้อความ คนคนนี้จะต้องเห็นเหตุการณ์ระหว่างนางและอาซิ่วทั้งหมด
หากต้องการชีวิตนาง คนคนนั้นก็สามารถนำข่าวนี้ไปบอกป๋ายหลงและเฮยฮู่ได้
แต่ถ้าหากคนคนนี้อยากช่วย เช่นนั้นทำไมต้องทำเรื่องให้ลึกลับขนาดนี้ด้วย
สมองอันชาญฉลาดของหลินเมิ้งหยามิอาจประมวลผลออกมาได้
กระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าโรงเตี๊ยมจิ่นฝู โรงเตี๊ยมแห่งนั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำบล หากต้องเดินไป คาดว่าน่าจะใช้เวลาราวสิบนาที
แต่ถ้าหากคนคน นั้นโกหกนางเล่า?
มองกระดาษอีกครั้ง หลินเมิ้งหยาจมอยู่ในห้วงแห่งการตัดสินใจ
แต่ถ้าหากนางไม่ไป เช่นนั้นอาซิ่วก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้
กัดฟัน หลินเมิ้งหยาตัดสินใจลงบันได
เสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ากะกลางคืนรีบเข้ามาต้อนรับ หลังจากมอบเงินให้เสี่ยวเอ้อร์เล็กน้อย เขารีบช่วยนางเปิดประตูใหญ่ทันที
“ท่านลูกค้ารีบกลับมานะขอรับ ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ท่านต้องระมัดระวังให้ดี หากท่านกลับมาแล้วได้โปรดเคาะประตูเบาๆ ข้าน้อยจะรู้ได้ทันทีขอรับ”
สายตาของเสี่ยวเอ้อร์มองเงินที่เพิ่งได้รับพร้อมรอยยิ้ม หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงแล้วเดินออกนอกประตูไป
ตลาดกลางคืนเก็บหมดแล้ว คนบนถนนล้วนเป็นคนสัญจร
ทว่าท่าทางของพวกเขาค่อนข้างรีบร้อน บางทีอาจเพราะเหนื่อยมากแล้ว
หลินเมิ้งหยายืนอยู่หน้าประตู ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอีกฝั่งของตำบล ไม่ว่าจะเป็นกับดักหรือไม่ แต่เพื่อช่วยเหลืออาซิ่วนางจะขอลองดูสักครา
โชคดีที่ถนนหาได้ร้างผู้คน ยังมีร้านรวงเล็กๆ ที่กำลังปิดประตู
หลินเมิ้งหยาสาวเท้ายาวๆ ก้มหน้าเดินตรงไปราวสิบนาที ไม่นานป้ายโรงเตี๊ยมจิ่นฝูก็ปรากฏให้เห็น
ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไป เสียงร้องของระบบเซินหนงพลันดังขึ้นจนหัวนางแทบระเบิด
พบส่วนผสมของยาพิษมากมายจนน่าตกใจ
แต่โชคดีที่หน้าประตูมีเพียงยาถ่ายพยาธิเท่านั้น หาได้มีสิ่งแปลกปลอมไม่
มองซ้ายมองขวา หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครติดตามตนเองมา หลินเมิ้งหยาจึงรวบรวมความกล้ายื่นมือเข้าไปเคาะประตู
เคาะเบาๆ สามครั้ง ด้านในมีเสียงตอบรับ
ประตูโรงเตี๊ยมบานใหญ่สีเหลืองถูกเปิดออก จากนั้นใบหน้าน่ากลัวโผล่ออกมาอยู่ที่ระดับเอวของหลินเมิ้งหยา
มันคือใบหน้าผิดรูปของชายคนหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอย ดังนั้นจึงมองอายุของเขาไม่ออก
ทว่าดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นจับจ้องคุณชายในชุดขาวตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
อยู่ๆ เขาหยักยิ้มแปลกประหลาดออกมา ขณะเดียวกัน ริมฝีปากสีแดงอมม่วงเผยให้เห็นชองปากที่มีฟันหลุดออกไปหลายซี่ หลินเมิ้งหยาตกใจจนแทบวิ่งหนี
“คุณชาย โรงเตี๊ยมของพวกเราถูกเหมาหมดแล้ว หากท่านหาที่พัก ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยมว่างอยู่”
เสียงแหบแห้งดังออกมา น้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความไม่พอใจ
หลินเมิ้งหยาไม่มีเวลาให้นึกหวาดกลัว นางรีบอธิบาย
“ข้ามาหาผู้อาวุโสตงฟางสวี ข้ามาที่นี่เพราะมีข่าวของหลานสาวเขา”
เพียงได้ยินชื่อตงฟางสวี ใบหน้าน่าสยดสยองตรงหน้าแสดงท่าทางครุ่นคิด
หลินเมิ้งหยารีบแสดงสีหน้าจริงใจเพราะกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ
“รอสักครู่ ข้าจะไปถามท่านลูกค้าด้านบนก่อน ด้านนอกอากาศหนาว ท่านเข้ามาข้างในก่อนเถิด”
ประตูใหญ่ถูกเปิดออก
นางเพิ่งมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเสี่ยวเอ้อร์คนนี้คือชายชราหลังค่อม
ก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่เท่าลูกบอลโผล่ขึ้นที่กลางหลังของเขา ชุดผ้าหยาบสีฟ้าสะอาดสะอ้าน
ชายชรานำทางนางมาที่ใจกลางห้องโถง นางสังเกตเห็นว่าที่นี่มีเตาผิงด้วย ภายในกองไฟมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันฝรั่ง ชายชราเทน้ำอุ่นให้นางหนึ่งแก้ว
นำเบาะนั่งมาให้กับนาง หลินเมิ้งหยารีบค้อมตัวคารวะขอบคุณ ตอนนี้ภาพลักษณ์ของชายชราหลังค่อมในสายตานางดีขึ้นมาก
“คุณชาย ข้าจะไปสอบถามแทนท่านเดี๋ยวนี้ ที่นี่มีของกินที่เผาสุกแล้ว หากท่านหิวก็สามารถกินก่อนได้”
คิดไม่ถึงเลยว่าชายชราหน้าตาอัปลักษณ์จะอบอุ่นจริงใจถึงเพียงนี้
หลินเมิ้งหยารีบลุกขึ้นขอบคุณ สายตาไร้ซึ่งการดูแคลน
อันที่จริงเมื่อครู่นางรู้สึกกระวนกระวายกับกระดาษแผ่นนั้น
ทว่าบรรยากาศอบอุ่นในเวลานี้ทำให้หัวใจของนางสงบลง สายตามองใบหน้าของชายชราผ่านทางโคมไฟ นางไม่รู้สึกหวาดกลัวเขาอีกแล้ว
“รบกวนท่านแล้ว”
ชายชราซึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดหยุดชะงัก ก่อนจะส่งเสียงว่าไม่เป็นไรสั้นๆ
มือกุมน้ำอุ่น หลินเมิ้งหยามองไปรอบๆ
เมื่อเทียบกันแล้ว โรงเตี๊ยมจิ่นฝูไม่ได้เล็กไปกว่าโรงเตี๊ยมที่พวกนางพักอาศัย
แต่ที่นี่สงบกว่ามาก
บางทีอาจเพราะตงฟางสวีเหมาโรงเตี๊ยมแห่งนี้เอาไว้จนหมด
สายตาเหลือบมองทางมันเผา
คืนนี้นางยุ่งอยู่กับเรื่องของอาศัยจนลืมเรื่องกระเพาะของตนเองไปเสียสนิท
แต่แม้อีกฝ่ายจะบอกนางว่ากินได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็คงเอ่ยตามมารยาทแต่เพียงเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาฝืนดื่มน้ำอุ่นเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง ทว่าสายตายังคงจับจ้องมองมันเทศอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่ของไม่มีราคาค่างวดอันใด หากคุณชายต้องการก็สามารถกินมันได้”