ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 48 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-1
บทที่ 48 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-1
ในหัวเมืองรัฐติง นอกโรงเตี๊ยมพูนโชค
ดึกมากแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมพูนโชค
ลมหนาวพัดมาทำให้สร่างเมา เวลานี้กลับไม่รู้สึกเมาเลยแม้แต่น้อย
เขาหันไปมองห้องโถงใหญ่ที่ปิดร้านแล้ว หัวเราะเยาะตนเองอย่างขมขื่น
สุดท้ายเขาก็พูดไม่ออก…แม้แต่ชื่อของแม่นางก็ไม่ได้ถาม ได้แต่มองหาคันฉ่อง แล้วด่าตนเองว่าเศษสวะ!
…………………………
“คุณหนู เด็กน้อยผู้นี้ตลกดีนะเจ้าคะ!”
เมื่อกลับถึงห้องเกาลัดคั่วน้ำตาลพูดกับเจ้าหมิงหมิง
หลิวรุ่ยอิ่งเรียกนางว่าน้องสาว นางเรียกเขาว่าเด็กน้อย
หนี้บัญชีนี้ คาดว่าไม่มีทางลบล้างกันได้
เจ้าหมิงหมิงไม่พูด ได้แต่แง้มหน้าต่างเบาๆ แล้วมองไปบนถนน
ทว่า หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ได้เดินผ่านใต้หน้าต่างของนาง
ทางไปกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติง อยู่ตรงข้ามพอดี
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าคืนนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก ช่วงเวลาอันสั้น นางมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ถึงสองคน
คนหนึ่งอยากฆ่านาง ฆ่าไม่ตายไม่ยอมเลิกรา
คนหนึ่งเชิญนางดื่มสุรา แถมยังร้องเพลงงิ้วให้ตนฟัง
ทว่าการขับร้อง ‘สุราบงกช’ ท่อนนั้นต้องใช้พลังมากจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะหลิวรุ่ยอิ่งลืมเนื้อเพลงท่อนหลัง เจ้าหมิงหมิงก็อยากจะฟังต่อ ดูว่าเศรษฐีเจียงที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่จะมีจุดจบอย่างไร
แนวคิดที่ว่ารังแกคนอ่อนแอกว่าแต่กลัวคนแข็งแรงกว่านี้ไม่มีในโลกของเหล่าอสูร
การที่พวกมันมีชีวิตรอดอยู่ในทุกวันก็เพราะกฎธรรมชาติที่ว่าผู้แข็งแกร่งจะอยู่รอด
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ทว่าตอนที่ฟังเพลงงิ้วท่อนนี้ เจ้าหมิงหมิงกลับสงสารตัวเอกที่อ่อนแอ
วิชาแปลงกายทำได้เพียงกลายร่างเท่านั้น ไม่อาจเปลี่ยนแก่นของจิตได้ ความคิดของนางเริ่มเหมือนมนุษย์ขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
…………………………
หลิวรุ่ยอิ่งเดินอยู่บนถนนกว้างเพียงคนเดียว มองเห็นแสงดาวอยู่ไกลๆ
“ไม่น่าเชื่อว่าบนถนนเส้นนี้จะมีร้านค้าที่ยังไม่เก็บแผง?!”
เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เป็นแผงขายตำรา
บนรถเข็นสองล้อที่ทำด้วยไม้คันไม่ใหญ่มาก วางหนังสือเรียงกันหนึ่งชั้น
ด้ามจับของรถเข็นมีไม้ไผ่ยื่นออกมา แขวนโคมไฟไว้ดวงหนึ่ง
เจ้าของร้านนั่งอยู่ในเงามืด มองเห็นร่างเงาไม่ชัด
หลิวรุ่ยอิ่งอ่านชื่อตำรา ทั้งหมดเป็นงานเขียนของนักปราชญ์ และตำราโบราณมากมาย…เขาสนใจขึ้นมาทันที
“ท่านลูกค้า ซื้อตำรารึ”
ยามที่หลิวรุ่ยอิ่งดึงสายตากลับมากำลังจะเดินไปข้างหน้าต่อ เจ้าของร้านเอ่ยปากอย่างกะทันหัน
“หืม? ข้าไม่ซื้อ”
หลิวรุ่ยอิ่งปฏิเสธตรงๆ
“ข้ามีตำราที่เหลือเพียงเล่มเดียวเท่านั้นอยู่เยอะนะ!”
เจ้าของร้านพูดต่อ
ประโยคนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งสนใจขึ้นมาอีกครั้ง
กรมสอบสวนกลาง ผู้ตรวจการกองกองสัคคะเนตร ใต้เท้าเจี่ยงชางฉงได้ชื่อว่าเป็นผู้หลงใหลตำราโบราณหายากอย่างยิ่ง
หากตนสามารถหาของล้ำค่าจากในนี้ได้ เช่นนั้นยามที่เขากลับไปเมืองหลวงสามารถมอบให้เป็นของขวัญได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ไม่ว่าอย่างไรการเลื่อนขั้นของตนในครานี้ รวมทั้งรางวัลเคล็ดเรียนวิชากระบี่ ใต้เท้าเจี่ยงก็เป็นคนจัดการด้วยตนเองมิใช่หรือ อีกทั้งตนเพิ่งถูกส่งไปทำงานนอกเมืองครั้งแรก ตามความสมเหตุสมผลแล้วมีของติดมือกลับไปฝากเล็กน้อยถึงจะดี
“ท่านมีตำราเล่มเดียวประเภทใดบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยเข้าใจหนังสือ
เขารู้แค่ว่าความหมายของตำราเล่มเดียวคือมีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น เป็นของหายากอย่างไรเล่า
“ท่านลูกค้าต้องการตำราเล่มเดียวแบบใด”
เจ้าของร้านย้อนถาม
ครานี้ยากสำหรับหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว…
เขาไม่รู้ว่าใต้เท้าผู้ตรวจการกองเจี่ยงชางฉงชอบตำราโบราณประเภทไหน และถ้าให้เขาพูดชื่อออกมาด้วยตนเองต้องครุ่นคิดหนักทีเดียว
“บนโลกนี้มีรูปแบบการเขียนแปดประเภทใหญ่คือ หนังสือหรือจดหมายถึงองค์จักรพรรดิ การโต้เถียง บันทึก จารึก อารัมภบท อภิปราย ชีวประวัติ พระราชกฤษฎีกา มีสี่เรื่องหลักคือ คัมภีร์ ประวัติศาสตร์ ตำราคำสอนของลัทธิต่างๆ และตำราทั่วไป เลือกยากเช่นนี้ ดูท่าท่านลูกค้าคงไม่ใช่บัณฑิต…”
ในใจหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่ยอมจำนน
บัณฑิตอยู่สายบุ๋น ดังนั้นหลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่ใช่
ปัจจุบันสายบุ๋นในใต้หล้านี้ ทางทิศใต้และทิศเหนือมีสองสำนักใหญ่คือ หอทรงปัญญาและหอทรงภูมิ
หอทรงปัญญาอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หอทรงภูมิอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้
ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ติดกับสองอาณาจักรใหญ่ ความหมายคือเที่ยงธรรม เป็นกลาง
ถึงแม้บัณฑิตจะไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์ มักใช้ดาบประลองกระบี่ในชีวิตประจำวัน โต้เถียงกันเรื่องจุดอ่อนจุดแข็งของการฝึกตน แต่ก็ต้องเขียนตำราโต้วาทะอย่างจริงใจ เขียนผลงานอันน่าทึ่งออกมาแล้วถึงจะพอใจ
ทอง เหลือง แดง ม่วง เขียว น้ำเงิน ดำ ขาว
ผ้าแพร ผ้าโปร่ง ผ้าไหม ผ้าต่วน ผ้าตาด ผ้าทอ ไหมดิบ ผ้ากำมะหยี่
ตะวัน จันทรา ดารา อุษา บรรพต มังกร ภมร หญ้า
รวมทั้งหมดแปดระดับ สำนักศึกษาจะแจกเครื่องแบบเพื่อแบ่งแยก
และเครื่องแบบแบ่งออกเป็นสามประเภท โดยแยกเป็นสี ชนิดของวัสดุ รวมทั้งลวดลาย
สีทองใช้วัสดุเป็นผ้าแพร ปักลายตะวันที่หน้าอก ถือเป็นระดับสูงสุดคือขั้นแปด
สีขาวใช้วัสดุเป็นผ้ากำมะหยี่ ปักลายหญ้าไว้ข้างหลัง ถือเป็นระดับต่ำสุดคือขั้นหนึ่ง
นอกจากขั้นแปดแล้ว ลวดลายของขั้นอื่นจะปักที่ด้านหลังทั้งหมด ทว่าคนในใต้หล้าคุ้นชินกับการแยกแยะด้วยสี ไม่มีผู้ใดจ้องมองลายปักบนเนื้อผ้าอย่างละเอียดถึงเพียงนั้น
เขียว น้ำเงิน ดำ ขาว สี่ขั้นนี้
อ่านในใจ คิดในใจ พูดออกมา เขียนด้วยพู่กัน สอดคล้องกับขอบเขตทั้งสี่นี้
ส่วนทอง เหลือง แดง ม่วงกลับไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ทั้งหมดแยกแยะจากคุณภาพของงานประพันธ์ ในระดับนี้จึงมีความคลุมเครืออยู่บ้าง…เรื่องในบทประพันธ์ที่ผ่านมามักพูดถึงสามีหล่อเหลา ภรรยางดงาม
สำหรับพวกเขาแล้ว วรรณกรรมที่ตนเขียนมีค่ายิ่งกว่าบุตรแท้ๆ ที่ภรรยาเขาคลอดเสียอีก ภรรยาให้นมวันละสามครั้ง ทุกๆ วันเขาชื่นชมอยู่สามสิบรอบ
ถ้าหากไม่สามารถตัดสินได้จริงๆ ก็ต้องขอความช่วยเหลือขึ้นไปทีละขั้น
ทุกวันนี้มีเพียงเจ้าสำนักหอทรงปัญญา และเจ้าสำนักหอทรงภูมิที่อยู่ในตะวันแพรทองขั้นแปด และมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้
นับว่าเป็นวิธีเก่าแก่ที่ใช้สืบมาในราชวงศ์
ห้าอ๋องไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นมาอย่างไรก็ใช้อย่างนั้น
ไม่ใช่เพื่อตัดความยุ่งยาก แต่กฎเดิมนี้ก็มีความสมเหตุสมผล รากฐานกฎหมายมั่นคงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร
ทุกสิบปีในวันครีษมายัน ทั้งหอทิศเหนือและทิศใต้มักจะจัดงานแข่งขันในเมืองหลวงหนึ่งครั้ง เรียกว่างานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรม
เมื่อเทียบกับสายบู๊ กลับอ่อนด้อยกว่าไม่น้อย
อย่างน้อยก็ไม่มีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่อลังการและระดับสูงเช่นนี้
ทว่านี่คือผลสรุปของการปรึกษาหารือของห้าอ๋อง…ผู้ฝึกยุทธ์เดิมทีชอบต่อสู้อย่างดุเดือด กว่าบ้านเมืองจะสงบก็ไม่ง่าย หากจัดงานประลองยุทธ์อีก ไม่แน่อาจมีคนบาดเจ็บล้มตาย ครอบครัวแตกแยกเพราะความอยากมีชื่อเสียง
ไม่ต้องเอ่ยถึงที่ไหนไกล ดูอย่างรัฐติงในครั้งนี้
โรงเรืองขวัญของทังจงซงได้ปล่อยข่าวครึ่งจริงครึ่งเท็จในมหัพภาคติ้งซี ก่อความปั่นป่วนไปทั่ว
หากจัดงานนี้ในเมืองหลวง เหมือนกับงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรม จะไหวหรือ
แม้จะไม่มีเรื่องใดได้ที่หนึ่ง
แต่บัณฑิตเน้นความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เป็นความร่ำรวยอย่างหนึ่ง
ใครหยิ่งทะนงกว่า ผู้นั้นก็รวยกว่า
ตัวหนังสือที่เต็มไปด้วยความทุกข์เศร้าในฤดูใบไม้ผลิ มีพลังด้อยกว่าทวนทองอาชาเหล็ก
ดังนั้นจึงไม่ต้องเรียงลำดับ เพียงแต่ผู้ชนะก็มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน จึงจะเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย
งานประชันพยัคฆ์มังกรครั้งที่แล้ว หลิวรุ่ยอิ่งอายุยังน้อย
จำได้ว่ามีผู้อาวุโสสองคน หนวดเคราขาว สวมชุดตะวันแพรทอง แต่ละคนต่างยืนอยู่หลังคดีใหญ่
ทั้งสองข้างมีลูกศิษย์และสาวใช้นับสิบคน คอยคลี่กระดาษ ฝนน้ำหมึก
วินาทีที่ลงพู่กัน ได้เกิดลมฝนอันน่าตกใจไปทั่วเมืองหลวง
ทั้งสองคนยิ่งเขียนก็ยิ่งสนุก ตัวอักษรทะยานขึ้นท้องฟ้าก่อตัวเป็นรูปพยัคฆ์และมังกรท่ามกลางลมฝนในเมืองหลวง
เทพเจ้าเสือพุ่งมาปะทะหน้า เสียงร้องคำรามทำให้แม่น้ำจักรพรรดิต้องไหลย้อนกลับ
เทพเจ้ามังกรซ่อนหัวเก็บหาง กรงเล็บมังกรสะเทือนเลื่อนลั่นภูเขาเก้ายอด
หลิวรุ่ยอิ่งมองฉากนี้แล้วรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่รอให้จบงานก็แอบหนีกลับไปมุดผ้าห่มในห้องแล้ว โผล่ให้เห็นแต่ก้นโด่ง
เมื่อได้เจอประสบการณ์เช่นนี้ เขาจึงไม่สนใจสายบุ๋น หากไม่ใช่ว่ากรมสอบสวนต้องหัดเขียนหนังสือ เกรงว่าเขาคงไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้ถูกเจ้าของร้านถามเช่นนี้กลับทำให้เขานึกถึงเรื่องเจ็บปวดในอดีต ทันใดนั้นจึงพูดด้วยความโมโห “ข้าต้องการประวัติศาสตร์!”
“ประวัติศาสตร์แบ่งเป็นประวัติศาสตร์ยุคเก่า ประวัติศาสตร์ยุคใกล้ ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ และประวัติศาสตร์ยุคเก่า ประวัติศาสตร์ยุคใกล้ ประวัติศาสตร์ยุคใหม่นี้ยังแบ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกจริงกับพงศาวดาร ท่านลูกค้าอยากได้แบบใดหรือ”
เจ้าของร้านถามอย่างใจเย็น ฟังน้ำเสียงไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ
“เหตุใดท่านถึงมีตำราเก่าเล่มเดียวมากมายเช่นนี้ เหมือนกำลังพูดฆ่าเวลาข้า!”
หลิวรุ่ยอิ่งได้ฟังแล้วโกรธ จึงพูดตำหนิเขา
“ท่านลูกค้าอย่าโกรธไปเลย ข้าหยิบออกมาให้ท่านเลือกดีหรือไม่”
“ชิ้ง!”
แสงเย็นวาบผ่านเข้ามา กระทบบนฝักกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งพอดี
ที่แท้เจ้าของร้านอาศัยจังหวะตอนที่ไปหยิบหนังสือ ปล่อยอาวุธลับออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งหูไวตาไว จึงใช้ฝักกระบี่ป้องกันได้ทันท่วงที
“เจ้าเป็นใคร!”
เมื่อเห็นว่าโจมตีไม่สำเร็จจึงไม่ตอบ
สองมือร่ายรำอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนกำลังเล่นผีผาไร้รูปกลางอากาศ
หลิวรุ่ยอิ่งใช้มือหนึ่งหมุนฝักกระบี่เพื่อต่อต้าน แม้อีกฝ่ายจะโจมตีอย่างหนักหน่วง แต่กลับป้องกันได้อยู่หมัด
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นอาวุธลับที่ตกอยู่บนพื้น
พวกมันโปร่งใสไปทั้งตัว มีควันสีขาวลอยขึ้นมา เพราะทำจากน้ำแข็ง
น้ำเย็นกลายเป็นน้ำแข็ง น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ
ผู้ที่ปล่อยอาวุธลับเป็นแท่งน้ำแข็งออกมา เค้นธาตุน้ำหนึ่งในพลังห้าธาตุออกมาจนถึงขีดสุด
พลังการฝึกตนของผู้นี้อยู่ระดับบรมภูมิแล้ว หรืออย่างน้อยก็อยู่ระดับบรมภูมิเทียมเหมือนหลิวรุ่ยอิ่ง
ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหน้าถอดสี…
ถึงแม้เขาจะเปิดจุดเหม่าแล้วก็ตาม สามารถเค้นธาตุไฟในพลังห้าธาตุออกมาได้ แต่พลังต่อสู้และวิชาดาบที่สอดคล้องกันยังไม่ได้ฝึกเลยแม้แต่น้อย
เช่นนั้น ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ถึงมือไม่ถึงสองวันจึงไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่ตนเองเลือกคำว่า ‘เพลิง’ ก็ยังไม่บรรลุ ‘รุดหน้าอย่างกล้าหาญ’ ของขั้นที่สาม
‘ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นโอกาส…’
หลิวรุ่ยอิ่งนึกขึ้นในใจ
“ข้า? ฮ่าๆ จริงๆ แล้วข้าถึงจะเป็นลูกค้าต่างหาก!”
จนกระทั่งเจ้าของร้านผู้นี้เดินออกมาจากเงามืด
เขาใส่เสื้อคลุมผ้าฝ้ายธรรมดา ผ้าพันคอสีดำปิดบังใบหน้าจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่คิ้วคม
ลำคอของเขาเหมือนมีสิ่งหนึ่งทำลายโทนเสียง จึงฟังไม่ออกว่ามีอายุประมาณเท่าใด
อันที่จริงหลิวรุ่ยอิ่งระวังคนผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่เช่นนั้นการโจมตีแรกของอีกฝ่ายคงปลิดชีวิตเขาให้ดับสูญไปแล้ว
ก่อนที่จะจบการร่ำสุรากับเกาลัดคั่วน้ำตาลและเจ้าหมิงหมิง หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงคนบอกโมงยาม ตอนนั้นเป็นยามจื่อพอดี
หากเป็นคนที่ทำงานเวลากลางคืน ต้มบะหมี่กินมื้อดึกยังไม่เก็บแผง รอลูกค้ากลุ่มสุดท้ายกลับบ้านก็ยังพอเข้าใจได้
แต่คนผู้นี้กลับเลือกเปิดแผงตำรายามนี้
คนอื่นจะไม่สงสัยได้อย่างไร
และหนังสือที่วางอยู่บนรถเข็น หน้าปกเรียบสะอาด ไม่มีแม้แต่รอยเปิด
เปิดแผงตำราริมทาง เจ้าไม่ขายหนังสือโป๊ ขายแต่ตำราของนักปราชญ์ก็ไม่เป็นไร แต่ยังบอกว่าตนเหลือตำราที่มีอยู่เล่มเดียว นี่ยิ่งน่าสงสัยไม่ใช่หรือ
หากตำราเล่มเดียวหาง่ายขนาดนั้น เช่นนั้นใต้เท้าผู้ตรวจการกองเจี่ยงชางฉงคงไม่ต้องเอาเวลาไปหาตำราสุดที่รักจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ข้าวปลาไม่กิน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจ เหตุใดยอดฝีมือผู้นี้ถึงปลอมตัวได้แย่ยิ่งนัก
……………………………………………………………………….