ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 19 เป็นผู้ทัศนาจรในโลกหล้า-1
บทที่ 19 เป็นผู้ทัศนาจรในโลกหล้า-1
สืออีเฟิง
ตายแล้ว
จะว่าไปหัวเมืองรัฐติงนี้ไม่มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว
เจ้าของโรงเตี๊ยมได้ยินความเคลื่อนไหวผิดปกติในห้องพักแขกชั้นบน ร้องเรียกเสี่ยวเอ้อร์หลายครั้งแล้วไม่เป็นผล จึงถือตะเกียงขึ้นมาตรวจดูด้วยตนเอง
“เจ้าหนุ่มขี้คร้านนี่แอบอู้งานอีกแล้วรึ! หากมีหนูมุดสะเปะสะปะมารบกวนแขกจะทำอย่างไร”
ถัดจากนั้น ร่างกลมดิกของเจ้าของร้านก็ตีลังกาล้มลงจากบันได คลานออกนอกร้านเพราะกลัวจนฉี่ราด
“มีคนโดนฆ่า!”
อาจเป็นเพราะแสงไฟกับคนเดินเท้านอกร้านที่มอบความกล้าให้ไม่น้อย เขาเปล่งเสียงตะโกนดังลั่นในที่สุด
หลิวรุ่ยอิ่งที่เพิ่งออกจากที่ว่าการก็ได้ยินเสียงร้องน่ารันทดผ่าแหวกท้องฟ้ายามกลางคืนในหัวเมืองรัฐติงเช่นกัน แต่เขาไม่มีแม้แต่ความใคร่รู้
ตอนเข้าไปมีเขากับเฮ่อโหย่วเจี้ยนสองคน
ตอนออกมามีตัวเขาคนเดียว
รู้ผลแพ้ชนะแล้ว
เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะดื่มสุราแรงกี่จอกล้วนไม่อาจลบล้างนัยน์ตาดุจอสรพิษของฮั่ววั่งที่จ้องตนเขม็งได้เลย
หรือบอกว่าจ้องกระบี่ของตน
‘ตอนนี้สงครามชายแดนคับขัน การเปลี่ยนแม่ทัพก่อนเริ่มศึกเป็นข้อห้ามสำคัญของนักยุทธศาสตร์ทางทหาร เพียงให้เฮ่อโหย่วเจี้ยนได้ทำความดีระหว่างต้องโทษไปก่อน หากเขาสมคบกับข้าศึกจริง เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องรบกวนให้กรมสอบสวนเจ้าลงมือ ข้าจะประหารเขาด้วยตนเอง’
ประโยคสวยหรูนี้คือคำอธิบายทั้งหมดที่หลิวรุ่ยอิ่งได้รับ
เขาจิตใจหลุดลอยเดินอยู่หัวมุมถนน ก้าวย่างโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ
หันกลับไปมอง ประตูที่ว่าการนั้นเหมือนภาพลวงตา และคนที่ได้พบก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร…
ทางเข้าโรงเตี๊ยมคับคั่งด้วยฝูงชนที่มามุงดูกันขวักไขว่ หลิวรุ่ยอิ่งต้องใช้ความพยายามถึงเบียดตัวเข้าไปได้
จำต้องบอกว่าความสงบเรียบร้อยในหัวเมืองรัฐติงคงดีที่สุดอย่างแท้จริง
เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา[1] ทหารผู้มีหน้าที่พิทักษ์เมืองได้ปิดล้อมโรงเตี๊ยมแล้วยังบันทึกคำให้การของเสี่ยวเอ้อร์กับเจ้าของร้าน
หลิวรุ่ยอิ่งเดินตรงดิ่งมาหน้าศพของสืออีเฟิง ก้มตัวมองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ใบหน้าสืออีเฟิงปกติ เหมือนเดิมทุกส่วน
มีเพียงบริเวณหลอดลมตรงลำคอที่มีรอยแผลบางๆ เส้นหนึ่ง เขาใช้ตะเกียบกดลงเบาๆ เลือดสีม่วงดำผสมกลิ่นสุราก้อนใหญ่ทะลักออกมาชุ่มสาบเสื้อไปหมด
หลิวรุ่ยอิ่งตกใจจนจับตะเกียบไม่มั่น ร่วงลงบนพื้น
ได้ยินว่าคนโบราณผู้หนึ่งถูกสถานการณ์บีบคั้น จำต้องทิ้งตะเกียบฟังเสียงฟ้าร้องเพื่อปกปิดความทะเยอทะยานเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นของตน
แต่ยามนี้ ฟ้าดินเปิดโล่งเงียบสงบ
สืออีเฟิงสมญากระบี่เร็วผิงหนาน ฝีมือกระบี่เร็วนี้อย่างไรก็อยู่ห้าอันดับแรกในเขตผิงหนานอ๋องได้
ทว่าคนที่สังหารเขากลับแทงกระบี่เข้าตอนเขาหายใจลึกกลืนสุรา ตัดหลอดลมขาดแล้วค่อยดึงออก ความเร็วในการลงมือถึงขั้นทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อตอบสนองไม่ทัน ยังคงแนบสนิทด้วยกัน มีเพียงรอยเลือดซิบค่อยๆ ซึมออกมาด้านนอก
‘ต้องเป็นกระบี่เร็วขนาดไหน!’
ศพยังอุ่นร้อน แต่ไม่อาจสัมผัสถึงจิตสังหารกับเจตจำนงผู้ใช้กระบี่ในอากาศได้เลย
ผู้ลอบสังหารไม่ได้ใช้การฝึกฝนใดๆ ทั้งสิ้น เพียงลงมืออย่างเรียบง่ายเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ
ออกกระบี่
ฆ่าคน
เก็บกระบี่
ทุกขั้นตอนล้วนเบามากและระวังยิ่ง
คล้ายคนรักสะอาดผู้ไม่ยอมให้คราบเปื้อนใดเลอะเสื้อผ้าของตน อีกทั้งเหมือนลูกแมวตัวหนึ่งกำลังเขี่ยกระดิ่งลมเล่นด้วยกรงเล็บอุ้งเท้าสีชมพูนุ่มนิ่ม
อาศัยแค่กล้ามเนื้อดันแรงฉับพลันก็สามารถบรรลุกระบี่เร็วที่แทบไม่ทิ้งเงาเช่นนี้ได้
หลิวรุ่ยอิ่งเคยเห็นกระบี่เร็ว แต่ไม่เคยเห็นกระบี่ที่เร็วเช่นนี้
กระบี่ของสืออีเฟิงก็อยู่ข้างกาย แต่เขาไม่มีแม้แต่โอกาสชักกระบี่
กระบี่เร็วผิงหนาน
คำนี้กลายเป็นการเยาะหยันครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้
………………………..
อาคารกรมสอบสวนกลาง หัวเมืองรัฐติง
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ตัวว่าไม่อาจรายงานผล
แม้การจับกุมเฮ่อโหย่วเจี้ยนเป็นคำขอของคุกหลวง ไม่นับเป็นคำสั่งของหน่วยกรมสอบสวนนี้ แต่ตนเดินทางไม่กลัวลำบากเป็นหมื่นลี้มายังชายแดนเขตติ้งซีอ๋องเพื่อตรวจสอบเรื่องทหารหมาป่ารุกรานชายแดน ผลคือไม่เพียงไม่รู้แจ้งในต้นเหตุของเรื่องราว กระทั่งสืออีเฟิงก็ตายอยู่ที่นี่ด้วย
“ใช่หลิวรุ่ยอิ่งผู้แทนการตรวจสอบพิเศษหรือไม่”
กรมสอบสวนกระจายอยู่ทั่วเขตอ๋องทั้งห้า หัวเมืองทุกรัฐและบริเวณพรมแดนล้วนมีอาคารตั้งอยู่รวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดหลัง แต่ละอาคารมีหนึ่งร้อยแปดคน ในนั้นมีผู้รับใช้กองสามสิบหกคน ผู้สั่งการกองเจ็ดสิบสองคนและให้นายกองหนึ่งคนรับตำแหน่งหัวหน้าอาคาร หนึ่งร้อยแปดอาคารนี้มีผู้ควบคุมกรมสี่คนดูแลร่วมกัน เป็นกำลังใหญ่สุดของกรมสอบสวนนอกจากสาขาเมืองหลวง และก็เป็นที่พึ่งสำคัญในการตรวจสอบใต้หล้าของกรมสอบสวน
“เป็นข้าน้อยเอง คารวะท่านนายกองหัวหน้าอาคาร”
“ผู้แทนการตรวจสอบหลิวให้ข้าน้อยรอนานเสียจริง!”
พอหลิวรุ่ยอิ่งเข้าไป หัวหน้าอาคารผู้นี้ก็ต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
การกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์นี้ทำให้เขาสับสนอย่างยิ่ง
“สี่วันก่อน ใต้เท้าเจี่ยงชางฉงผู้ตรวจการกองสัคคะเนตรส่งหนังสือตอบรับที่เขียนด้วยตนเองมา บอกว่าท่านมีคุณูปการยิ่งใหญ่ พบร่องรอยการเคลื่อนไหวของสำนักปากสอบและฐานเมฆาในชายแดนเขตติ้งซีอ๋อง โดยเฉพาะเจอตัวจางอวี่ซูอดีตผู้สั่งการสำนักปากสอบ จึงเลื่อนขั้นพิเศษให้ท่านเป็นนายกองสัคคะเนตร เฝ้าติดตามทั้งสอง ตรวจสอบชายแดนและตรวจตราเขตติ้งซีอ๋องต่อไป”
หลิวรุ่ยอิ่งมองเสื้อคลุมกระเรียนผ้าปักดอกลายคลื่นเขียวที่หัวหน้าอาคารส่งมา เขายื่นมือรับอย่างมึนงง
“นายกองหลิว หากท่านต้องการสิ่งใดในรัฐติงไม่ต้องเกรงใจเป็นอันขาด สั่งมาได้เลยทุกเมื่อ!”
หัวหน้าอาคารก็เป็นเจ้าแห่งการแล่นเรือตามลม[2]คนหนึ่ง เห็นหลิวรุ่ยอิ่งรับชุดขุนนางแล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกทันที แม้ตอนนี้เขากับหลิวรุ่ยอิ่งเป็นนายกองเหมือนกัน แต่หลิวรุ่ยอิ่งเป็นถึงนายกองสัคคะเนตร รับคำสั่งใต้เท้าผู้กำกับการกรมโดยตรง เขากลับเป็นแค่หัวหน้าของอาคารหลังหนึ่ง แม้ระดับเท่ากัน แต่ไม่อาจมองฐานะด้วยสายตาเดียวกันได้
นายกอง
ตำแหน่งขั้นสองของกองสัคคะเนตร
ตามระเบียบแล้วแต่งตั้งแค่สามคน
บัดนี้รวมหลิวรุ่ยอิ่ง กองสัคคะเนตรก็มีนายกองสี่คนแล้ว
เมื่อก่อนก็ใช่ว่าไม่เคยมีคนได้เลื่อนยศข้ามขั้นเพราะสร้างผลงานสำคัญ
แต่เลื่อนยศติดกันสามขั้นจากขุนนางเล็กๆ ปลายแถวเป็นนายกองคนที่สี่ เกรงว่าเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของกรมสอบสวน
หลิวรุ่ยอิ่งหวนคิดคำพูดที่หัวหน้าอาคารกล่าวเมื่อครู่ก็ยิ่งสับสน
สำนักปากสอบ? ฐานเมฆา? ผู้สั่งการสำนักจางอวี่ซู?
เพียงแต่เงาร่างของบัณฑิตจางกับคำเรียกนี้ค่อยๆ ทับซ้อนกัน
“เหมือนเขาเคยถามเรื่องกระบี่ของข้าอยู่เหมือนกัน…”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่ากระบี่ที่ติดตัวเขามาตลอดเล่นนี้มีแรงดึงดูดอะไรกันแน่ เหตุใดใครๆ ก็อดตื่นเต้นเพราะมันไม่ได้
นับแต่เหยียบเข้าหัวเมืองรัฐติงนี้แต่ละเรื่องแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเหนือความเข้าใจของเขาไปหมด
แต่รับชุดขุนนางมาแล้ว ไม่ว่าใครทำผลงานนี้ ประจบก็ดี แทนที่ก็ดี ตอนนี้เป็นของเขาทั้งหมด
ที่เหลือก็ทำได้แค่เดินทีละก้าวแล้วค่อยว่ากันไป
“แต่มีเรื่องหนึ่งต้องรบกวนหัวหน้าอาคาร”
“นายกองหลิวเชิญพูด ข้าน้อยทำสุดความสามารถแน่นอน”
“สืออีเฟิงกระบี่เร็วผิงหนาน เป็นวงนอกที่กรมสอบสวนข้าเพิ่มขึ้นมา เขาตายแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยเรียบเฉย
“อ้อๆ! จริงด้วยๆ ตอนสืออีเฟิงติดตามนายกองหลิวมาตรวจสอบจับกุมนักโทษที่ชายแดนโชคไม่ดีถูกโจมตีเสียชีวิต ข้าน้อยส่งคนยืนยันตัวตนแล้ว จะร่วมลงนามรายงานกับนายกองหลิว”
หัวหน้าอาคารฟังจบแล้วอึ้งไปเล็กน้อยชั่วครู่ จากนั้นกล่าวต่อ
เขารู้เรื่องสืออีเฟิงถูกฆ่าในโรงเตี๊ยม นึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยออกมาตอนนี้เพราะอยากให้ตนช่วยปกปิด อย่างไรก็เพิ่งเลื่อนขั้น ใครก็ไม่อยากแบกรับคดีฆาตกรรมนี้อีกไม่ใช่หรือ ย่อมต้องทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กและขจัดมันทิ้ง
“ไม่ หัวหน้าอาคารเข้าใจผิดแล้ว ข้าอยากให้ท่านร่วมลงนามรายงานกับข้าเป็นเรื่องจริง แต่จดหมายลับต้องเขียนเช่นนี้…”
………………………..
เมืองจี๋อิง กองบัญชาการทัพกลาง
ขณะเดียวกับหลิวรุ่ยอิ่งออกมา เฮ่อโหย่วเจี้ยนก็มุ่งหน้าไปชายแดนจากช่องทางอื่นในหัวเมืองอย่างลับๆ
ยามนี้เขาสวมชุดเกราะตอนหลิวรุ่ยอิ่งมาจับกุมในวันนั้นอีกครั้ง เอวแขวนกระบี่คู่กาย ยืนอยู่หน้าแผนที่ราวกำลังคิดบางอย่าง
กระทั่งท่าทางก็ไม่เปลี่ยน
นอกกองบัญชาการมีคนเดินผ่านอีกครั้ง
พอเห็นคนวนเวียนอยู่นอกประตูกองบัญชาการคนเดียวองครักษ์ถือง้าวยืนยามก็ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย…ไม่รอคนเดินมาเอ่ยปากก็วิ่งหายเข้าไปรายงานแล้ว
แม้แต่ชื่อสกุลยังไม่มีใครรู้แล้วเอาอะไรมารายงานล่ะ
ช่างเถอะ อย่างไรก็ดึงคนตำแหน่งใหญ่สักคนออกมาจัดการได้
“ผู้สั่งการหัวเมืองเสิ่น คนนั้นละขอรับ! เอ๊ะ…”
องครักษ์ถือทวนผู้นั้นนำเสิ่นซือเซวียนมายังประตูกองบัญชาการ แต่พบว่าคนนั้นไม่ได้มีเจตนาเข้ามา กลับเดินไกลออกไปเรื่อยๆ เดินมุ่งสู่เขตของราชสำนักทุ่งหญ้านอกชายแดน
เวลาเพียงชั่วครู่ อยากจะขวางไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว
ราชสำนักทุ่งหญ้า หน่วยกลืนจันทรากองกำลังฝ่ายซ้าย
ผู้นำหน่วยสามซือเฟิงรับหน้าที่บัญชาการแนวหน้า นำทหารต้านเฮ่อโหย่วเจี้ยน
เทียบกับการวางแผนเผด็จศึกของเฮ่อโหย่วเจี้ยน ฝั่งราชสำนักเหมือนเห็นเป็นการเล่นสนุกของเด็กเท่านั้น
ในกระโจมใหญ่ซือเฟิงกับเหล่าทหารหน่วยของเขากำลังเต้นระบำดาบอาชาอันเป็นเอกลักษณ์ของทุ่งหญ้าโดยมีนักดนตรีคอยบรรเลง
เพียงเห็นมือซือเฟิงถือดาบคู่ หมุนลอยขึ้นลงตามดนตรีสนุกดุดัน
กายเขาย่อต่ำยิ่ง สองขาเตะสับกันไม่หยุดหย่อน
ใช้ข้อมือเป็นจุดศูนย์กลาง ขยับเคลื่อนทั้งแขน ยิ่งเต้นยิ่งเร็ว
พริบตาเดียวที่ว่างทุกชุ่นในกระโจมค่ายก็ถูกเติมเต็มด้วยแสงดาบ
เห็นเป็นดั่งสายฟ้าพิโรธ ข้างหูกลับได้ยินแค่เสียงลมหวีดหวิว
ทันใดนั้น ซือเฟิงโยนดาบเล่มหนึ่งขึ้นสูง จากนั้นลอยขาขึ้นเตะมันไปตรงขอบประตู
‘ฉับ’
ม่านประตูขาดรับเสียง ปรากฏเงาร่างคนคนหนึ่ง
“เหยียนจื่อ! เจ้ากลับมาแล้ว?”
ซือเฟิงยิ้มเอ่ย
………………………..
ในหัวเมืองรัฐติง
หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งเดินออกอาคารไม่นานก็ได้ยินคนเรียกตนอยู่ไกลๆ
“โอ้โฮ! สหาย ชุดตัวนี้ของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ! ซื้อมาจากไหน เป็นสินค้าเมืองหลวงกระมัง ดูลายปักนี่! ดูฝีเย็บนี่! เนื้อผ้าต่วนนี่! จึๆๆ เดินทั่วเขตติ้งซีอ๋องยังไม่แน่เลยว่าจะซื้อได้หรือเปล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นทังจงซงแขนบาดเจ็บแล้วยังพันคล้องไว้บนคอ แต่ก็ไม่ลืมพิจารณาชุดขุนนางใหม่ของตนบนจรดล่าง ครู่หนึ่งทั้งรู้สึกน่าโมโหและน่าขัน
โมโหที่บิดาสมควรตายของเขาวางแผนใส่ตน ตลกที่เขายังใช้ชีวิตอย่างไม่คิดอะไรเช่นนี้
คืนนั้นเหตุมาจากฮั่ววั่งมอบสุราให้ ทังจงซงเลยเทลงกระเพาะอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นานก็อ้วกจนหมดสภาพและถูกคนรับใช้แบกกลับห้อง ไม่รับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเลย ตอนนี้ดูท่าถึงจะสร่างเมาแล้วก็ไม่มีใครเผยให้เขารู้สักคำ
นี่ควรดีใจหรือเศร้ากันแน่
“วันนี้โรงขับร้องชื่อโรงเรืองขวัญในหัวเมืองมีผู้รอบรู้ผู้โด่งดังมากคนหนึ่งมา ข้าเป็นผู้สนับสนุนประจำของที่นั่น พวกเขาเหลือที่นั่งหลักไว้ให้ข้าคู่หนึ่ง น่าสนใจหรือไม่ ใต้เท้าผู้แทนการตรวจสอบให้เกียรติไปฟังหนังสือด้วยกันสักรอบเป็นอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบตกลงโดยไม่ยั้งคิด
ทังจงซงดีใจสุดขีดทันใด แต่ในใจกลับเกิดความสงสัยขึ้นพร้อมกัน
ผู้รอบรู้นี้ก็หมายถึงนักเล่าเรื่อง ที่ว่าพูดร้อยครั้งไม่ระอา เพียงเพื่อได้รอยยิ้มจากท่านสักหน
สมแล้วจริงๆ ที่โรงเรืองขวัญเป็นโรงขับร้องที่ดีที่สุดในหัวเมืองรัฐติง
โถงใหญ่อันกว้างขวาง แสงสีอันสว่างไสว กระทั่งชามีชื่อที่ส่งมายังอบด้วยกลิ่นมะลิ
พอเปิดออกดูยิ่งเป็นชาหลายสิบชนิด อาหารว่างหลายร้อยอย่าง ขัดกับบรรยากาศเย็นข้างนอกอย่างสิ้นเชิง
“สมกับเป็นนักแสดงเลื่องชื่อโดยแท้! เจ้าดูแค่การแต่งตัวนี่ก็ไม่เหมือนใครแล้ว!”
คำวิจารณ์รอบด้านลอดเข้าหูของหลิ่วรุ่ยอิ่ง
ที่นั่งที่โรงเรืองขวัญจัดให้ทังจงซงย่อมดีที่สุด
เมื่อเขาเงยหน้ามองนักเล่าเรื่องผู้นี้ สวรรค์ทรงโปรดที่ตนไม่ตกใจ!
แม้ดูอายุบนหน้าไม่ออก แต่ร่องรอยยับย่นเป็นเส้นเป็นสายนั้นไม่อาจปลอมขึ้นได้
บนหัวสวมหมวกฟางกลับด้าน เอวแขวนดาบยาวเล่มหนึ่ง
ท่าทางเตรียมเล่าเรื่องเสียที่ไหน หากเจ้าบอกว่าวันนี้เข้ามาร้องงิ้วเรื่องสันติศึก[3]รับรองทุกคนเชื่อกันหมด
“นี่มันแปลกชะมัดเลย! ข้าฟังคนเล่าเรื่องมานานนม…จะยกโบราณวิจารณ์ปัจจุบัน วิจารณ์โบราณถึงปัจจุบัน สะท้านโบราณโชติช่วงถึงปัจจุบัน…ไม่ว่าโบราณปัจจุบันอะไรล้วนเคยเห็น! แต่สหายเจ้าลองดูป้ายยาวที่กางบนเวทีนี่ เก็บโบราณค้าปัจจุบัน! หมายความว่าอะไรกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้วจมสู่การครุ่นคิด แม้วันปกติเขาไม่ได้ไปโรงขับร้องบ่อยนัก แต่พูดถึงคำว่าเก็บโบราณค้าปัจจุบันนี่เขาก็ได้ยินเป็นครั้งแรก
“เก็บ คือซื้อ ค้า คือขาย เก็บโบราณค้าปัจจุบันก็คือซื้อโบราณขายปัจจุบัน ผู้ถามท่านนี้เข้าใจหรือยัง”
เพิ่งสิ้นเสียงนักเล่าเรื่อง ผู้ชมก็ลุกกันพึ่บพั่บทั้งโถง
บอกไว้ว่ามีนักแสดงเลื่องชื่อมา คนที่พอมีเงินใครบ้างไม่อยากร่วมสนุกสนาน แม้ยังไม่ถึงคราวที่ตนโห่ร้องชื่นชมนักแสดง แต่ฟังจบอย่างสงบก็เป็นเกียรติมากแล้ว ใครจะคิดว่านักเล่าเรื่องผู้นี้จะแสดงเช่นนี้
‘ปัง!’
นักเล่าเรื่องไม่สนใจเสียงเอะอะในโรงแม้แต่น้อย
เขาหยิบดาบยาวของตนขึ้นฟาดไปบนโต๊ะ ใช้เป็นไม้เคาะ[4]เสียเลย
คนที่เดินถึงประตูก้าวขาออกไปแล้วกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนที่เพิ่งยืนขึ้นก็เกรงใจจะไป ได้แต่นั่งลงด้วยสีหน้าหดหู่
………………………………………….
[1] หนึ่งถ้วยชา เวลาประมาณ 10-15 นาที
[2] แล่นเรือตามลม หมายถึง ปรับตัวตามสถานการณ์
[3] สันติศึก ละครงิ้วเรื่องหนึ่ง
[4] ไม้เคาะ เป็นก้อนไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า นักแสดงใช้เคาะโต๊ะเรียกความสนใจจากผู้ฟัง