ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 14 ใบไม้ผลิมาเยือนเพื่อใคร-2
บทที่ 14 ใบไม้ผลิมาเยือนเพื่อใคร-2
“อวี่ซู เจ้าประมาทเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!”
ใบไม้แห้งที่ยืนหยัดผ่านฤดูหนาวมาได้บนกิ่งไม้ถูกคลื่นพลังที่ทั้งสองก่อขึ้นโจมตีจนร่วงหมด
ลมยิ่งแรง
หิมะไม่หยุด
ทั้งสองคนเหมือนรูปสลักสองตัวที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่า
เมฆคล้อยต่ำกว่าเดิม
อากาศที่หวนเป็นใบไม้ผลิในตอนแรกเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นผิดปกติอีกครั้ง
มองไกลออกไปหมื่นลี้ล้วนเป็นสีเทาขาว
เดิมทีฤดูหนาวของติ้งซีก็ไม่มีแมลงและนกส่งเสียงร้อง
แสงท้องฟ้าใกล้หายหมดสิ้น เหลือเพียงแสงยามตะวันรอนสองสามสายส่องลงมา
ทั้งสองต่อสู้ดุเดือดเป็นเวลานาน
คนของสำนักปากสอบผู้นี้รู้สึกพลังค่อยๆ ลดลงจนต้านไม่ไหว เขาแอบหายใจปรับชี่[1]จุดตันเถียน[2]ในช่องท้องและกระจายไปยังเส้นลมปราณทั่วแขนขาทั้งสี่ ให้กล้ามเนื้อสำคัญที่ปวดบวมอยู่บ้างในตอนแรกฟื้นกำลังใหม่อีกครั้ง
จนถึงบัดนี้บัณฑิตจางยังไม่ได้กางพัดกระดูกขาวโจมตีสักครั้ง แค่ใช้กระดูกพัดด้านข้างก็ป้องกันการจู่โจมของเขาได้ทั้งหมดแล้ว
ในบริเวณหลายสิบจั้งรอบกายทั้งสองล้วนไม่มีกองหิมะใดเหลือ กระทั่งดินโคลนบนพื้นก็ถูกพลิกใหม่รอบหนึ่งเหมือนที่ดินทำกินช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
“พัดกระดูกขาว พัดกระดูกขาว พลิกมือหนหนึ่งเป็นภูเขาศพทะเลเลือด”
“หนึ่งพัดฟ้ามัวเมฆครึ้ม สองพัดใต้หล้าไม่สงบ สามพัดมังกรหลับขดตัวไม่ได้ สี่พัดไม่อาจให้ชาวโลกเห็น”
“เจ้า อยากให้ข้ากางพัดจริงหรือ”
บัณฑิตจางถือด้ามพัดเล่น ลูบคลึงเบาๆ
เขาเสียใจภายหลังอยู่บ้างที่ส่งที่ทับกระดาษสองอันนั้นออกไป แต่เขาก็รู้ดีว่าอาศัยแค่ที่ทับกระดาษไม่มีทางป้องกันอานุภาพของไม้เท้าสำนักได้
คนตรงหน้าเงียบไม่ส่งเสียง เพียงขบขากรรไกรแน่นหยิบไม้เท้าสำนักขึ้นแล้วกระทุ้งเข้าไปตรงท้องน้อยของตน
“อ่อก…”
เลือดสดพ่นไกลกว่าครึ่งจั้ง
“ทลายบ่อเกิดอัญเชิญดารา[3]”
หนึ่งในวิชาต้องห้ามของสำนักปากสอบ ขยายขอบเขตกว่าครึ่งหนึ่งในเวลาสั้นๆ
ผู้ใช้วิชาเพาะตันเถียนย่อยอันหนึ่งกลางจุดตันเถียนภายในกายตนสำเร็จ เรียกมันว่าอีกเขตแดนหนึ่ง ยามพลังอินหยางสองขั้วในตันเถียนต้นกำเนิดถูกสูบจนหมด ผู้ใช้วิชาเลือดกับชี่พร่อง ในตันเถียนย่อยเปี่ยมด้วยเลือดและจิง[4]ที่เข้มข้นยิ่งกว่าตันเถียนต้นกำเนิด เมื่อแปรสภาพเป็นพลังแล้วเรียกว่าดารา โดยทั่วไปใช้เป็นการตีโต้สุดกำลัง ชั่วขณะพลังของเขาก็บรรลุถึงบรมภูมิขั้นสูงสุด
การฝึกตนขอบเขตบรมภูมิขั้นสูงสุด ประสานกับไม้เท้าสำนักปากสอบและวิชาไม้เท้าแก่นสวรรค์ที่ใช้ลงทัณฑ์กบฏโดยเฉพาะทำให้เขามั่นใจเป็นร้อยเท่าในทันที แต่เลือดสดบนหน้าอกก็กำลังประกาศว่าเขาอาจหาญเพียงใด
“การเอาชนะข้ามันสำคัญขนาดนี้เชียว?”
บัณฑิตจางอดนึกถึงช่วงเวลาที่เขาติดตามเจ้าสำนักยุคแรกไม่ได้
สำนักปากสอบในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ความศรัทธาของพวกเขาก็คือการสังเกต เป็นพยานและบันทึกทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในใต้หล้าด้วยความสัตย์จริง
ตำแหน่งทุกขั้นล้วนเท่าเทียม มีเพียงหน้าที่แตกต่างกัน เจ้าสำนักแม้ความหมายชื่อสูงส่งเป็นผู้นำของสำนักปากสอบ แต่ความจริงไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่มีอำนาจพิเศษใดและยิ่งไม่เย่อหยิ่งทะนงตน
แต่ไม่รู้เริ่มขึ้นเมื่อไร สำนักปากสอบก็เปลี่ยนเป็นหน้ามืดตามัวด้วยลาภยศ
เจ้าสำนักเป็นดั่งฮ่องเต้ บนล่างต่างราวฟ้าดินเพราะตำแหน่งไม่เหมือนกัน เพื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง ภายในยังเกิดการขัดแย้งระหว่างพรรคพวกด้วย
ในสายตาบัณฑิตจางสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดและไม่มีเหตุผลให้เกิดโดยสิ้นเชิง
สำนักปากสอบที่แต่เดิมอยู่เหนือข้อพิพาททางโลก ยามนี้กลายเป็นชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ไม่ต่างกับแคว้นเล็กๆ ทั่วหล้า นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสแห่งสำนักปากสอบคนนี้ผิดหวังถึงที่สุด เลือกตัดความผูกพันทั้งมวลและออกจากสำนักไป
บัดนี้ เสาหลักสำคัญของสำนักปากสอบคนหนึ่งฝืนใช้วิชาทลายบ่อเกิดอัญเชิญดาราอยู่ตรงหน้าตน เพียงเพื่อให้ได้ชื่อเสียงจอมปลอมว่า ‘ข้าเอาชนะอดีตผู้สั่งการสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว’
ตันเถียนของผู้ฝึกยุทธ์ก็คือแก่นของชีวิต
ทำลายตันเถียนแล้ว ชั่วชีวิตของเขาล้วนไม่อาจก้าวไป
“ตอนนี้ ข้าคงมีคุณสมบัติพอให้เจ้ากางพัดแล้วสินะ!”
เขาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก ถือไม้เท้าสำนักขึ้นอีกครั้ง
“พอแล้ว…”
บัณฑิตจางสีหน้าหมดความอดทน
ริมฝีปากขมุบขมิบกว่าค่อนวันถึงพ่นสองคำนี้ออกมา
เขากางพัดกระดูกขาวออกดังฟึ่บทีหนึ่ง มือซ้ายเปลี่ยนสัญลักษณ์มือลึกลับฉับไว
“ทัน จวี้ ลู่ เหวิน เหลียน อู่ พั่ว[5]”
กระดูกพัดเจ็ดชิ้นในพัดกระดูกขาวลอยออกทันใด
กระดูกขาวที่โอบล้อมด้วยพลังสีม่วงเจ็ดชิ้นแปรสภาพจากหน้าพัดอย่างน่าพิศวง แต่ละตัวสวมชุดเกราะถือกระบี่คมพุ่งไปข้างหน้า
ลมฝนเย็นเยือกพัดหญ้าหญ้าเฉาตาย พัดคนคนเหือดแห้ง
คนตรงข้ามเห็นศัตรูทรงพลังแปลกประหลาดดาหน้าเข้ามาล้วนไม่รู้สึกกลัว กลับจะเผยสีหน้าตื่นเต้น
เขาย่อขาท่าม้าหวดไม้เท้าสำนักอย่างแรง การหวดยังเป็นกระบวนท่าเก่า แต่สิ่งที่ทำให้เกิดคราวนี้นอกจากสีเทาและขาวท่ามกลางฟ้าดินแล้วยังมีสีที่สามเพิ่มเข้ามา
เขียว
สีเขียวทำให้คนเกิดความรู้สึกสงบมั่นคงง่ายที่สุด
แต่เมื่อทะลุผ่านความราบเรียบชั้นนี้ มันคืออันตรายสีเลือดอันไร้ที่สิ้นสุดโดยแท้
หลังพ้นจากไม้เท้าสำนักสีเขียวสายนี้กลับเริ่มเคลื่อนไหวด้วยตนเอง
ดุจมังกรน้ำทะยาน ประหนึ่งหงส์โบยบิน
กลายร่างเป็นงูสองหัวหนึ่งตัวง้างปากจู่โจมเข้ามาซ้ายขวา มันฉกนักรบกระดูกขาวสองตัวแตกเป็นชิ้น ตามด้วยอ้าปากกว้างกลืนทั้งสองลงไปอีก
ดีร้ายอยู่ที่คนหาใช่ของ งูสองหัวเป็นมงคลเสียด้วยซ้ำ เมื่อปากงูสบกัน ทำให้กระดูกขาวที่เหลือทยอยกลายเป็นจุดแสงเจิดจ้า กระจายทั่วสี่ทิศ
“หนึ่งพัดฟ้ามัวเมฆครึ้ม มันก็แค่นี้เอง!”
เห็นว่าป้องกันการโจมตีแรกของบัณฑิตจางได้ เขายิ้มเหี้ยมเกรียม
แต่เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว
เพียงเห็นขาทั้งคู่ของเขาพันเกี่ยวบนปลายไม้เท้า ฝ่ามือซ้ายรวมพลังเต็มเปี่ยมตบลงบนพื้น ใช้ดาราที่มีอยู่แค่ในกายตนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับไม้เท้าสำนักเพื่อโจมตีสละชีพอันทรงพลังที่สุดออกมา
ราวกับดอกไม้ไฟ หลังสีสันงามตาก็เสื่อมสลาย
บัณฑิตจางมอง ‘ไม้เท้ามนุษย์’ ที่จู่โจมเข้ามาอย่างเฉยชา
นิ้วชี้มือซ้ายพลันชี้บริเวณว่างเปล่า
จุดเจิดจ้าดุจดาวดวงหนึ่งลอยผ่านปลายนิ้วไปเชื่องช้าและเนิบนาบ มันขึ้นลงสลับกันเล็กน้อยอย่างไม่เร่งร้อน สุดท้ายตกลงบนหัวไม้เท้าสำนักตรงๆ
‘ไม้เท้ามนุษย์’ หยุดกลางอากาศไม่อาจเดินหน้าถอยหลัง
บัณฑิตจางกางพัดกระดูกขาวในมือออกหมด
ฝีเท้าด้านล่างพลิ้วไหว สอดคล้องกับตำแหน่งดวงดาวเหนือฟ้า
“ดาวเหนือผสานกาย จื่อเวย[6]ประทับเรือน! สองพัดกวาดล้างมลทินทั่วหล้า!”
พัดหนึ่งตบออก
เพลิงลุกเป็นทาง
หลังหลบเลี่ยงคนตรงหน้าได้อย่างสมบูรณ์พื้นดินทั้งผืนแยกออกราวผืนน้ำ ทะลุตรงไปยังบริเวณสุดสายตา
เขาเงยหน้ามองบัณฑิตจางอย่างกินแรง เห็นบัณฑิตจางยังไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยสักนิด แม้เป็นการออกพัดนี้ก็ไม่ได้เปลืองแรงเขามากเท่าไร
“เจ้าถึงกับ…ข้าเข้าใจแล้ว…”
ความสิ้นหวังกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ
เขาถอยหนีอย่างไร้สติ มันดิ่งลึกยิ่งกว่าความสิ้นหวังที่วิชาทลายบ่อเกิดอัญเชิญดาราไม่อาจพัฒนาต่อได้อีก
เมื่อคิดว่าตนฝีมือพอๆ กับศัตรู เจ้าจะริษยา จะดูแคลน จะตั้งหน้าไล่ตาม
เมื่อคิดว่าตนนำหน้าศัตรูเล็กน้อย เจ้าจะทุ่มแรงทั้งหมด ต่อให้วิ่งชนกำแพงกั้นก็ไม่หันกลับมา
แต่เมื่อคิดว่าตนแตกต่างกับศัตรูราวฟ้าดินและเมฆโคลน เจ้าจะสิ้นหวัง เจ้าจะหดหู่จมดิ่ง เจ้าจะถูกความเย็นเยือกค่อยๆ กัดกร่อนจนทะลุจากภายในสู่ภายนอก
บัณฑิตจางหดนิ้วชี้
ไม่มีสิ่งกีดขวางแล้ว การโจมตีสละชีพของอีกฝ่ายโดนเข้าไหล่ซ้ายของเขาตรงๆ จากนั้นร่วงลงบนพื้นดุจโคลนเลน
“เจ้าโจมตีข้าได้แล้วในที่สุด เจ้าก็ควรรู้จักพอแล้ว…”
ก็ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงหรือความจริง
หลังฟังประโยคนี้จบ เขาค่อยๆ หลับตาลง
บัณฑิตจางวาดพัดกระดูกขาวบนพื้นเบาๆ เชื่อมรอยแยกจนเรียบ จากนั้นพื้นดินอีกด้านก็ร่วงลงมาเสมอกันผืนหนึ่ง
บัณฑิตจางใส่คนผู้นี้เข้าไปและกลบด้วยดินบาง ยังปักไม้เท้าสำนักไว้ตำแหน่งที่หันหาสำนักปากสอบ
ทางเข้าวังติ้งซีอ๋อง
เวลานี้ประตูใหญ่โอ่อ่าที่เพิ่งสร้างใหม่ของวังอ๋องปิดสนิท
หมุดกลมทองแดงใหม่เงาวาวแต่ละชิ้นด้านบนสะท้อนแดดอุ่นของหน้าหนาว แยงตาทุกผู้คนที่มองมาทางนี้ดุจเล่มกระบี่ ผู้คนที่ถูกทิ่มแทงพากันตะแคงมือบังและหดคอกลับโดยไม่รู้ตัว
การเคลื่อนไหวก่อนหน้าชวนให้คนชอบสอดรู้เดินลอยไปมาอยู่ห่างๆ ประตูวัง คล้ายว่าอาจสืบรู้ข่าวบางอย่าง
………………………..
เริ่นหยางมาถึงประตูวังอ๋องแล้ว
สวมชุดขาดรุ่ยตัวนั้น
แบกกระบี่ตกปลาเล่มนั้น
มาพร้อมเด็กน้อยคนนั้น
“โอ้โฮ หมุดกลมนี่เงาวับเสียจริง! เคาะให้ร่วงสองสามอันเอากลับไปเล่นเป็นลูกกระสุนได้พอดีเลย!”
เด็กน้อยพูดพลางเดินขึ้นไป
เริ่นหยางมองเงียบๆ ไม่ได้ห้ามไว้
เด็กน้อยล้วงเอาของหน้าตาเหมือนกรงนกอันหนึ่งออกมาจากตะกร้าปลาที่ถืออยู่ ด้านบนผูกเชือกถักด้วยลวดเหล็ก กว้างเท่ากับครึ่งแขนเขา
‘กรงนก’ ห้อยลงด้านล่าง เหมือนเสื้อผ้าถูกน้ำฝนสาดเปียก
เด็กน้อยถือเชือกเหล็กแล้วสั่นเบาๆ ‘กรงนก’ นี้ก็มีพลังขึ้นมาทันใด มีดสั้นโผล่เป็นวงรอบจากบนลงล่าง เหมือนตัวเม่นพองขนเช่นนั้น
เขามองประตูใหญ่ห้าบานนี้ คล้ายกำลังเลือกว่าหมุดกลมบนประตูบานใดสวยกว่าและเหมาะเอามาทำลูกกระสุนกว่ากัน แต่มองไปมองมาเขาก็เทียบไม่ถูกว่าบานไหนดีที่สุด อดรู้สึกร้อนใจอยู่บ้างไม่ได้ จึงหันกลับไปมองปู่ของตนด้วยสายตาไต่ถาม
เริ่นหยางยิ้มบาง ปล่อยเขาเล่นตามต้องการ
เด็กน้อยพลันโยน ‘กรงนก’ ข้ามกำแพงลานบ้านอันสูงใหญ่ด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย จากนั้นหวดกลับบนประตูเสียงดัง ‘พลั่ก’ จากด้านใน
แผ่นประตูนี้หนากว่ากระดูกกายเขารวมกัน กลับถูกเขาเจาะทะลุในคราวเดียว
เด็กน้อยพาดเชือกกลับไว้บนหลัง ใช้แรงลากออกไปเหมือนวัวเหลืองไถนา ดูท่าทางแล้วเหมือนคิดจะดึงหน้าประตูวังติ้งซีอ๋องนี้ให้ล้มทั้งหมด
“เอาละๆ ในเมื่อเจ้าชอบเอาไปสองอันก็พอแล้ว ทำไมต้องพังประตูหมดด้วยเล่า ต้องรู้ว่าประตูบ้านนี้ก็เหมือนหน้าของคนคนหนึ่ง ประตูของวังติ้งซีอ๋องก็คือใบหน้าของติ้งซีอ๋องแห่งแผ่นดินนี้ หากเจ้าทำลายหน้าของติ้งซีอ๋อง เจ้าว่าเขาจะทำเช่นไร”
เริ่นหยางกล่าวพลางใช้มือดันศีรษะของหลานชาย
“เขาจะโมโหจนเป็นบ้า แล้วก็ร้องโวยวายบอกจะสังหารข้าทิ้ง”
เด็กน้อยเอ่ยพลางเบี่ยงศีรษะไปด้านข้าง หลังพ้นฝ่ามือของปู่ก็มุ่งหน้าออกแรงลากต่อ
นอกจากตามใจหลานเต็มที่ เริ่นหยางไม่เอ่ยคำใดอีก
‘ปัง!’
ประตูบานนั้นโดน ‘กรงนก’ เกี่ยวไว้และถูกลากหลุดจากด้านในเต็มแรง ขณะลอยออกมายังพังชายคาสูงของประตูวังเละไปครึ่งหนึ่ง
‘วังติ้งซีอ๋อง’
อักษรสี่ตัวเหลือแค่สอง
“เฮ้อ…”
เริ่นหยางส่ายหน้าถอนหายใจ
“โทษทีนะฮั่ววั่ง…เดิมข้าหาได้มีใจเป็นศัตรูกับเจ้าไม่ แค่อยากมาเยี่ยมเพื่อนเก่าสักหน่อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ ถึงข้าพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์”
เขาไม่ใช่คนสร้างปัญหาให้ตนเอง แต่ปัญหาก็ตามเขามาเสมอ
ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ล้วนเป็นเช่นนี้
ตอนนั้นที่อาณาเขตอันตงอ๋อง
เขาแค่ได้ยินว่าอนุที่อันตงอ๋องแต่งใหม่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของริมฝั่งทะเลบูรพา เรียกได้ว่างามล้ำในแผ่นดิน จึงอดอยากไปเห็นสักคราไม่ได้
เขาสาบานว่าเพื่อมองแวบหนึ่งเท่านั้น อย่างไรชาตินี้ก็พลาดหญิงงามปานนี้ไปแล้ว แต่หากไม่ดูให้เป็นบุญตาอีกเช่นนั้นก็เป็นเรื่องน่าเสียดายใหญ่หลวงโดยแท้
เสียดายอันตงอ๋องไม่ใช่คนใจกว้าง…
แต่ก็ไม่มีชายใดยินดีให้คนอื่นยืมสตรีที่แต่งเข้าบ้านตนแล้วไปชื่นชมตามใจชอบหรอก
ประตูห้าบานของวังติ้งซีอ๋องเปิดแล้วหนึ่งบาน เริ่นหยางกลับไม่เข้าไป นั่งขัดสมาธิตรงที่เดิม
เขามองทหารในวังที่กรูกันเข้ามาตรงทางเข้าอย่างบ้าคลั่งครู่หนึ่ง
แล้วมองทางประตูเมืองติ้งซีอ๋องอีกแวบหนึ่ง
สุดท้ายมองหลานชายผู้กำลังใช้มีดสั้นแซะหมุดกลมลงมาทีละอันอยู่ข้างหลัง
จากนั้นแก้มัดเชือกและกระบี่ที่พันไว้บนคันเบ็ดออกทีละชั้นอย่างเงียบเชียบ
…………………………………………..
[1] ชี่ ลมปราณ
[2] จุดตันเถียน หรือทุ่งพลัง เป็นจุดศูนย์กลางพลังงานในร่างกาย สังกัดแนวเส้นลมปราณเริ่น
[3] ดารา ในที่นี้สื่อถึงดาวเหนือ
[4] จิง สารจำเป็นพื้นฐานของร่างกาย
[5] ทัน จวี้ ลู่ เหวิน เหลียน อู่ พั่ว เป็นตัวย่อของชื่อดาวเหนือทั้งเจ็ดดวง ได้แก่ดาวทันหลาง ดาวจวี้เหมิน ดาวลู่ฉุน ดาวเหวินชวี ดาวเหลียนเจิน ดาวอู่ชวีและดาวพั่วจวิน
[6] จื่อเวย หนึ่งในสามกลุ่มดาวขนาดใหญ่ทางทิศเหนือ