ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 16 ยินดีติดกับ-1
บทที่ 16 ยินดีติดกับ-1
หน้าประตูวังติ้งซีอ๋อง
เริ่นหยางยกแขนขวาขึ้นสูง ชูเบ็ดตกปลา
ปลายสายเบ็ดห้อยกระบี่สั้นไว้ กวัดแกว่งอยู่กลางลมหนาว
หลานชายข้างหลังอยากเล่นยิงกระสุนจนทนไม่ไหว ไม่ได้สนใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด
ทหารในประตูวังที่กรูออกมาตั้งแถวเป็นระเบียบอยู่ด้านหน้า
“ท่านเป็นใคร ทำลายประตูวังอ๋องข้าด้วยเหตุใด”
คนหนึ่งเอ่ยปากถาม
ถึงบอกว่าถาม แต่กลับไม่มีน้ำเสียงใด เรียบนิ่งเหมือนดื่มน้ำแก้วหนึ่งเฉยๆ
หมวกดำ เกราะดำ ดาบดำ
สัญลักษณ์คู่ทัพอีกาดำ
วังอ๋องเกิดเหตุขนาดนี้แล้วยังสุขุมได้เช่นนี้ ทัพอีกาดำนี้สมคำล่ำลือเสียจริง
กระทั่งเริ่นหยางผู้ไม่เคยแสดงอารมณ์ทางสีหน้ายังอดแอบชื่นชมในใจไม่ได้เมื่อเห็นฉากตรงหน้า
แม้การบุกวังอันตงอ๋องยามวิกาลในตอนนั้นเป็นเรื่องโง่เขลา แต่เสียงร้องของเหล่าเชื้อพระวงศ์และความชุลมุนของทหารในวังอันตงอ๋องทำให้เขาดูแคลนไม่น้อย
พอเทียบกับตอนนี้แล้วตัดสินได้ง่ายทีเดียว
ดังคาด ความสุขสบายเป็นการเสื่อมถอยอย่างหนึ่ง
อันตงอ๋องพานอวี่ฮวนคือหนึ่งในห้าอ๋องแห่งใต้หล้า แต่ความเป็นระเบียบและความสามารถในการรับมือสถานการณ์ของวังกลับย่ำแย่เช่นนี้ ตรงกับคำที่ว่าห้องเดียวยังไม่กวาดจะกวาดใต้หล้าได้อย่างไร[1]
ไม่เหมือนฮั่ววั่ง
แดนพายัพแห้งแล้งรกร้าง เกิดสงครามบ่อยครั้ง สภาพแวดล้อมอันยากลำบากขัดเกลาให้ประชาชนมีเจตจำนงต่อต้านศัตรูร่วมกัน สนามรบใต้แสงดาบและเงากระบี่หล่อหลอมเป็นกองทัพเสือสุนัขป่านับล้าน
‘ขุนพลเรืองนามแม่ทัพใหญ่เอ๋ยอย่าอวดตน พันทัพหมื่นม้าต้องหลีกลี้อีกาดำ’
นี่คือเพลงพื้นบ้านท่อนหนึ่งที่คนในเขตติ้งซีอ๋องรู้จักกันถ้วนทั่ว
ทัพอีกาดำมีเจ็ดพันกว่าคนเท่านั้น ร่วมเป็นร่วมตายตั้งแต่ตอนฮั่ววั่งเริ่มก้าวสู่สังคม
นับแต่ห้าอ๋องคืนสู่บัลลังก์ มีการสร้างกฎระเบียบใหม่ ฟื้นฟูพิธีการและดนตรี เมื่อเขาวางรากฐานในแดนพายัพมั่นคงแล้วย่อมต้องเงยหน้าอย่างภาคภูมิ กำจัดเนื้อร้ายที่คุกคามชายแดน
ศึกครั้งนั้น ราชสำนักทุ่งหญ้าดึงกำลังทั่วแคว้นรวบรวมทหารหมาป่าเกราะหนักได้แปดแสนกว่าคน บุกมาราวตั๊กแตนข้ามแดน ฮั่ววั่งนำทัพอีกาดำเป็นกองหน้าด้วยตนเอง ตอนสองฝ่ายเริ่มรบกันก็เห็นถึงความโน้มเอียงแล้ว แต่ฝ่ายที่ล้มลงไม่ใช่ทัพอีกาดำผู้เสียเปรียบ กลับเป็นทหารหมาป่าทุ่งหญ้าที่เหนือกว่าทั้งด้านกองกำลังและชัยภูมิ ฮั่ววั่งฉีกแนวป้องกันของอีกฝ่ายด้วยกลยุทธ์บดกิ่งแห้งขยี้ไม้ผุ[2] เป็นการ ‘เดินเข้าป้อมเขา เคาะทีเดียวแตกพ่าย’ โดยแท้ จากนั้นทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงนำทัพใหญ่ลอบจู่โจม ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สังหารจนทหารหมาป่าถอยทัพถอนกำลังไปหกสิบหลี่
จากนั้นราชสำนักทุ่งหญ้าก็ได้บทเรียนหลาบจำ ตัดสินใจรอซ้ำยามเปลี้ย อาศัยโอกาสและชัยภูมิสร้างป้อมปราการกว่ายี่สิบหลังต่อเนื่องหลายวัน เชื่อมเป็นลักษณะโจมตีผ่านซอก กลับมาดูฝั่งนี้ ฮั่ววั่งฉวยจังหวะกลางคืน นำทัพอีกาดำบุกเต็มกำลังอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ยึดจุดยุทธศาสตร์มาสิบกว่าหลังภายในหนึ่งคืน ป้อมปราการที่เหลือเห็นแสงไฟลุกโหมทุกทิศทาง ระหว่างห่วงตรงนั้นเสียตรงนี้ในช่วงชุลมุน กองทัพแตกกระเจิงทันใด
หลังสงครามนี้ กำลังหลักของราชสำนักทุ่งหญ้าแทบย่อยยับทั้งกอง ศพคนทับถมแม่น้ำจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้ชื่อทัพอีกาดำจึงสะเทือนทั่วหล้า มีเพียงทัพสามเกียรติใต้บังคับบัญชาฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าที่ทัดเทียมกันได้
ในเขตแดนพายัพ ทัพอีกาดำแต่ละคนล้วนเป็นเซียนทหาร และฮั่ววั่งก็คือเทพสงคราม
“ข้าผู้เฒ่าเริ่นหยาง มาเยี่ยมเยียนสหายเก่า หลานยังเล็กเลยซนนัก ทำประตูวังอ๋องพังโดยไม่ระวัง”
บนหน้าเริ่นหยางปรากฏรอยยิ้ม เขายิ้มเพราะคำอ้างหนนี้ของตน
ตามที่เขารู้ สหายเก่าของเขาถูกฮั่ววั่งขังอยู่ในคุกใต้ดิน หลานชายพังประตูก็เป็นผลที่ตนนิ่งเฉย ไม่มีทางใดแก้ตัวได้เลยจริงๆ แม้เป็นคนรู้ชอบด้วยเหตุผลเพียงใดก็ต้องจนใจกับเรื่องนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทัพอีกาดำผู้เด็ดเดี่ยวและซื่อตรง
“กบฏก่อความวุ่นวาย สังหารทันที!”
ทัพอีกาดำตรงหน้าตัดสินโทษตายให้ปู่หลานสองคนนี้แล้ว ทหารที่เอ่ยถามเมื่อครู่บุกนำมาก่อน
เห็นเขาพุ่งมาไม่กี่ก้าวแล้วกระโดดขึ้น ดาบฆ่าสุนัขป่าสีดำสนิทม้วนเอาแสงเย็นพุ่งเข้าฟันส่วนคอของเริ่นหยาง
“เจ้าออกไปก่อน”
เห็นเพียงข้อมือเริ่นหยางสั่นเล็กน้อย กระบี่สั้นลากสายเบ็ดก็คดพันอยู่บนข้อเท้าของนายทหารผู้นี้ ดึงเบาๆ เขาก็ล้มลงจากกลางอากาศ
ทัพอีกาดำที่เหลือเห็นหัวหน้าถูกขัดขวางการโจมตีย่อมรู้ว่าเจอยอดฝีมือเข้าแล้ว จึงจัดวางกระบวนทัพทันที เก้าคนหนึ่งกลุ่ม เดินล้อมวงราวลูกข่างใบมีดที่หมุนวน บุกมาสังหารเริ่นหยาง
“พวกเจ้าเข้าไป”
เริ่นหยางไม่ยกเปลือกตาสักหน ฝีเท้าก็ไม่เคลื่อนไหวเลยสักชุ่น
สะบัดเบาๆ อีกครั้ง สายเบ็ดก็พันรอบกลุ่มย่อยเก้าคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดไว้แน่นหนา
ยกคันเบ็ดขึ้น ทัพกลุ่มนี้ก็ถูกโยนไปในลานบ้านฝั่งตรงข้ามทันที
“ข้าผู้เฒ่าไม่มีอารมณ์รบติดพัน! แค่ขอพบสหายเก่าสักครู่ หากประตูนี้ต้องซ่อมข้าผู้เฒ่ารับผิดชอบเอง”
เริ่นหยางเห็นแรงฮึดไม่หยุดหย่อนของทัพอีกาดำในใจก็ตะลึง จึงเอ่ยคำอธิบายอีก คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่พูดสักคำ เอาแต่เปลี่ยนกระบวนทัพบุกสังหารท่าเดียว ไม่ว่าศัตรูเป็นใคร พวกเขาล้วนไม่มีความกลัวหรือหวั่นไหวแม้แต่น้อย ต่อให้รบตายก็ต้องล้มอยู่บนทางที่บุกเข้าโจมตี
เริ่นหยางมือขวากำคันเบ็ดไว้แน่น ฝ่ามือชื้นเหงื่อเล็กน้อย
แม้เพลงกระบี่เขาทรงพลังเพียงใด ฝึกตนขั้นสูงแค่ไหนก็ยังตัวคนเดียว เขาอาจเข้าใจพฤติกรรมของทัพอีกาดำตรงหน้าได้ แต่ในใจกลับไร้ความรู้สึกร่วม ‘ต่างคนกวาดหิมะหน้าบ้านอย่าสนใจน้ำค้างแข็งบนกระเบื้องคนอื่น[3] วันนี้มีสุราก็ดื่มให้เมามาย พรุ่งนี้มีเรื่องกลุ้มก็ค่อยกลุ้มพรุ่งนี้’ นี่ก็คือการใช้ชีวิตและปรัชญาทางโลกของเขา
ไม่มีปณิธานเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความศรัทธาร่วมกัน ยิ่งไม่มีเจตจำนงต่อสู้เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ในสายตาเขา ทัพอีกาดำสละชีพเช่นนี้ ตอนทำสงครามความกล้าไม่กลัวตายแบบนั้นคงเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดีกระมัง
ตอนปลดกระบี่ตกปลาออก ความคิดของเริ่นหยางคือจัดการความยุ่งยากให้หมดสิ้น แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
ไม่ใช่ปล่อยพวกเขา แต่เป็นปล่อยตนเอง
“ข้าตามพวกเจ้าไปลงโทษได้ แต่ก่อนลงโทษข้าต้องให้ข้าพบฮั่ววั่งก่อน”
“ท่านปู่ข้าหิวแล้ว!”
เสียงของเด็กน้อยดังมาจากข้างหลัง
“หลานไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวปู่ทำของอร่อยให้เจ้ากิน”
………………………..
เมืองจี๋อิง ในกองบัญชาการทัพกลาง
เฮ่อโหย่วเจี้ยนมอบหมายงานกองทัพเสร็จแล้วก็เตรียมออกเดินทาง
“ท่านแม่ทัพเฮ่อไม่จัดสัมภาระหน่อยหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าถามใจตนแล้วไม่มีความรู้สึกผิด คิดว่าใต้เท้าทั้งหลายในกรมสอบสวนล้วนเป็นธรรมยิ่ง ต้องคืนความบริสุทธิ์ให้ข้าน้อยได้ในไม่ช้า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เชิญท่านถอดเกราะด้วย พวกเราเดินทางทันที”
แม้เฮ่อโหย่วเจี้ยนปลดกระบี่คู่กายทิ้งเองแต่ไม่ได้ถอดเกราะทั้งชุด ได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งพูดเช่นนี้เขากลับมีสีหน้าเยียบเย็น
“ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบตั้งใจเหยียดหยามข้าน้อยอย่างนั้นหรือ”
“ถอดเกราะปลดกระบี่ ก็เป็นเรื่องที่ท่านควรทำอยู่แล้ว จะบอกว่าเหยียดหยามได้อย่างไร”
“มีแค่ทำผิดต่อกองทัพถึงจะถูกปฏิบัติเช่นนี้ อีกอย่างเรื่องของข้าจนบัดนี้ยังไม่มีข้อสรุป ข้าอดกลั้นตอบตกลงไปหัวเมืองรัฐติงกับท่านเพื่อแยกแยะถูกผิด ชี้แจ้งต้นสายปลายเหตุ กรมสอบสวนกลางของท่านคิดว่าข่มเหงหัวเมืองรัฐติงข้า เขตติ้งซีอ๋องข้าได้งั้นรึ!”
ฝ่ามือใหญ่เท่าพัดของเฮ่อโหย่วเจี้ยนตบลงบนโต๊ะ
โต๊ะนั้นรับเสียงและแยกออกล้มลงไปตรงกลาง องครักษ์ถือทวนนอกกระโจมได้ยินเสียงแล้วเดินเข้ามาเป็นแถว ทวนยาวแสงเงาวาวชี้หลิวรุ่ยอิ่งทั้งหมด
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะชักกระบี่ ผู้สั่งการหัวเมืองเสิ่นซือเซวียนพาชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในกระโจม เห็นป้ายเอวที่ห้อยอยู่ตรงเอวชายวัยกลางคน หลิวรุ่ยอิ่งมั่นใจขึ้นฉับพลัน
สายตาของชายวัยกลางคนกวาดมองในกระโจมรอบหนึ่งแล้วหยุดที่กายหลิวรุ่ยอิ่ง หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้าให้เขาน้อยๆ
“ข้าน้อยสืออีเฟิง”
ชายวัยกลางคนเอ่ย
นับแต่หลังจากตัดลิ้นห้าลิ้นในเพิงขายชา สืออีเฟิงก็มุ่งมาถึงที่นี่โดยไม่พักม้า
เขาไม่ได้สังกัดอยู่กรมสอบสวน แต่เป็นวงนอกที่กรมสอบสวนสร้างขึ้น
กรมสอบสวนมีเรื่องไม่อาจเปิดเผยมากมายต้องการให้ผู้ฝึกตนพเนจรในยุทธภพที่มีเสน่ห์โน้มน้าวใจและฝึกตนถึงขั้นสูงอย่างสืออีเฟิงไปลงมือ และสืออีเฟิงก็อยากหลังพิงต้นไม้ใหญ่อาศัยความร่มเย็น[4]เช่นกัน
สองฝ่ายไม่ถึงขั้นยึดมั่นคุณธรรมเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็เข้ากันได้ง่าย
กรมสอบสวนรู้ดีว่ารัฐติงและเมืองจี๋อิงไม่มียอดฝีมือ จึงสั่งให้สืออีเฟิงรีบมาช่วยเหลืออย่างลับๆ การเดินหมากเสี่ยงชีวิตนี้เรียกได้ว่าเหมาะเจาะพอดี
สุดท้าย เฮ่อโหย่วเจี้ยนยังคงถอดเกราะ
หลิวรุ่ยอิ่งสูดหายใจลึกด้วยจมูกแล้วอ้าปากผ่อนลมออกมา หมอกขาวหนากลุ่มหนึ่งบดบังสายตาของเขา ความคิดหนึ่งผุดขึ้น เขาล้วงสมุดเล่มเล็กนั่นออกจากห่อผ้าด้านหลัง เป็นสมุดเล่มเล็กที่บันทึกกฎเกณฑ์แห่งยุทธภพตอนดื่มสุราอยู่โรงเตี๊ยมพูนโชคยามเพิ่งมาถึงเมืองจี๋อิงเมื่อหลายวันก่อน
สามคนออกประตูกองบัญชาการแล้วเดินมุ่งหน้าไปหัวเมืองรัฐติง หลิวรุ่ยอิ่งฉวยมือโยนสมุดเล่มเล็กทิ้งในกระถางไฟตรงทางเข้ากองบัญชาการ
บางครั้งเมื่อสิ่งที่เจ้าเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าผ่านเหตุการณ์มามาก มันยังมีค่าไม่สู้ขี้เถ้าหย่อมหนึ่งด้วยซ้ำ หลิวรุ่ยอิ่งหดคอเล็กน้อย รู้สึกเมื่อครู่ตนออกจะขี้ขลาด หากไม่ใช่สืออีเฟิงปรากฏตัวอย่างอาจหาญ อย่าว่าแต่รักษาชีวิตตนเองไว้ไม่อยู่ อย่างน้อยก็คงเสี่ยงเข้าตาราง จากนั้นเขานึกถึงหยวนเจี๋ยอีกครั้ง นึกถึงสัญญาของตน เขาสาบานว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องเป็นครั้งสุดท้าย
“ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบไม่สบายตรงไหนหรือ”
สืออีเฟิงเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้พบว่าเมื่อครู่ตนคิดจนเหม่อลอยไปไกล ถึงขั้นชักกระบี่ออกมาโดยไม่รู้ตัว จึงยิ้มเก้อกระดาก
‘ข้ายังห่างไกลอีกเท่าไรกันนะ…’
………………………..
ในที่ว่าการรัฐติง ทังจงซงกระโดดขึ้นจากบนเตียงเหมือนปลาไนดิ้น
“เร็วๆๆ ไปทำของกินให้ข้าหน่อย! ขาหมูตุ๋นน้ำแดง ซี่โครงแกะผัดผงยี่หร่า เครื่องในไก่ผัดพริก นกกระทาย่าง หูฉลามพระหัตถ์ หม้อไฟปลาน้ำข้น….ในปากข้าไม่มีรสชาติอะไรเลย!”
เผียวเจิ้งหงรู้ว่าทังจงซงหิวสุดขีดแล้ว
ทุกวันล้วนแกล้งเจ็บหมดสติ นอนบนเตียงนี้มาสิบสองชั่วยาม พอนับดูนี่เป็นวันที่สามแล้ว ไม่แน่ยังต้องทนฟังฮูหยินร้องไห้รำพันอีกรอบ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว
“นายน้อย ตอนนี้ท่านเจ็บหนักเพิ่งดีขึ้น ถ้าสั่งให้ส่งอาหารเหล่านี้มาต้องทำคนตกใจตายเป็นแน่ เกรงว่าคงไม่ผ่านด่านฮูหยิน”
“โธ่เอ๋ย เจ้าก็บอกว่าข้าเสียเลือดเยอะเกินแล้วหมดสติหลายวันต้องการบำรุงร่างกายสิ! เลือดกับชี่ไหลออกทางปาก ย่อมต้องกินคืนมา!”
เผียวเจิ้งหงจนปัญญา ตอบรับคำหนึ่งก็ออกไปจัดการ
ทังจงซงหัวหนุนแขนขวาไขว้ขากระดิกเท้าอยู่บนเตียง ในปากยังกัดผลไม้ที่ไม่รู้หามาจากไหน นัยน์ตาที่หรี่ขึ้นฉายความเย็นเยียบเฉียบคมอยู่ตลอด ไม่รู้กำลังวางแผนอะไรอีก
เวลาเที่ยงพอดี ทังหมิงกำลังกินข้าว
ทหารคนหนึ่งรีบร้อนเดินเข้ามาทันใด เขากระซิบข้างหูทังหมิงรอบหนึ่ง สีหน้าทังหมิงเปลี่ยนพลัน หยุดตะเกียบวางชามเดินสาวเท้าไปนอกประตูที่ว่าการ เขาเดินพลางออกคำสั่ง ไม่นานนักทั้งที่ว่าการก็วุ่นวายขึ้นมา แม้แต่ทังจงซงก็นอนอยู่บนเตียงไม่สงบแล้ว ลุกขึ้นก้มมองตรงช่องหน้าต่างตาปริบๆ
“นายน้อย ในที่ว่าการไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกคนครัวได้รับคำสั่งจากนายท่านให้ดับไฟไล่ควัน อาหารที่ท่านสั่งเกรงว่าคงไม่มีหวังสักช่วงหนึ่งขอรับ”
เผียวเจิ้งหงกลับมาเอ่ยด้วยสีหน้าผิดหวัง
เขากินน้ำแกงไก่เป็นเพื่อนนายน้อยที่แกล้งหมดสติผู้นี้มาหลายวันแล้ว…แม้แต่ขนมแห้งก็ไม่เคยได้กิน…เกือบลืมไปแล้วว่าฟันในปากของตนมีไว้เพื่อทำการใด
“เฮอะๆ ไม่รีบร้อน อาหารนั่นไม่กินก็ได้ นี่ต่างหากอาหารโต๊ะใหญ่ล้ำค่าเลิศรส!”
ทังจงซงโยนผลไม้ครึ่งลูกที่เหลือให้เผียวเจิ้งหง และเอ่ยพลางบุ้ยปากไปด้านนอก
……………………………………….
[1] ห้องเดียวยังไม่กวาดจะกวาดใต้หล้าได้อย่างไร หมายถึงแค่เรื่องเล็กๆ ยังทำได้ไม่ดี แล้วจะทำงานใหญ่ได้อย่างไร
[2] บดกิ่งแห้งขยี้ไม้ผุ หมายถึงทำลายจนพินาศอย่างง่ายดาย
[3] ต่างคนกวาดหิมะหน้าบ้านอย่าสนใจน้ำค้างแข็งบนกระเบื้องคนอื่น หมายถึง สนใจแค่เรื่องของตัวเองก็พอแล้ว
[4] หลังพิงต้นไม้ใหญ่อาศัยความร่มเย็น หมายถึง มีเส้นสายคอยช่วยตนก็ได้ประโยชน์โดยไม่เหนื่อย หรือมีที่พึ่งพิงก็สามารถทำเรื่องต่างๆ ได้ดี