ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1093 อายุสี่ร้อยล้านปี
บทที่ 1093 อายุสี่ร้อยล้านปี
ข้อเสนอของเหล่าจื่อได้รับความเห็นชอบจากเหล่าดวงจิตมหามรรค
สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานฮวงแล้ว ยังคงต้องขอความร่วมมือจากอาณาเขตโลกมหามรรคอื่นๆ ถึงจะมีโอกาสชนะ
เทพมหาทัณฑ์ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ ในสถานการณ์ที่ฝูงชนตื่นตระหนกกันเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องเริ่มออกคำสั่งออกไป ให้เหล่าดวงจิตมหามรรคแยกย้ายกันไปเจรจาขอความร่วมมือ
รอจนจัดเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น เหล่าดวงจิตก็จากไป
เทพมหาทัณฑ์กลับมายังมิติของตน จากนั้นก็เข้าฝันหานเจวี๋ย
เขามาเข้าฝันน้อยครั้งยิ่ง หานเจวี๋ยจึงตอบรับคำขอเข้าฝันของเขา
ในแดนความฝัน เทพมหาทัณฑ์เล่าถึงปัญหาที่หานฮวงจะต้องเผชิญ
“เรื่องนี้เชื่อมโยงทั่วทั้งฟ้าบุพกาล ข้าจำเป็นต้องจัดการไปตามสถานการณ์ขอรับ” เทพมหาทัณฑ์เอ่ยอย่างกระวนกระวาย ไม่ทราบว่าถึงความคิดที่หานเจวี๋ยมีต่อหานฮวง
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ เจ้าจงปฏิบัติหน้าที่ผู้นำดวงจิตมหามรรคให้ดี หากถึงคราวที่เจ้าจำเป็นต้องลงมือ เจ้าก็ลงมือได้เลย”
“เช่นนั้นหานฮวง…”
“นี่คือชะตากรรมของเขา”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
แววตาเทพมหาทัณฑ์วูบไหว ชั่วพริบตานั้นนึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่างขึ้นมา
แต่เขาเพียงคิดเท่านั้น ไม่กล้าถามให้มากความ
แดนความฝันสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยไม่สนใจอีก ฝึกบำเพ็ญต่อไป
ตอนนี้เขาจดจ่ออยู่กับเทพผู้สร้างเท่านั้น
โลกปฐมยุคทำลายพื้นที่ดินแดนเวิ้งว้างไปเรื่อยๆ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปราณปฐมยุคภายในโลกก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
สิ่งมีชีวิตจากโลกมหามรรคอื่นๆ หลั่งไหลเข้าสู่โลกปฐมยุคผ่านทางยมโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่สิ่งมีชีวิตเริ่มดูดซับเอาปราณปฐมยุคเข้าไปแล้วด้วย เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตปฐมยุค
สำหรับเรื่องนี้หานเจวี๋ยทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างไปเสีย มอบให้เป็นหน้าที่ของเหล่าเทพมารปฐมยุค เผ่าเทพปฐมยุคและเผ่าเอกา
ตอนนี้ สามกลุ่มอิทธิพลเป็นชนชั้นปกครองในโลกปฐมยุคแล้ว แต่ละกลุ่มแบ่งเขตปกครองกัน ระเบียบวินัยภายในโลกปฐมยุคถูกบัญญัติขึ้นแล้ว
เทพมารชีวิตและเผ่าเอการ่วมมือกันบัญญัติระเบียบในยมโลกขึ้น เมื่อสิ่งมีชีวิตของโลกมหามรรคอื่นเข้าสู่โลกปฐมยุคล้วนจะถูกดักเอาไว้ในยมโลก หลังผ่านการกักตัวไประยะหนึ่งถึงจะปล่อยออกมา
ทุกอย่างที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหานเจวี๋ยล้วนพัฒนาไปในทางที่ดี
การปิดด่านของเขาไม่มีกำหนดเวลาอีกต่อไป เริ่มปิดด่านอย่างไร้กำหนด
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบล้านกว่าปีแล้ว
หานเจวี๋ยอายุครบสี่ร้อยล้านปี
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสี่ร้อยล้านปีบริบูรณ์แล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากปิดด่านทันที กลืนกินโลกมหามรรคอื่นๆ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน โอกาสยกระดับความสามารถของระบบหนึ่งครั้ง]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน โอกาสยกระดับความสามารถของระบบหนึ่งครั้ง]
[ท่านได้รับสวรรค์ประทานโชคหนึ่งครั้ง]
สองตัวเลือกเหมือนกันทุกประการ ไม่ต่างกันเลย
หานเจวี๋ยเลือกข้อที่สองอย่างเงียบๆ
[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน โอกาสยกระดับความสามารถของระบบหนึ่งครั้ง]
หานเจวี๋ยเลือกความสามารถของระบบที่ต้องการ
[ท่านเลือกยกระดับหมื่นโลกาฉายชัด]
[เริ่มยกระดับหมื่นโลกาฉายชัด]
จากนั้นก็แค่รอ
สำหรับเขาแล้วหมื่นโลกาฉายชัดไม่มีประโยชน์มากนัก แต่กลับเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้สำนักซ่อนเร้นมาพบปะกันได้แม้จะอยู่กันคนละทิศละทาง
ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด เหล่าศิษย์สืบทอดก็สามารถติดต่อพบปะกันผ่านหมื่นโลกาฉายชัดได้ รักษาการติดต่อกันเอาไว้ได้ตลอด แม้จะมีข้อบาดหมางกันบ้าง ศิษย์คนอื่นๆ ก็สามารถเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยผ่านหมื่นโลกาฉายชัดได้
หลังจากหานเจวี๋ยเลือกเสร็จก็ฝึกบำเพ็ญต่อไป
ในช่วงยี่สิบล้านกว่าปีมานี้ ฟ้าบุพกาลเรียกได้ว่าตกอยู่ในความตึงเครียดอย่างยิ่ง
อนธการและฟ้าบุพกาลเปิดฉากต่อสู้น้อยใหญ่มากมายหลายครั้ง ความแข็งแกร่งของหานฮวงดึงดูดผู้ติดตามได้นับไม่ถ้วน ยินดีกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอนธการเริ่มบุกเบิกอนธการไปด้วยกัน ตอนนี้หานฮวงทรงอำนาจอย่างยิ่ง นอกเหนือจากกลุ่มอิทธิพลของเทพธิดาหมิงจี้และกองทหารมารอนธการนับไม่ถ้วนแล้ว ทุกวันล้วนจะมีสิ่งมีชีวิตอนธการนับไม่ถ้วนเข้าสู่สังกัดของเขา
หานฮวงสร้างสระอนธการแห่งหนึ่งขึ้นมาในเขตใจกลางของกลุ่มอิทธิพลอนธการ
ขอเพียงลงสู่สระอนธการแล้วรอดชีวิตมาได้ก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอนธการ คุณสมบัติเทียบเคียงกับเทพมารฟ้าบุพกาล หลังจากมีข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทำให้มีผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนบ้าคลั่งขึ้นมา
คุณสมบัติยังคงเป็นด่านที่ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ล้วนยากจะก้าวข้ามไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญที่ฝึกด้วยวิถีใดล้วนมีอุปสรรคเช่นนี้ทั้งสิ้น
ข่าวลือสระอนธการทำให้สรรพสิ่งเกิดความฉงนคลางแคลง แต่พอมีคนทำสำเร็จความคลางแคลงก็เปลี่ยนแปลงเป็นความบ้าคลั่ง
เรื่องนี้ทำให้เหล่าดวงจิตมหามรรคปวดหัวยิ่งนัก
หานฮวงไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ก็ไม่กล้าเปิดฉากก่อน กลัวจะกลายเป็นศัตรูลำดับต้นๆ ของหานฮวง
แม้แต่สำนักเลิศนพวิถีที่แต่ก่อนประกาศว่าจะสยบหานฮวงก็เงียบไปเช่นกัน จ้าวซวงเฉวียนราวกับโดนทำของใส่ ยังคงเผยแพร่ตำนานของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการต่อไป ราวกับไม่ทราบว่าหานฮวงจะถล่มฟ้าบุพกาลแล้ว
สรุปคือสรรพสิ่งทั่วฟ้าบุพกาลต่างรับรู้ได้ว่ามหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่กำลังจะมาเยือน!
….
ณ อนธการ ปราณสีม่วงมหาศาลครอบคลุมอยู่ภายในห้วงอวกาศ ดูราวกับปราณอนธการจริงๆ
ภายในตำหนักใหญ่มืดมัวหลังหนึ่ง หานฮวงนั่งสมาธิอยู่ พลังเวทแผ่ออกมาจากสองฝ่ามือ รวมตัวก่อร่างเป็นทหารมารอนธการอย่างต่อเนื่อง ทหารมารอนธการเหล่านี้ดูคล้ายขุนพลศักดิ์สิทธิ์ฉบับฝ่ายมืด หลังจากก่อตัวขึ้นมาทหารมารอนธการเหล่านี้จะถอยเข้าไปอยู่ในความมืดด้านข้าง หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เงาร่างหนึ่งเหาะเข้ามา
เป็นเทพธิดาหมิงจี้
เทพธิดาหมิงจี้เข้ามาหยุดตรงหน้าหานฮวง เอ่ยด้วยแววตาเปี่ยมความรัก “ท่านพี่ ท่านปิดด่านมานานถึงเพียงนี้สมควรจะพักผ่อนได้แล้วกระมัง”
หานฮวงไม่สนใจ
เทพธิดาหมิงจี้เอ่ยต่อไปว่า “ข้ารู้ว่าท่านจะทำการใหญ่ แต่พวกเรายังไม่มีบุตรด้วยกันเลย อนธการไร้ผู้สืบทอดเช่นนี้มิใช่เรื่องดี”
พอสิ้นเสียงหานฮวงก็ลุกพรวดขึ้นมา อำนาจน่าหวาดหวั่นทำให้เทพธิดาหมิงจี้ตกใจจนก้าวถอยหลังไป
เทพธิดาหมิงจี้ตกใจหน้าถอดสี มองหานฮวงอย่างตระหนกเสียขวัญ
หานฮวงมองนางอย่างเหยียดหยาม เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ายอมแต่งกับเจ้าก็นับเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับเจ้าแล้ว เจ้ายังคิดจะอุ้มท้องบุตรของข้าอีกหรือ เจ้าคู่ควรหรือไร”
เทพธิดาหมิงจี้ฟังแล้วคับข้องหมองใจนัก สองมือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น
“ข้าไม่ได้จะดูแคลนเจ้า แต่นี่คือความจริง พวกเราลองกันมาหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายก็ไม่ท้อง ในใจเจ้ายังไม่กระจ่างอีกหรือ สิ่งมีชีวิตธรรมดาอย่างเจ้าไหนเลยจะทนรับพลังแห่งเทพมารอนธการไหว ตัดใจแต่เนิ่นๆ เถอะ”
หานฮวงเอ่ยหมิ่นหยาม สองเนตรแดงฉานของเขาเปี่ยมจิตสังหารอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
เทพธิดาหมิงจี้กัดฟันเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นท่านวางแผนจะไร้ทายาทไปตลอดอย่างนั้นหรือ”
“รอจนข้าบุกเบิกอนธการสำเร็จก็สามารถใช้พลังของตนสร้างทายาทขึ้นมาได้ไหนเลยจะต้องพึ่งพาเจ้า ต่อไปอย่าได้มารบกวนข้าอีก ขอเตือนเจ้าเอาไว้อีกสักประโยค ถอยห่างไปแต่เนิ่นๆ เสีย อย่าได้สอดมือเข้ามาแย่งชิงอำนาจ หากรอจนมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่เปิดฉากขึ้น เจ้าจะดับสูญไม่อาจฟื้นคืนได้ ไม่คุ้มกันเลย”
หานฮวงพูดจบก็นั่งลงอีกครั้ง หลับตาสร้างทหารมารอนธการต่อไป
เทพธิดาหมิงจี้เบะปาก คิดในใจ ‘ท่านให้ความห่วงใยข้าอยู่ชัดๆ แต่กลับทำตัวดุดันเช่นนี้อยู่เสมอ’
พอย้อนนึกถึงว่าแรกเริ่มที่พบกันหานฮวงก็ทำตัวเจ้าอารมณ์เช่นนี้อยู่แล้ว ความคับข้องหมองใจของนางก็บรรเทาลงไป
ถึงแม้คนผู้นี้จะดุดันยิ่งนัก แต่ยามที่นางตกอยู่ในอันตรายก็จะลงมือช่วยเหลือ แปลว่าในใจของเขายังคงมีนางอยู่
ภรรยาของเทพมารอนธการ นอกจากนางแล้วยังมีผู้ใดเป็นได้อีก
จิตใจของเทพธิดาหมิงจี้เบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง นางแค่นเสียงเบาๆ หันหลังเดินออกไป
หานฮวงลืมตามองแผ่นหลังของนางที่ก้าวจากไป แววตาเปี่ยมความเย็นชา
‘ยังไม่ถึงเวลา บ่วงกรรมแห่งมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ครานี้มาช้าเกินไปแล้ว ข้าใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว…’
หานฮวงคิดเงียบๆ เริ่มใคร่ครวญว่าจะกระตุ้นมหาเคราะห์ขึ้นอย่างไร
เขาพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภายในตำหนักมืดสลัว รอยยิ้มของเขาดูชั่วร้ายและเหี้ยมหาญอย่างยิ่ง