ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1203 เจ้าทะลวงค่ายกลได้อย่างใด
ตอนที่ 1203 เจ้าทะลวงค่ายกลได้อย่างใด
“ตอนนั้นก็มีผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เชื่อว่าทุกท่านสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นศิษย์น้องฉู่เยว่ต้องแย่งชิงของชิ้นนั้นกลับมา ไม่ยอมปล่อยให้ตกอยู่ในมือจินเหลย เขาไม่ได้ตั้งใจยึดครองเป็นของตนเอง หากไม่ใช่เพราะถูกจินเหลยโจมตี ศิษย์น้องฉู่เยว่ก็จะไม่มีทางชนเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ และจะไม่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น”
น้ำเสียงของหรงซิวราบเรียบอย่างมาก อีกทั้งฟังแล้วค่อนข้างเป็นกลาง
เมื่อเขาพูดจบ ผู้อาวุโสหลายคนก็มีท่าทีเห็นด้วย
“ถูกต้อง สถานการณ์ในตอนนั้นเป็นเช่นนี้จริงๆ”
“ข้าเองก็สามารถรับประกันได้ เด็กคนนั้นน่าจะไม่ได้ตั้งใจ…”
ผู้อาวุโสกวนเหอขมวดคิ้วแน่นเป็นปม แล้วโต้เถียงขึ้นมาว่า
“อย่ามองเพียงแต่ภายนอกเท่านั้น! ท้ายที่สุดแล้ว นั่นก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ! เพื่อของชิ้นนี้ สำนักปีกสุวรรณติดตามไล่ฆ่าพวกเรามาจนถึงเมืองฝางโจวอย่างไม่ลังเล ไม่มีใครรู้ว่าจะมีคนฉวยโอกาสลอบเข้ามาหรือไม่?”
ในที่สุดผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ถามขึ้นมาอย่างอดทนไม่ไหว
“กวนเหอ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”
“ข้าหมายความว่าอย่างใดทุกคนล้วนเข้าใจ ฉู่เยว่ เหตุใดทุกอย่างจึงกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าน่าจะเป็นคนที่รู้ดีมากที่สุดไม่ใช่หรือ?”
สำหรับคำอธิบายของหรงซิว เดิมทีผู้อาวุโสกวนเหอไม่ได้จริงจังอันใดกับมันเลย
“แม้ว่าตอนแรกจะปิดข่าวนี้อย่างเข้มงวด หลังจากที่เกิดเรื่องที่เมืองฝางโจว คนในสำนักจำนวนไม่น้อยต่างรู้เรื่องนี้แล้ว ในจุดนี้ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนสามารถเป็นพยานให้ได้ใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนชะงักไป
“…ตอนนั้นอาจจะมีคนได้ข่าวมาโดยบังเอิญ…แต่ว่านี่ไม่ใช่หลักฐานที่จะเอาผิดกับเด็กได้”
“เหอะ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องผลประโยชน์ เหตุใดเขาถึงกล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้? ในความคิดของข้าเขาลอบวางแผนเอาไว้ในใจแล้ว ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงปรากฏตัวต่อหน้าหรงซิวทันที มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก ที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อชิ้นนั้นจะไม่มีจิตวิญญาณแห่งอาวุธ แล้วจิตวิญญาณแห่งกระบี่ของเขาก็ฉวยโอกาสมาครอบครอง!”
ทุกคนเงียบเสียงลงอีกครั้ง
แม้กระทั่งผู้อาวุโสวั่นเจิง ริมฝีปากก็กระตุกไปเล็กน้อย แต่ไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้
ไม่พูดเรื่องก่อนหน้านี้ แต่หากดูทีหลังนี้ มันก็บังเอิญมากจริงๆ
สิ่งนี้ย่อมทำให้คนเกิดความรู้สึกสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรงซิวพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ผู้อาวุโสกวนเหอ รู้หรือไม่ว่าจินเหลยมีพลังอยู่ในระดับใด?”
ผู้อาวุโสกวนเหอชะงักไป
ในตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ได้ประมือกับพวกเขา
แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง ดังนั้นจึงนับว่าพอเข้าใจอยู่บ้าง
“ระดับเทพ”
หรงซิวพยักหน้า
“ถูกต้อง เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับเทพ อีกทั้งยังสามารถหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ได้ครึ่งร่างแล้ว”
ในจุดนี้ ไม่ค่อยมีใครได้ตกใจมากนัก
ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถผ่านระดับเทพได้ ล้วนต้องการหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ของตนเองให้ได้เร็วที่สุด นั่นถือเป็นเรื่องปกติ
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ ตอนนี้ศิษย์น้องฉู่เยว่ อยู่ในระดับใด?”
กวนเหอชะงักไป จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างหมดความอดทน
“เขาเป็นศิษย์ใหม่ อีกทั้งไม่ใช่ศิษย์ของข้า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างใด!”
หรงซิวหันไปมองทางผู้อาวุโสวั่นเจิง
“ผู้อาวุโสวั่นเจิง ท่านคืออาจารย์ของเขา น่าจะรู้จักเขาดีที่สุดใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงลังเลอยู่เล็กน้อย
“ระดับเจ็ดขั้นกลาง”
ผู้อาวุโสกวนเหอเถียงขึ้นทันที
“ในตอนนั้นเขาแสดงพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ เขาจะอยู่ในระดับเจ็ดได้อย่างใด!”
ในเรื่องนี้เขาฟังจากผู้อาวุโสทั้งหลายพูดกัน ไม่มีทางเป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน!
“ฉู่เยว่อยู่ในระดับนี้จริงๆ”
คนที่พูดขึ้นไม่ใช่ผู้อาวุโสวั่นเจิง แต่เป็นผู้อาวุโสเหวินซี
ใบหน้าของเขามีความเคร่งเครียด และจริงจังอย่างหาได้ยาก ก่อนจะพูดออกมาทีละคำ
“ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนทดสอบพลังของเขาก่อนรับเข้าสำนักด้วยตนเอง ตอนนั้นเขายังอยู่ในระดับเจ็ดขั้นต้น แล้วเพิ่งทะลวงระดับเจ็ดขั้นกลางได้ไม่นานมานี้ ข้าสามารถใช้ชื่อเสียงมารับประกันได้ เพราะสิ่งที่ข้าพูดนั้นล้วนเป็นความจริง”
ผู้อาวุโสกวนเหอพูดอันใดไม่ออกสักพักหนึ่ง
ผู้อาวุโสเหวินซีพูดออกมาขนาดนี้แล้ว ดังนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง
“เช่นนั้น แล้วพลังปราณศักดิ์สิทธิ์นั้นเล่า!”
ทุกคนต่างหันมามองฉู่หลิวเยว่เป็นตาเดียว
ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้พูด ฉู่หลิวเยว่ลอบถอนหายใจ แล้วกล่าวอธิบายว่า
“พลังปราณศักดิ์สิทธิ์สายนั้น ก่อนหน้านี้ศิษย์เคยได้รับมาจาก…ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง”
แน่นอนว่า นางไม่สามารถพูดได้ว่านางแย่งชิงมา
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้งภายในห้อง
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองหน้ากัน
เหตุผลนี้เหมือนจะเข้าท่านะ…
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้อาวุโสวั่นเจิง และผู้อาวุโสเหวินซีไม่จำเป็นต้องโกหกเรื่องเหล่านี้เพื่อศิษย์คนหนึ่ง
“เรื่องที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อไม่มีจิตวิญญาณอาวุธ เป็นเรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึง”
ผู้อาวุโสซูเฟิงพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“แม้กระทั่งพวกเรา ก็เห็นมันกำเนิดขึ้นมาด้วยตาของตนเอง แม้ว่าในภายหลังพยายามจะนำมันกลับมา แต่ในระหว่างทางก็ไม่ได้สัมผัสความผิดปกติใดๆ”
“แม้กระทั่งพวกเรายังไม่รู้ เช่นนั้น…ฉู่เยว่ที่อยู่ในสำนักมาโดยตลอด น่าจะยิ่งไม่รู้เรื่องมากกว่า หากพูดว่าเขามีแผนการลับ ข้าว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งกระบี่เล่มนั้นของเขา ข้าก็เคยเห็นมาก่อน มันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง ตามหลักการแล้ว วิญญาณกระบี่ที่อยู่ภายใน ไม่สามารถยึดครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อได้ แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นไปแล้ว”
“ด้วยความเห็นของข้า บางที…เด็กคนนั้นน่าจะมีวาสนากับของชิ้นนี้!”
ผู้อาวุโสซูเฟิงเป็นคนที่เปิดเผยอย่างยิ่ง
“ความจริงแล้วในครั้งนี้พวกเราก็ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมาก แม้ว่าจะไม่สามารถอัญเชิญกับสำนักได้ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้มันอยู่ด้านนอก แม้ว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นของฉู่เยว่ แต่เขาก็เป็นศิษย์ของสำนักเรา ตอนนี้ก็นับว่ามันสามารถกลับสำนักเราด้วยแล้ว หากดูจากมุมนั้นแล้ว ถือเป็นการสืบทอดมรดกของผู้อาวุโสท่านนั้น ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ทุกคนมีความเห็นว่าอย่างใด?”
สิ่งที่เขาพูดมานั้นมีเหตุผลมาก ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต่างพยักหน้าต่างคล้อยตาม
ไม่ว่าอย่างใดของชิ้นนั้นก็ได้ยอมรับนายแล้ว นอกเสียจากฉู่เยว่จะตายวิญญาณสลาย ของเช่นนั้นถึงจะกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง
แต่พวกเราก็ไม่สามารถฆ่าฉู่เยว่ได้ใช่หรือไม่?
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นศิษย์ของสำนัก
อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น
ประเด็นที่สำคัญกว่านั้น ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด
อย่างน้อยเขาก็ได้ช่วยหรงซิวเอาไว้
ลำพังเพียงจุดนี้ ก็ยากที่จะตัดสินแล้ว
ผู้อาวุโสกวนเหอหน้าเปลี่ยนสี สุดท้ายก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น และไม่ได้พูดอันใดอีก
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมองไป สีหน้าของเขาอ่อนโยนขึ้นมาก
“เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้ว! เช่นนั้นก็ให้ทุกคนยอมรับโดยตรงเถอะ! เพียงแต่หลังจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง ห้ามทำลายชื่อเสียงของสำนัก และผู้อาวุโสท่านนั้นโดยเด็ดขาด”
นี่หมายความว่า…ไม่ต้องการจะสืบสาวราวเรื่องอีกแล้วใช่หรือไม่?
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก จึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ ศิษย์จะจดจำเอาไว้!”
เดิมทีนางคิดว่าเรื่องนี้จะจัดการได้ยาก แต่เพราะว่าอาจจะมีแรงสนับสนุนจากหรงซิว ผู้อาวุโสวั่นเจิง และคนอื่นๆ ถือว่าสามารถแก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น
อย่างน้อยเรื่องที่หรงซิวอุ้มนางกลับมา อีกทั้งผู้อาวุโสทั้งหลายก็ยังไม่สนิทสนมกับนางมาก ผู้อาวุโสทุกท่านจึงไม่ได้ถามอันใดต่อ
ฉู่หลิวเยว่คิดว่าบางทีเมื่อเทียบเรื่องนี้กับเรื่องอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อแล้ว เรื่องนี้ไม่คู่ควรที่จะพูดถึงเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้สนใจ
อย่างใดก็ตามตอนนี้นางเพิ่งจะได้ถอนหายใจออก ด้านข้างก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น แต่กลับทำให้หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวาบ!
“ฉู่เยว่”
คนที่พูดนั้นคือผู้อาวุโสฮวาเฟิง
ตั้งแต่ฉู่หลิวเยว่เข้ามา เขาก็มองนางอย่างเงียบๆ อยู่ตลอด และในตอนนี้เขาก็พูดขึ้นมา
เขานั่งเหยียดตัวตรง พร้อมมองเข้ามาในสายตาฉู่หลิวเยว่ ราวกับต้องการจะมองทะลุทะลวงความคิดของนาง!
เขาถามขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า
“เจ้าทะลวงออกจากค่ายกลของสำนักโดยไม่มีใครทราบได้อย่างใด?”