ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1202 แก้ต่างแทน
ตอนที่ 1202 แก้ต่างแทน
แค่ประโยคง่ายๆ ไม่กี่คำ รวมถึงความมั่นใจที่มากเกินไป ทำให้ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถยอมรับได้ชั่วขณะ จึงเกิดช่วงเวลาเงียบงันอย่างหาได้ยาก
นางได้ครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อที่สำนักได้แย่งชิงมาอย่างยากลำบาก
ตอนที่นางหมดสติ หรงซิวได้อุ้มนางกลับมา
ทั้งสองคนอยู่ในห้องรโหฐานเช่นนี้ แล้วให้ผู้อาวุโสทั้งหลายรออยู่ด้านนอก…
ฉู่หลิวเยว่นวดขมับของตนเอง
นางรู้สึกว่าตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องออกไป
ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่เช่นตอนนี้ หากนางเดินก้าวข้ามธรณีประตูนั้นไป เกรงว่านางจะตายโดยไร้ที่ฝังศพอย่างแน่นอน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านนอกพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“ศิษย์พี่หรงซิว ศิษย์น้องฉู่เยว่ฟื้นหรือยัง? ผู้อาวุโสวั่นเจิง และคนอื่นๆ เป็นห่วงมาก พวกเขาบอกว่าหากยังไม่ฟื้น พวกเขาจะเข้ามาดูด้วยตนเอง”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เมื่อหรงซิวเห็นใบหน้าที่น่าสงสารของนาง ก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้
หลังจากนั้นเขาถึงได้พูดขึ้นด้วยเสียงดังว่า
“ไปบอกผู้อาวุโสว่าเขาตื่นแล้ว ขอพักสักครู่ แล้วข้าจะพาเขาออกไป”
“ขอรับ”
ท่าทางของชายหนุ่มคนนั้นที่ปฏิบัติต่อหรงซิวก็เต็มไปด้วยความเคารพ หลังจากเขาตอบรับเสียงเบา ก็รีบจากไปทันที
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงเพราะความสิ้นหวัง
“หากข้าออกไป ข้าจะไม่โดนตีจนตายใช่หรือไม่?”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเรียบ
“ใครจะกล้า?”
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่น้ำเสียงของเขาก็สูงขึ้นเล็กน้อย พร้อมยังแฝงด้วยแรงกดดัน เผด็จการ และแข็งแกร่ง
แต่สีหน้าเช่นนั้นก็ปรากฏขึ้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น
เขาลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็อุ้มคนในอ้อมกอดลงมาด้วย
“เจ้าจะสวมเสื้อผ้าเอง หรือว่าจะให้ข้าช่วย?”
ความจริงแล้วเพื่อให้ฉู่หลิวเยว่พักผ่อนได้สบายมากยิ่งขึ้น เขาจึงถอดเสื้อนอกของนางออกเท่านั้น เสื้อผ้าด้านในยังคงสภาพเดิม
แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของเขา ยังมีความอบอุ่นที่ไม่ทราบสาเหตุเพิ่มขึ้นอีกสามส่วนด้วย
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองหน้าเขา
“ในเวลาเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีแก่ใจมาล้อเล่นอีกหรือ?”
อีกเดี๋ยวต้องออกไป แล้วนางจะรับมือกับผู้อาวุโสเหล่านั้นอย่างใด นางยังไม่รู้เลย!
หรงซิวจูบใบหน้าของนาง ก่อนจะวางนางลงอย่างไม่เต็มใจ แล้วยิ้มขึ้นบางๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะกังวลจริงๆ ว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นจะปฏิบัติอย่างใดกับเจ้า ช่างเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งสวมเสื้อคลุม ตอนนี้นางกำลังหวีผมตอนนี้อยู่ เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น นางจึงเหลือบสายตาไปมอง
“อันใดหรือ?”
“ไม่มีอันใด”
สีหน้าของหรงซิวยังคงปกติ ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มอยู่หลายส่วน
“ความจริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นจะต้องกังวลมากเกินไป ส่วนหนึ่งเรื่องของอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ เป็นเรื่องอุบัติเหตุทั้งนั้น เจ้าไม่ได้ตั้งใจ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเจ้า นี่เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
มีหรงซิวอยู่ ฉู่หลิวเยว่มักจะรู้สึกอุ่นใจเสมอ
ความจริงแล้วนางกำลังคิดว่า นางจะตอบคำถามผู้อาวุโสเหล่านั้นอย่างใด
เรื่องที่นางจะต้องอธิบายมีมากมายเต็มไปหมด
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ไปกันเถอะ!”
…
ภายในห้องโถง มีเพียงความเงียบ
ผู้อาวุโสหลายคนนั่งกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ
เว่ยซีผิงและคนอื่นๆ ถูกพวกเขาส่งกลับไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่ ล้วนเป็นบุคคลสำคัญของสำนักหลิงเซียวทั้งนั้น
แม้กระทั่งผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ด้านนอกก็ยังมา
ไม่มีใครพูดอันใดเลยแม้แต่คนเดียว
สีหน้าของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไป แต่ก็ดูซับซ้อน สับสนกันทั้งหมด
บางครั้งคนเหล่านั้นก็ยังมองไปทางผู้อาวุโสวั่นเจิงที่นั่งอยู่ด้านหน้า
ผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ความจริงแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดอย่างใด
ในสมองของเขาเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เดิมทีเขาคิดว่าตนเองได้รับศิษย์ที่มีพรสวรรค์มา จึงรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งได้รู้ว่า ศิษย์ผู้นี้…ได้ซ่อนความสามารถเอาไว้ลึกมาก!
อีกทั้งยังสร้างปัญหาได้เก่งมาก!
ตอนนี้แม้กระทั่งเขายังไม่รู้เลยว่าจะช่วยแก้ต่างให้กับเด็กคนนี้อย่างใด!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถง ก็รีบเงยหน้าขึ้นมอง!
เห็นเพียงเงาร่างของคนสองคน คนหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนหนึ่งเดินตามหลัง
คนที่เดินอยู่ด้านหน้า คือหรงซิวที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
และคนที่เดินตามหลังเขาหนึ่งก้าว ก็คือฉู่เยว่ที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องโถง
สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องมาที่พวกเขา
หากพูดให้ถูกต้องก็คือ สายตาของพวกเขามองไปที่ฉู่หลิวเยว่
ความจริงแล้ว ตอนที่หรงซิวปรากฏตัวในสำนักศึกษา เขาต่างเป็นจุดสนใจของทุกผู้คน
การที่เขาต้องปรากฏตัวพร้อมกับผู้อื่นดั่งเช่นตอนนี้ ทุกคนกลับหลงลืมตัวตนของเขาไป
ต่อให้ฉู่หลิวเยว่จะหลุบสายตาลงต่ำ แต่นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตามากมายนับไม่ถ้วนที่กำลังจ้องมองนางอยู่ ทำให้เหมือนมีหนามแหลมทิ่มแทงอยู่ด้านหลัง
“หรงซิวคารวะผู้อาวุโสทุกท่าน ทำให้พวกท่านรอนานแล้ว”
หรงซิวทำความเคารพอย่างมีมารยาท และเกรงอกเกรงใจ
ฉู่หลิวเยว่เดินตามมา
“ศิษย์ฉู่เยว่ คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน”
ในตอนนั้นเองไม่มีใครพูดอันใด
ฉู่หลิวเยว่ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ย่ำแย่เล็กน้อย
ยังดีที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพูดขึ้นมาก่อนคนแรก
“หรงซิว เจ้านั่งลงก่อน”
หรงซิวส่ายหน้า แล้วพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ผู้อาวุโสทุกท่านอยู่ที่นี่ หรงซิวจะกล้านั่งได้อย่างใด”
หรงซิวปฏิเสธอย่างสุภาพ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจึงไม่ได้พูดอันใดต่อ
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม นิสัยของเขาก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เขาอยากจะทำอันใด ไม่ทำอันใด ล้วนฟังความคิดเห็นของตนเองทั้งสิ้น คนอื่นจะพูดอย่างใดก็ไม่มีประโยชน์
ดังนั้นผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจึงเบนสายตาไปยังฉู่หลิวเยว่
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองสำรวจศิษย์ใหม่อย่างใกล้ชิด
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกประทับใจกับศิษย์คนนี้มากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่สามารถมองได้อย่างละเอียด
แต่วันนี้กลับจำเป็นต้องมองให้ลึกยิ่งขึ้น
ความจริงแล้วสำหรับเขาชื่อ “ฉู่เยว่” ไม่ใช่เป็นคนแปลกหน้า
อีกฝ่ายสามารถผ่านการประเมินต้นเดือนได้อย่างราบรื่น และกลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสวั่นเจิงหลังจากเข้าสำนักมาได้หนึ่งวัน ก็ถูกขังในเขาเฝิงหมิน
ไม่ว่าจะพูดถึงด้านไหน ก็ล้วนทำให้ผู้คนประทับใจทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นในวันนี้ยังก่อเรื่องใหญ่เสียด้วย
“ฉู่เยว่?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนลูบเคราของตนเอง สีหน้าสงบราบเรียบ
“ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
ฉู่หลิวเยว่รีบตอบว่า
“ศิษย์ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่ใส่ใจ”
“เหอะ”
ทันใดนั้นด้านข้างก็มีเสียงเย้ยหยันดังขึ้น
“คิดว่าเขาใส่ใจเจ้าจริงๆ หรือ หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้ายึดครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ…”
“กวนเหอ”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเรียกเขาด้วยเสียงดังขึ้น พร้อมส่งสายตากล่าวเตือน
ผู้อาวุโสกวนเหอแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะเบือนหน้าออกไป
“หรือว่าข้าพูดผิดตรงไหน? ทุกคนในสำนักต่างร่วมกันปกปิดแผนการเป็นเวลานานหลายเดือน รวบรวมกำลังจากทุกฝ่าย กว่าจะได้ของสิ่งนั้นมาก็ยากลำบาก อีกทั้งในตอนที่นำมันกลับมา ยังไม่ทันได้เข้าประตูสำนักเลย มันก็กลายเป็นของเจ้าเสียแล้ว! ไม่ว่าอย่างใดเจ้าก็จะต้องอธิบายเรื่องนี้ออกมาให้ได้!”
น้ำเสียงของเขากล่าวโทษฉู่หลิวเยว่อย่างไม่ปิดบัง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น ในตอนที่เขากำลังจะพูดอันใดบางอย่าง แต่หรงซิวก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า
“ผู้อาวุโสกวนเหอ พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อได้มาอย่างยากลำบากนั้นเป็นความจริง และตอนนี้ได้กลายเป็นของศิษย์น้องฉู่เยว่ก็เป็นความจริง แต่ เรื่องนี้จะโทษเขา*ไม่ได้”
“หรงซิว คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะแก้ต่างแทนเขา? ให้นำของชิ้นนั้นกลับมา เจ้าจะต้องประสบกับความยากลำบากเท่าใด แต่นี่เจ้ายัง…”
ท้ายที่สุดแล้วของชิ้นนี้ก็อยู่กับตัวของหรงซิวมาโดยตลอด และเขาเป็นคนที่โดนล้อมเอาไว้
นับว่าเขาเป็นคนที่มีสิทธิ์ที่จะพูดมากที่สุดคนหนึ่ง
หรงซิวยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้จะพูดแก้ต่างแทนเขา แต่ที่ข้าพูดคือความจริง”
ตามต้นฉบับ หรงซิวได้ใช้คำสรรพนามว่า (ทา) ซึ่งหมายถึง สรรพนามบุรุษที่สามที่เป็นผู้หญิง ซึ่งพ้องเสียงกับ (ทา) สรรพนามบุรุษที่สามที่เป็นผู้ชาย ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสจึงไม่ทราบว่าฉู่เยว่ที่หรงซิวกล่าวถึง เป็นผู้หญิง หรือผู้ชายจากการเรียกครั้งนี้ อีกทั้งผู้แปลมีเจตนารักษาความแปลกต่าง หากผู้อ่านมีคำชี้แนะสามารถติชมได้เลยค่ะ