ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 913 ไม่กลัวภรรยาคุณเข้าใจผิดเหรอ
จอห์นรีบมาถึงจุดเกิดเหตุ มองเห็นความวุ่นวายตรงหน้า แทบล้มทั้งยืน ขมับปวดหนึบขึ้นมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” จอห์นตะโกน
“คุณจอห์น…” พิเอร์สเดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ พึ่งเดินเข้าไปใกล้ ก็โดนถีบจนล้มลงกับพื้น
“สวะ”
จอห์นจ้องเขาเขม็ง ความโกรธในดวงตาแทบเผาไหม้
“ขอโทษครับ คุณจอห์น เพราะผมทำงานไม่รอบคอบ”
พิเอร์สไม่สนใจความเจ็บปวด รีบลุกขึ้นมา รีบก้มหน้ายอมรับผิด
“ทำงานไม่รอบคอบ” จอห์นสูดหายใจ ดวงตาแหลมคมจ้องมองเขา “วัตถุดิบไหม้ไปหมดแล้ว แกบอกแค่ทำงานไม่รอบคอบงั้นเหรอ”
พิเอร์สก้มหน้าไม่พูดไม่จา
ความเงียบของเขาทำให้ความโกรธของจอห์นเพิ่มมากขึ้น ยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ บังคับเขาให้สบตากับตัวเอง
“พิเอร์ส บอกฉันมาสิ ตอนนี้ต้องทำยังไง” จอห์นกัดฟัน ถามออกมาทีละคำ
พิเอร์สขยับปากราวกับจะพูดอะไร ทว่าสุดท้ายก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ “ขอโทษครับ”
“สวะ” จอห์นผลักเขา พร้อมถีบเขาอีกครั้งด้วยความโกรธ
ล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ในตอนที่จอห์นมองไม่เห็น ดวงตาของพิเอร์สวาววับทว่ามันหายไปในทันที ไม่ทันมีใครได้สังเกต
ตำรวจที่มองเห็นเหตุการณ์ สีหน้าพลันเปลี่ยน พวกเขาต่างก็ทราบถึงความโหดร้ายของจอห์นแห่งSA แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเองก็อดตกใจไม่ได้
ทว่าพวกเขาก็ปรับอารมณ์ได้ทันที เดินเข้าไปหา “สวัสดีครับ คุณจอห์น”
สายตาคมของจอห์นมองกลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นตำรวจ ดวงตาของเขาจึงอ่อนลง ทว่าน้ำเสียงยังคงไม่ดี “เชิญพูดมาเถอะครับ”
“เพลิงไหม้ครั้งนี้มีคนวางเพลิง…”
ตำรวจยังไม่ทันพูดจบจอห์นก็เอ่ยขัดขึ้นมา “พวกคุณจับได้แล้วเหรอ”
“เปล่าครับ”
“เปล่า” น้ำเสียงของจอห์นดังขึ้น จากนั้นหัวเราะ “ดูเหมือนตำรวจอย่างพวกคุณก็ทำอะไรไม่ได้”
ตำรวจได้ยินแบบนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนทันที เห็นเพียงจอห์นหันกลับไปสั่งคนของตัวเองให้รีบตามสืบเรื่องนี้
“พวกนายรีบไปตรวจสอบ ต้องจับคนที่มันทำมาให้ได้”
จอห์นหันกลับไปมองวัตถุดิบที่โดนเผาไหม้ในโกดัง ใบหน้าเข้มราวกับน้ำหมึก ดวงตาคมฉายแววทะมึน
เริ่มจากยาในห้องแล็บหาย จากนั้นโกดังโดนเผา นี่ถ้าบอกว่าไม่มีใครทำ เขาไม่เชื่อหรอก
แต่เป็นใครกันที่กล้าเป็นศัตรูกับSAกรุ๊ป
รอสืบได้เรื่องเมื่อไหร่ เขาจะบดขยี้มันไม่ให้เหลือเถ้าถ่านเลย
“คุณจอห์น”
ด้านหลังมีเสียงตำรวจดังขึ้นอีกครั้ง
จอห์นหันกลับไป
“บริษัทของคุณเกิดเรื่องนี้ขึ้น เรารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ยังคงต้องขอความร่วมมือของพวกคุณกับการสืบสวนในครั้งนี้”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ”
จอห์นส่งสายตาให้พิเอร์ส อีกฝ่ายเดินเข้ามา ให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของตำรวจ
และจอห์นกลับมาที่รถ
กว่าตำรวจจะสืบสวนเสร็จก็เกือบเช้าแล้ว
พิเอร์สเปิดประตูขึ้นมาบนรถ จอห์นที่กำลังหลับตาพักสายตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา เอ่ยปาก แกนี่จริงๆ ให้ทำเรื่องง่ายๆ แบบนี้ยังพลาดได้”
น้ำเสียงไม่ดังมาก ฟังแล้วดูราบเรียบ แต่ความหมายที่แฝงมาด้วยนั้นทำให้หัวใจของพิเอร์สสั่นสะท้าน
เขากลืนน้ำลาย จากนั้นบอก “คุณจอห์น ครั้งนี้เพราะผมไร้ความสามารถ…”
“พอแล้ว”
จอห์นเอ่ยขัดคำพูดของเขา “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มาพูดอะไรตอนนี้ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก”
พิเอร์สหลับตาลง
“สืบ สืบดูให้รู้เรื่องว่าใครกันแน่ที่มันคิดจะเป็นศัตรูกับเรา”
“คุณวางใจครับ ผมต้องสืบให้ได้แน่นอน”
แม้จอห์นจะไม่ได้สั่ง พิเอร์สก็จะสืบเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง หากสืบถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังไม่สำเร็จ เขาก็คงต้องรับผิดชอบทั้งหมด
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขารับไม่ไหวแน่
พิเอร์สลังเลอยู่สักพัก จากนั้นจึงถาม “คุณจอห์นครับ เรื่องนี้ต้องบอกคุณเฟิงไหมครับ”
จอห์นหรี่ตา คิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยปาก “ไปโรงแรม”
……
โรงแรม จิ้นเฟิงเฉินอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ ยังคงสวมชุดคลุมอาบน้ำอยู่ แม้จะเป็นแบรนด์ธรรมดา ทว่ายังคงดูดี
เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าชั้นเครื่องดื่ม หยิบไวน์แดงออกมาหนึ่งขวด จากนั้นเสียงกริ่งก็ดังขึ้น
คิ้วของเขาขมวด ดูเวลา ตอนนี้ดึกมากแล้ว ใครกัน
เขาเดินไป ส่องตาแมวเห็นหญิงสาวที่อยู่ด้านนอก ยื่นมือไปเปิดประตู จากนั้นร่างสวยก็เดินเข้ามา
“สวัสดีตอนเย็นค่ะ จิ้น”
ชีซายิ้มพร้อมเอ่ยทักทายเขา
จิ้นเฟิงเฉินยังคงนิ่ง เขาเดินกลับไปที่บาร์พลางถาม “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าดึกขนาดนี้”
แม้จะชินกับความเย็นชาของเขาแล้ว แต่ชีซาก็ยังเบ้ปาก จากนั้นเดินตามไป พิงร่างลงไปที่บาร์ สายตามองไปที่เขา
“จุ๊ๆ ดึกขนาดนี้แล้วคุณยังไม่กลัวภรรยาของคุณจะเข้าใจผิดเหรอคะ” ชีซายักคิ้วให้เขา
แม้ว่าเขาจะสวมชุดนอนปกติ ไม่ได้เปิดเผยส่วนใดแม้แต่น้อย ทว่ากลับน่าหลงใหล
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น คงจะหลงใหลจนล้มพับ พุ่งเข้าหาเขา
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วให้กับสายตาของเธอ ใบหน้าเรียบนิ่ง เอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณมาเพื่อพูดไร้สาระหรอกเหรอ”
น้ำเสียงราบเรียบเหมือนกับใบหน้า ไม่มีความรู้สึกใดๆ เผยออกมาให้เห็น
ชีซาสำลัก เธออดเบ้ปากใส่เขาไม่ได้
เขามันท่อนไม้จริงๆ ไม่น่ารักเลยสักนิด แถมยังไม่น่าสนใจ แม้กระทั่งเรื่องขบขันยังไม่รู้จัก
ช่างเถอะ
รู้จักเขามานานขนาดนี้ เธอรู้จักนิสัยเขาเป็นอย่างดี
ดังนั้นชีซาจึงล้มเลิกที่จะหยอกล้อเขา เข้าสู่เรื่องสำคัญ “วัตถุดิบโดนเผาแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ ก็ได้ยินน้ำเสียงไม่เกรงใจของจิ้นเฟิงเฉินบอก “เผาแล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ เกิดมีใครสงสัยผมขึ้นมาล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชีซาก็แทบกระโดดออกมา ชี้หน้าเขาแล้วด่า “ยังต้องสงสัยอีกเหรอ มันเป็นคำสั่งคุณแท้ๆ ”
นี่เขาคิดจะถีบหัวส่งเธอเหรอ
เธอลำบากไปช่วยเขาเผาวัตถุดิบ ขอบคุณสักคำยังไม่มี ยังเป็นห่วงตัวเองอีก
อย่าให้มันมากเกินไป
ชีซาจุ๊ปากจ้องมองเขา
ท่าทางของเธอ จิ้นเฟิงเฉินไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “รอฟ้าสาง ถ้าSAรู้ตัว หรือสงสัยผมขึ้นมา”
แม้คิดว่าการที่ยาหาย และวัตถุดิบโดนเผามันเป็นเรื่องบังเอิญ
อีกฝ่ายใช่ว่าจะไม่สงสัยเขา ดังนั้นต้องระมัดระวัง
“แล้วยังไง” ชีซาหรี่ตา
จิ้นเฟิงเฉินยกมุมปากยิ้ม “บนโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้น ดังนั้นคุณต้องดึงความสนใจ”
ได้ยินดังนั้น ชีซาก็เกือบจะด่าออกมา เธอสูดหายใจเข้าลึก กดความโกรธเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณคิดจะสั่งฉันอีกงั้นเหรอ”
จิ้นเฟิงเฉินเหล่ตามองเธอ เอ่ยเสียงเรียบ “ผมแค่สอนคุณว่าทำงานอย่าทำครึ่งๆ กลางๆ ”
“เหอะๆ ” ชีซาหัวเราะ แม้จะไม่พอใจ แต่ก็ยังถาม “คุณคิดจะทำยังไง”