ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 102 ความว่างเปล่า-4
บทที่ 102 ความว่างเปล่า-4
ในเมื่อไม่มีความป่าเถื่อนเผด็จการเช่นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่สุภาพเรียบร้อยเช่นบัณฑิต ไม่ต้องการแสวงหาความเป็นเลิศเช่นช่างฝีมือ ซึ่งไม่อาจระบุสถานะชัดเจนจริงๆ
ทั้งสามคนนี้เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ไร้ประโยชน์ที่สุด ไม่มีคุณลักษณะหรือข้อได้เปรียบใดๆ นอกเหนือจากรูปร่างและรูปลักษณ์ภายนอก
แต่วันซานรู้ดีว่าผู้ที่ไร้ประโยชน์ที่สุดอาจเป็นเพราะเดิมทีตัวเขาไร้ช่องโหว่ให้โจมตีอยู่แล้ว
อย่างไรเสีย แม้แต่ขอทานยังขับร้องฉู่หลายเป่า[1]ได้หลายบทไม่ใช่หรือ
คนธรรมดาที่สุดอาจกลับคืนสู่ความเป็นจริงหลังผ่านคลื่นใหญ่ลมพายุ ข้ามขุนเขาธารานับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะประเภทใดก็ล้วนประมาทไม่ได้
เขาทราบถึงความแข็งแกร่งของเหลี่ยงเฟินเป็นอย่างดี
หากทั้งสามร่วมกันฆ่าเหลี่ยงเฟิน เช่นนั้นก็สามารถร่วมกันฆ่าคนใดคนหนึ่งในพวกเขาทั้งสี่คนได้เช่นกัน
ในบรรดาพี่น้องทั้งห้าคน เขาเป็นคนที่อดทนได้ดีที่สุด
แม้ความสามารถจะน้อยกว่าก็ตาม แต่อาศัยการทุ่มสุดแรงกายแม้ตายก็ยอม ฝีมือก็พอฟัดพอเหวี่ยงจนแยกกับคนอื่นๆ ไม่ออกเช่นกัน
สี่ต่อหนึ่ง ได้เปรียบเชิงจำนวนคน
ยิ่งไปกว่านั้น ตนทั้งสี่คนเป็นพี่น้องที่อยู่ด้วยกันทั้งเช้าเย็น ฝึกฝนทักษะวิชายุทธ์แบบเดียวกัน การร่วมมือกันย่อมแกร่งกว่าพวกเขาทั้งสามคน
แต่วันซานไม่กล้าพนัน
ยิ่งกว่านั้นเบื้องหลังของพวกเขาคือหอทรงปัญญา ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต
ทว่า สายตาของวันซานจ้องไปที่คนผู้หนึ่งโดยไม่ละสายตา
ไม่ใช่จิ่วซานปั้น
และไม่ใช่ทังจงซง
แต่เป็นบัณฑิตจาง
ดวงตาของเขาจ้องมองบัณฑิตจางเขม็ง หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่อยากกะพริบตาด้วยซ้ำ
แม้พายุทรายจะพัดผ่าน แต่ก็ยังฝืนต้านมัน
ยิ่งกว่านั้นผ้าโปร่งสีดำขาวตรงหน้าเขา เดิมก็กั้นทรายและฝุ่นให้เขาได้ไม่น้อยทีเดียว
หากโชคดีเล็ดลอดเข้าไปแล้วยังไม่อาจทนไหวละก็ เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่วันซานที่ทุ่มสุดแรงกายแม้ตายก็ยอมและความอดทนเป็นเลิศ
วันซานสังเกตเห็นบัณฑิตจางนับตั้งแต่พวกเขาเลี้ยวเข้ามาจนโผล่ศีรษะจากทางฝั่งเหนือแล้ว
เขาเห็นบัณฑิตจางรูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าราบเรียบ แม้ว่าม้าจะวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแต่ทั้งร่างกายของเขากลับไม่ขยับเคลื่อนไหว
ใครๆ ล้วนขี่ม้าเป็น นี่เป็นทักษะพื้นฐานที่สุด เช่นเดียวกับที่ใครๆ ก็กินข้าวและปัสสาวะเป็น
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะนั่งทับบนหลังม้าและทรงตัวได้ราวกับภูเขามั่นคงลูกหนึ่ง
อันที่จริงใช้คำว่าทับก็ยังไม่เหมาะสมมากพอ
ใช้คำว่าติดแนบอาจจะเหมาะสมยิ่งกว่า
เพราะบัณฑิตจางดูเหมือนจะติดอยู่กับอานม้าใต้เป้า หลังม้าใต้อานม้าราวกับจะแนบชิดติดกันอย่างไรอย่างนั้น
หลังม้าขึ้นลงตามจังหวะการวิ่ง บัณฑิตจางก็ขึ้นลงตามจังหวะของหลังม้าเช่นกัน
ในสายตาของวันซาน เพียงรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์
ดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวที่เรียบง่าย แต่ต้องใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายประสานเป็นหนึ่งเดียว จะผิดพลาดยุ่งเหยิงไม่ได้แม้แต่น้อย
แรงควบคุมที่แม่นยำเช่นนี้ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
ทว่าผู้ที่มีแรงควบคุมเช่นนี้ ไยจะไม่ใช่ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งเล่า
วันซานไม่ตื่นตระหนก
เพราะเขาก็เป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งเช่นกัน
แม้ว่าเขาไม่เก่งกาจเท่าพี่รองของเขา แต่ก็ตามหลังอยู่ไม่มาก
ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ระหว่างการปะทะครึ่งต่อครึ่ง หากวางไว้ในการต่อสู้ความเป็นความตาย เกรงว่าจะไม่แตกต่างใดๆ
กล่าวถึงอายุ บัณฑิตจางย่อมมีอายุมากว่าแน่นอน
อายุที่มากขึ้นหมายถึงประสบการณ์ที่มากขึ้น
หากทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งทัดเทียมกัน เช่นนั้นผู้ใดที่มีประสบการณ์มากกว่า ผู้นั้นก็จะมีอายุยืนยาวยิ่งกว่า
แม้แต่ขอทานที่ขออาหารมาเป็นเวลานาน ยังรู้ว่าตระกูลใดนิสัยดี จะไปเมื่อไร จะไปที่ใด กระทั่งยังสามารถขอของคาวได้อีกด้วย
แต่สายตาของบัณฑิตจางไม่ได้อยู่บนกายเขาอีกต่อไป
แม้แต่ชั่วครู่ก็ไม่หยุดมอง
กระทั่งแม้แต่มองยังไม่มองด้วยซ้ำ
เพียงแค่ปรายตามองเบาๆ
สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่จิ่วซานปั้น
ผู้เฒ่าคนหนึ่งจะสนใจชายหนุ่มคนหนึ่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้นชายหนุ่มผู้นี้ยังเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาอีกด้วย
ในเมื่อเป็นพวกเดียวกัน เช่นนั้นย่อมเข้าใจกันอย่างยิ่ง
กลายเป็นพวกเดียวกันก็หมายความว่าระหว่างพวกเขาสามารถสละชีพให้อีกฝ่ายได้
ตามหลักการแล้ว ตอนนี้ทั้งสามคนควรจะเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างพร้อมเพียงกันจึงจะถูก
เหตุใดจึงจ้องมองจิ่วซานปั้นอย่างละเอียดเหมือนตนจ้องมองเขาเลยเล่า
มีเพียงคำอธิบายเดียว
นั่นคือพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกันกับจิ่วซานปั้น
กระทั่งเวลาในการพบกันก็ไม่นานนัก
เมื่อการอนุมานนี้แวบเข้ามาในสมอง วันซานเองก็รู้สึกประหลาดใจ
ทั้งๆ ที่เขาเห็นว่าจิ่วซานปั้นขี่ม้าตัวเดียวกับทังจงซงและตามหลังบัณฑิตจาง
ผู้ที่อยู่ด้วยกันถือเป็นพวกเดียวกัน
เดิมนี่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนล้วนตัดสินเช่นนี้
เพียงแต่ว่า ครั้งนี้สายตาหลอกวันซานเข้าแล้ว
บัณฑิตจางและทังจงซงไม่ใช่พวกเดียวกันกับจิ่วซานปั้น
“พวกเจ้าไม่ใช่พวกเดียวกัน”
วันซานกล่าว เขามั่นใจในการอนุมานของตน
แม้ว่าเขาจะเซ่อซ่าไปบ้าง แต่ก็สามารถจัดการรอบด้านได้เสมอ
“ทำไมพวกเราจะไม่ใช่พวกเดียวกัน เจ้าตาบอดรึ ไม่เห็นข้าขี่ม้าตัวเดียวกับเขารึ”
ทังจงซงกล่าวเกินจริงและหยิ่งผยองอย่างยิ่ง
คราวนี้วันซานสับสนอีกครั้ง…
พวกเดียวกันที่เขาหมายถึงคือพวกเดียวกันที่ฆ่าเหลี่ยงเฟินพี่ชายของเขา
ทว่าพวกเดียวกันของทังจงซงกลับหมายถึงพวกเดียวกันที่จะเดินทางไปหอทรงปัญญา
แม้ว่าต่างเป็นพวกเดียวกัน แต่ความหมายแฝงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ชั่วขณะนี้เอง สายตาของวันซานย้ายจากร่างบัณฑิตจางเล็กน้อย หลังย้ายกลับมาอีกครั้งก็พบว่าบัณฑิตจางพลันเปลี่ยนสีหน้า
สีหน้าราบเรียบแต่เดิม ในยามนี้กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้วันซานรู้สึกเบาใจไม่น้อย ในใจพลันคิดว่าในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
บัณฑิตจางไหนเลยจะขมวดคิ้วเพราะสี่คนนี้ขวางถนนกันเล่า
เพียงแต่ความโอหังอวดดีเช่นนี้ของทังจงซงทำให้เขาไม่ชอบใจยิ่งนัก…
เขามองท่าทางทังจงซงที่ไม่ได้ต่างจากคนตาบอดเทียวสร้างปัญหาบนท้องถนน พลันเข้าใจความคิดของเขาในทันที
หากฝ่ามือตบฉาดสามารถเรียกคืนคำพูดได้ละก็ บัณฑิตจางอยากจะตบตนเองสักสามหมื่นหกพันครั้ง
ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่ควรบอกเจ้าเด็กผีนั่นว่าเบญจลักขีที่ขวางทางนี้เป็นผู้คุ้มกันประจำกายตี๋เหว่ยไท่ประมุขหอทรงปัญญา
มองจากท่าทางนี้แล้ว เกรงว่าจิ่วซานปั้นจะมีความแค้นพัวพันกับเบญจลักขีไม่น้อย เป็นเรื่องของชีวิตและความตาย
ทังจงซงสัมผัสได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากบัณฑิตจางส่งผ่านมาเป็นระยะๆ
แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
เพราะนี่เป็นความตั้งใจเดิมของเขา
หากความวุ่นวายใหญ่โตเข้ามาพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก บางทีอาจไม่ต้องไปที่หอทรงปัญญาแล้วก็ได้
หากลงมือขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่เกรงกลัว
เขาเป็นผู้ที่สามารถสู้รบตบตีกับหลี่อวิ้นมาแล้วหลายรอบ
หากทนไม่ไหวจริงๆ เช่นนั้นอานม้าของบัณฑิตจางจะยังนั่งสบายอยู่หรือไม่
ต่อให้เป็นการคุ้มกันส่งสินค้า ยังต้องระมัดระวังไม่ให้มีการกระแทก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทังจงซงที่โตจนป่านนี้แล้ว
ดาบกระบี่ไร้ดวงตา หากมีสิ่งใดผิดพลาดก็จบลงด้วยแขนขาที่หายไป
เขาจะบรรลุข้อตกลงกับฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องได้อย่างไร
………………………..
วันซานค่อยๆ คลายกระดานหมากรุกขาวดำสองสีบนหลังออกแล้ววางลงบนพื้น
ชั้นดินที่ลอยนูนอยู่บนพื้นถูกกดทับลงไปในทันใด เห็นได้ชัดว่าน้ำหนักของกระดานหมากรุกนี้ช่างน่าสะพรึงกลัว
แต่ทั้งสี่คนกลับแบกมันไว้บนหลัง สีหน้าสงบนิ่ง
จากนั้น เขาค่อยๆ หยิบหมากสีดำออกจากตะกร้าหมากที่ผูกไว้หลังเอว
หมากสีดำนี้ทำจากหินธรรมชาติสีดำ ไม่เคยผ่านการแกะสลักใดๆ อาศัยเพียงตะไบเหล็กฝนมันออกมาทีละนิด
หินสีดำคุณภาพดีมีรอยแตกน้อยกว่า สีสันถูกต้อง แต่ขนาดใหญ่มาก
หินสีดำหนักหลายสิบกิโลมักจะฝนออกมาได้เพียงเม็ดหมากล้อมสามถึงห้าเม็ดเท่านั้น
เม็ดหมากนี้ไม่เย็นและไม่ร้อนในมือ แต่มันอุ่น
อุณหภูมิเดียวกับเลือดมนุษย์
วันซานใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับหมากสีดำเม็ดนี้
หมากสีขาวทำมาจากกระดูกพี่ใหญ่พวกเขา
ส่วนหมากสีดำเป็นเขาและเฟินเหลี่ยงฝนมันทีละเม็ดและแบ่งให้พวกน้องๆ
พี่ใหญ่สิ้นชีวิตไปเร็ว
พี่รองก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่นานกว่าเขาหลายปีนัก
ทุกครั้งที่วางหมาก หมากสีขาวที่เขาจับราวสัมผัสได้ถึงชีพจรเต้นของพี่ใหญ่
ตอนนี้ หมากสีดำกลับใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกายของพี่รอง
กระดานหมากและเม็ดหมากชุดนี้ นำชีวิตและความรุ่งโรจน์มาสู่พี่น้องทั้งห้าอย่างไม่สิ้นสุด
ผู้ใดในใต้หล้าจะไม่รู้จักเบญจลักขีแห่งหอทรงปัญญาบ้าง
กางเข็มทิศแบ่งเป็นอินหยาง ยึดมั่นทะลวงความกว้างใหญ่ น้ำพุเหลืองยมโลกและนภากาศไม่ควรบุบสลาย
เมื่อใดที่พวกเขาจับหมากสีดำนี้ นั่นถึงเวลาที่จะฆ่าใครสักคน
วันซานงอนิ้วโป้ง ดีดสะบัดขึ้นก่อน
หมากสีดำพลิกตลบลอยขึ้นไปในอากาศ
เขายังไม่พร้อมลงมือ
สิ่งนี้เป็นเพียงการทดสอบ
เม็ดหมากล้อมที่พุ่งขึ้นดิ่งตรงจะทำอันตายผู้ใดได้เล่า
เขาเพียงอยากอาศัยเม็ดหมากล้อมลอยอยู่กลางอากาศ ครุ่นคิดถึงบัณฑิตจางอีกสักรอบก็เท่านั้น
หากเขาเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ เช่นนั้นย่อมไม่เหลียวมองหมากสีดำที่ลอยกลางอากาศเป็นแน่ เขาเพียงจ้องมองผู้ที่ดีดหมากอย่างไม่วางตามากกว่า
หากสายตาของเขามองขึ้นลงตามการลอยของหมากสีดำ เช่นนั้นเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา…
เม็ดหมากห่างมือย่อมควบคุมไม่ได้
เพียงแค่ดูท่าทางมือที่ดีดหมากของตน ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวสังหาร
เฉกเช่นเดียวกับเมื่อผู้ฝึกกระบี่เก่งกาจกำลังดวลปะทะ จะไม่ถูกแสงกระบี่แวววาวและปลายกระบี่ระยิบระยับของอีกฝ่ายรบกวนวิสัยทัศน์
พวกเขามักจ้องมองมือของอีกฝ่ายไม่ละสายตา
กล่าวให้ถูกคือข้อมือ
เช่นเดียวกับการดีดหมากบินของวันซาน
ควบคุมทิศจากส่วนข้อมือ รวมพลังปราณไปถึงปลายนิ้ว หลังจากรวมจนได้ที่แล้วจึงยิงไปทางเป้าหมายในช่วงเวลาทรงพลังที่สุด
สิ่งเหล่านี้มีเพียงจิ่วซานปั้นเท่านั้นที่เคยสัมผัสมาก่อน
แต่ตอนนั้นฟ้ามืด เขาจึงมองไม่เห็นของจริง อาศัยความรู้สึกถึงแปดส่วน
เป็นไปดังคาด
สายตาของบัณฑิตจางมองตามการขึ้นลงของหมากสีดำ
คล้ายเด็กน้อยมองดูผีเสื้อที่กระพือปีกอยู่ท่ามกลางดอกไม้ในยามไร้ความกังวล
มุมปากวันซานกระตุกยิ้ม
อันตรายซ่อนอยู่ที่ใหญ่ที่สุดได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ฮวาลิ่วก็ยกฝ่ามือขึ้นเล็งทางจิ่วซานปั้น
นี่เป็นความเข้าใจกันระหว่างพี่น้องเลือดข้นกว่าน้ำ
จิ่วซานปั้นไร้กระบี่ในมือ จำต้องรีบโน้มตัวหลบเลี่ยง
ภายใต้ระยะใกล้เช่นนี้ การโจมตีด้วยอาวุธลับนี้ไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ
ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวคือไม่ทันระวังตัว
นี่เป็นแก่นแท้ของวิชาอาวุธลับ
อาวุธลับจะซ่อนอยู่ในทักษะมากกว่าอาวุธ
หากทักษะของเจ้าฉลาดมากพอ แม้แต่การโยนวัวใส่ผู้ที่ไม่ระวังตัวนั่นก็นับว่าเป็นอาวุธลับ
เม็ดหมากล้อมเรียบมนไร้ขอบแหลมคม จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีของอาวุธลับ
แต่ในระดับของเหล่าพี่น้องนี้ ต่อให้ใช้ฟางข้าวเส้นหนึ่งปลิวไปเบาๆ ก็สามารถโฉบออกไปกลายเป็นแท่งเหล็กเสียบลำคอได้
ครั้นจิ่วซานปั้นย่อตัวลง ในใจพลันกล่าวว่าซวยแล้ว
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่กำลังจะมาถึงไม่กดดันเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรุนแรง ยิ่งอยู่ไกลก็ยิ่งอ่อนกำลังลงเป็นธรรมดา
นอกจากความรู้สึกกดดันอ่อนกำลังลงแล้ว จิ่วซานปั้นไม่ได้ยินเสียงทะลวงอากาศหลังจากหมากสีดำลงมือ
แม้ว่าหมากสีดำที่เบญจลักขีฝนจนมีรูปร่างยอดเยี่ยมที่สุดก็ตาม
แต่เสียงแผ่วเบานั้นยังไม่อาจเล็ดรอดจากหูของจิ่วซานปั้นไปได้
ตอนนี้กลับไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
จิ่วซานปั้นรู้ว่าตนติดกับเข้าจนได้
เมื่อครู่ฮวาลิ่วใช้เล่ห์เหลี่ยมสองครั้ง เพื่อถ่วงเวลาให้ตนเองได้ถอยตีตัวออกห่าง
จิ่วซานปั้นเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าตำแหน่งของวันซานไม่เปลี่ยนแปลง
เม็ดหมากล้อมที่เขาเพิ่งดีดเมื่อครู่แทบจะตกลงมาถึงเท้าเขาแล้ว
ฮวาลิ่วถอยห่างไปแล้วห้าหกจั้ง แขนซ้ายค่อยๆ วาดวงกลมโค้งมน มือขวาสอดเข้าตะกร้าหมากที่แบกอยู่ด้านหลัง
เตาอู่และฟางซื่อพลิกกระดานหมากขาวดำไปที่หน้าอก จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือนทั้งสองฝั่ง
ทั้งสี่คนตั้งขบวนทัพและเข้าควบคุมสถานการณ์ทันที
……………………………………………………………
[1] ฉู่หลายเป่า เป็นศิลปะพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของวัฒนธรรมจีน