ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 61 วิชาประสาน กระบี่ดารามีชีวิต-2
บทที่ 61 วิชาประสาน กระบี่ดารามีชีวิต-2
“ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าทำไมไม่ขายกระบี่เล่มนี้แลกเงินตำลึง ข้าไม่ทำเช่นนั้นเพราะข้าเป็นคนทำกระบี่เล่มนี้เอง ข้าเริ่มรวบรวมวัสดุทีละนิดตั้งแต่ห้าขวบ พอรวบรวมวัสดุเสร็จแล้วก็ไปดูช่างตีเหล็กในหมู่บ้านทำงาน ลักเรียนวิธีตีเหล็ก จนวันหนึ่งข้ารู้สึกทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว จึงตีเป็นกระบี่เล่มนี้ให้ตัวเอง”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เจ้าคิดว่ากระบี่เล่มนี้ของข้างามหรือไม่”
ยังไม่รอหลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยคำใด เขาถามต่อ
“งาม! เป็นกระบี่ที่งามที่สุดที่ข้าเคยเห็นเลย!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
เขาคิดไม่ถึงว่าจิ่วซานปั้นวิ่งมาถึงนี่เพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟัง ตอนกลางวันตนถามโดยไม่คิดอะไร เดิมแค่หยอกเล่นเท่านั้น แต่คนใสซื่ออย่างจิ่วซานปั้นกลับคิดเหมือนตนตั้งใจจะเอาเปรียบเขา คิดว่าในใจต้องกระวนกระวายมากเป็นแน่…ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงกับนอนไม่หลับจนถึงตอนนี้แล้วมาหาตนเพื่อพูดเรื่องนี้อีก
“ฮ่าๆ ข้าก็คิดอย่างนั้น อะไรก็ไม่งามเท่ากระบี่ของข้า!”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางหัวเราะใสซื่อ
“เจ้าเรียนวิชากระบี่กับใครหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ตอนเขามีปากเสียงกับเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมพูนโชค จำต้องชักกระบี่ก่อนหน้านี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกทึ่งจริงๆ
“ไม่มีใครสอนข้า ข้าเรียนเอง”
จิ่วซานปั้นกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อ เอ่ยถาม “เจ้าตัวคนเดียวไม่มีทั้งวิทยายุทธ์และไม่มีคู่มือกระบี่ จะเรียนกระบี่ได้อย่างไรกัน”
“ท่านย่าไม่ชอบให้ข้าเล่นของต่อสู้ฆ่าฟันเหล่านี้ นางบอกว่าอันตรายเกินไป…แต่ตัวข้าก็ชอบมันจริงๆ ไม่มีทางเลือกได้แต่แอบเรียน เพื่อให้มีโอกาสพ้นสายตาของท่านย่า ข้าเลยขอรับผิดชอบงานเลี้ยงสัตว์ในหมู่บ้านเอง และทุกครั้งที่ไปเลี้ยงสัตว์ข้าก็จะพกตำราไปด้วยสองสามเล่มเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย ส่วนกระบี่ของข้าซ่อนอยู่บนถนนที่ต้องผ่านตอนเลี้ยงสัตว์ทุกวัน”
จิ่วซานปั้นพูดแล้วภูมิใจยิ่ง แต่สำหรับหลิวรุ่ยอิ่งแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุบายง่ายๆ ของเด็กน้อย
“จากนั้นถึงพื้นที่เลี้ยงสัตว์ภายในภูเขาลึกที่ไม่มีคน ข้าก็เริ่มขัดเกลาตนเอง ใช้ต้นไม้เป็นศัตรู และให้วัวกับแพะเป็นผู้ชม พอฝึกกระบี่เหนื่อยแล้วข้าก็อ่านหนังสือ ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา นึกไม่ถึงมีอยู่วันหนึ่ง ท่านย่าพูดว่าข้าออกไปเลี้ยงสัตว์แล้วบอกอ่านหนังสือทุกวัน แต่ก็ไม่รู้อ่านอะไร เลยให้ข้าต้องทำการบ้านทุกวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่ให้ข้าไปแล้ว ข้าจำใจต้องพกกระดาษพู่กันไปด้วยทุกวัน ว่างจากฝึกกระบี่ก็เขียนกลอน ถึงได้พอมีอะไรรายงาน เจ้าอย่าพูดไป หลังจากนั้นข้าพบว่าที่จริงวิชากระบี่นั้นง่ายมาก การเคลื่อนไหวเชื่อมกันเหมือนวัวนอนกินหญ้า แพะปีนขึ้นเนิน ทั้งยังเหมือนเปิดประตูปิดบ้านตอนกลางวันและกลางคืน การเปิดประตูนี้เหมือนไม่มีอะไร ที่จริงข้างในมีความลี้ลับมากมาย ปิดประตูคล้ายปกปิดความลับไว้แน่นหนา ที่จริงดูแข็งแกร่งแค่ภายนอกแต่ข้างในว่างเปล่า ข้าก็ฝึกกระบี่ตามการค้นพบและการรู้แจ้งของตัวเองนี่ละ”
จิ่วซานปั้นพูดอย่างสง่าผ่าเผย
“สหายซานปั้นมีฝีมือดังคาด ไม่ทราบวิชากระบี่มีชื่อหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“มีแน่นอน ชื่อกระบี่วัวคลั่งแพะตื่น!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“วัวคลั่งแพะตื่น?”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้สึกอะไรกับคำนี้เลย แล้วก็จินตนาการไม่ออกว่าควรเป็นภาพแบบไหน แต่จิ่วซานปั้นเจ้าบทเจ้ากลอน สำนวนประพันธ์เลิศล้ำมาตลอด ทำไมถึงตั้งชื่อหยาบๆ เช่นนี้ให้วิชากระบี่ของตัวเอง
“เจ้าอาจไม่รู้ พอวัวกับแพะตกใจแล้วมันจะวิ่งไปทั่วไม่สนใจทิศทางและไม่กลัวตาย เว้นแต่ชนต้นไม้โดดหน้าผาถึงได้หยุด กระบี่ของข้าก็เปลี่ยนแปลงยากคาดเดา รวดเร็วฉับไวเหมือนพวกมัน ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ราวกับหายใจเข้าออก”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ในใจหลิวรุ่ยอิ่งนับถือเขามาก แต่ก็หาคำพูดอะไรมาบรรยายไม่ได้อยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มปรบมือโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่าๆๆ ไม่นึกว่าต่อมาวิชากระบี่ของข้าจะร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ และกลอนก็เขียนดีขึ้นทุกวัน! คำว่าแตกฉานด้านหนึ่งแล้วย่อมเชี่ยวชาญด้านอื่นด้วย คนโบราณไม่ได้โกหกข้านะนี่!”
จิ่วซานปั้นกล่าวหัวเราะลั่น น้ำเต้าสุราก็ดื่มถึงก้นแล้ว เขาหยัดกายขึ้นเตรียมกลับไป
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าพูดคุยเปิดใจกับเขาสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างไรคนตรงหน้านี้ต้องร่วมเดินทางกับตนอีกยาวไกลนัก
ไม่เหมือนโอวเสี่ยวเอ๋อ ชื่อของ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวอธิบายทุกสิ่งหมดแล้ว แต่จิ่วซานปั้นกลับเหมือนปริศนาอย่างหนึ่ง
“ไม่ทราบหมู่บ้านยอดนักดื่มที่สหายซานปั้นใช้ชีวิตเป็นอย่างไรหรือ”
เพราะจิ่วซานปั้นชอบโพล่งคำกลอนประโยคสวยงามออกมาบ่อยๆ นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งคุยกับเขาแล้วพยายามใช้ถ้อยคำดูดีไปด้วย
“อืม…”
จิ่วซานปั้นครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
“หากไม่สะดวกพูดก็ช่างมันเถิด สหายซานปั้นไม่ต้องลำบากใจ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย เตรียมลุกขึ้นส่งแขก
“ไม่ใช่ ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร…”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“เพราะข้าไม่เคยไปที่อื่นเลย ข้าเพิ่งออกจากบ้านครั้งแรก…หมู่บ้านในสายตาข้าก็เป็นถนนลูกรังสามสี่สาย บ้านไม่กี่แถว คอกแพะ คอกวัว คอกหมู ผู้ใหญ่ทำงานเด็กน้อยเล่นสนุก อ้อใช่ ยังมีหมาเหลืองแก่สามตัว ลูกหมาลายจุดห้าตัว กับแมวป่าที่วิ่งเพ่นพ่านไปทั่วสองตัว”
จิ่วซานปั้นพูดละเอียดทีเดียว แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ที่จริง แม้หลิวรุ่ยอิ่งถามว่าหมู่บ้านของจิ่วซานปั้นเป็นอย่างไร แต่เมื่อทุกคนได้ยินก็ต้องรู้ว่าความหมายคือหมู่บ้านของเจ้าเทียบกับที่อื่นแล้วมีอะไรแตกต่างกัน
แต่จิ่วซานปั้นเขาไม่เคยไปสถานที่อื่นใดทั้งนั้น จึงไม่อาจพูดการเปรียบเทียบนี้ได้…เขาได้แต่เล่าลักษณะหมู่บ้านในหัวของตนให้หลิวรุ่ยอิ่งฟัง แต่พอพูดเช่นนี้ก็ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ
“แล้วเหตุใดต้องชื่อหมู่บ้านยอดนักดื่ม”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“อ้อ อันนี้ข้ารู้! ภูเขาหลังหมู่บ้านพวกเรามีหินยักษ์ก้อนหนึ่ง พวกเราต่างเรียกมันว่าหินสุรา ตรงกลางมันแตกออกเป็นช่องใหญ่ช่องหนึ่ง ลำธารเล็กสายหนึ่งในภูเขาทะลุผ่านจากในนั้น พอน้ำไหลผ่านหินสุราก็จะกลายเป็นเหล้าชั้นดีที่กลิ่นหอมละมุน ใสแวววาวในพริบตา! ได้ยินคนเฒ่าในหมู่บ้านบอกว่าเดิมหินสุรานี้เป็นดวงดาวบนฟ้า แต่มีอยู่วันหนึ่งบรรพบุรุษคู่สามีภรรยาที่สร้างหมู่บ้านพวกเราหลงทางในภูเขา ใกล้หมดลมหายใจเต็มที บรรพบุรุษสามีภรรยาคู่นี้เป็นคนจิตใจดีที่ในวันปกติแม้แต่ยุงยังไม่ฆ่า ดวงดาวเห็นแล้วทนไม่ได้ก็เลยตายไปเช่นนี้ จึงตกลงมาข้างกายพวกเขา เมื่อดวงดาวแตกออกในนั้นเต็มไปด้วยน้ำสุราเย็นฉ่ำ บรรพบุรุษดื่มน้ำสุรานี้แล้วพลันรู้สึกกำลังวังชาเต็มเปี่ยม จึงคิดว่านี่คือลิขิตสวรรค์บันดาล ทั้งสองเลยลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่”
จิ่วซานปั้นกล่าว
สำหรับหลิวรุ่ยอิ่งเรื่องเล่านี้ไม่ต่างอะไรกับเรื่องพิลึกกึกกือในโรงขับร้อง แต่จิตใจก็ล่องลอยอย่างอดไม่ได้
“หินสุรานั่นมหัศจรรย์เช่นนี้จริงหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว ในน้ำเต้าสุราข้าก็มีก้อนหนึ่ง…ก่อนออกเดินทางข้าแอบหักมาเงียบๆ แต่เพราะเล็กเกินไป…เลยยังเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าไม่ได้ ได้แต่สกัดเหล้าที่มีให้บริสุทธิ์ขึ้นหลายส่วน”
จิ่วซานปั้นเขย่าน้ำเต้าสุราในมือ มีเสียง ‘กุกกักๆ’ ดังออกมาจริง
หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้รู้ความจริงว่าเหตุใดเขาต้องเทเหล้าใส่ในน้ำเต้านี้ก่อนตอนดื่มเหล้าอยู่ในโถงก่อนหน้านี้
เขาอิจฉาขึ้นมาทันที อย่างไรของมหัศจรรย์เช่นนี้ใครๆ ก็อยากมีไม่ใช่หรือ
ส่งจิ่วซานปั้นกลับแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งนึกได้ว่าตนก็เคยเห็นหมู่บ้านประหลาดแห่งหนึ่งในข้อมูลของกรมสอบสวนเช่นกัน แต่ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว…
ถึงหมู่บ้านนั้นจะอยู่ในอาณาเขตอ๋อง แต่กลับไม่ถูกปกครองรวมในนั้น เหมือนอาณาจักรอิสระแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์พเนจรทั้งสิ้น จุดจบของพวกเขามีแค่สองอย่าง ถ้าไม่ร่อนเร่แล้วถูกฆ่าตายอยู่ข้างนอก ก็ตอนแก่ร่างกายอ่อนแอกลับมารักษาตัววัยเกษียณในหมู่บ้านแล้วตายไปอย่างสงบ
แต่ไม่ว่าตายที่ไหน ในหมู่บ้านก็จะมีคนหาร่างของพวกเขากลับมาแล้วฝังในหมู่บ้าน ไม่ว่าหนทางไกลเพียงใด ตามหามาแล้วกี่ปี ล้วนต้องพาพวกเขากลับมาฝังอย่างดี
ร่างไม่เหลือแล้วก็แบกโครงกระดูกกลับ หาโครงกระดูกไม่เจอก็นำเสื้อผ้าของใช้เก่ากลับมา หากไม่เหลืออะไรแล้ว เช่นนั้นก็โกยดินเหลืองกอบหนึ่งตามรอยเท้าที่เขาเคยเดินผ่านทุกหนแห่ง
‘ตึงตัง!’
ทันใดนั้น หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงต่อสู้ทอดมาจากด้านนอก
เขาเปิดประตูมอง พบว่าตรงช่องประตูห้องของโอวเสี่ยวเอ๋อมีน้ำนองออกมาจำนวนมาก ในห้องยังมีเสียงโลหะกระทบกันดังออกมาอยู่เนืองๆ
“เจ้าจะลอบสังหารข้า?! หรือมาแอบดูข้าอาบน้ำ?!”
โอวเสี่ยวเอ๋อถามเสียงเฉียบขาด
นักฆ่าสวมหน้ากากเหล็กคนหนึ่งฉวยจังหวะตอนนางอาบน้ำแอบเข้ามาลอบสังหารในห้อง และยังใช้หอกยาวด้ามหนึ่งด้วย!
หอกคมด้ามนี้แทงอ่างอาบน้ำแตกระหว่างวาดหมุนในคราวเดียว
โอวเสี่ยวเอ๋อทะยานตัวออกมา รีบร้อนคว้าชุดคลุมอาบน้ำด้านข้างขึ้นห่อกาย แสดงท่าร่างเหนือสวรรค์ครองใต้หล้าสุดยอดวิชาตระกูลโอวเคลื่อนตัวหลบอยู่ในห้อง
กระบี่ชงโควางอยู่บนหมอน ยามนี้ถูกอีกฝ่ายปิดล้อมด้วยคมหอก แต่กลับจนปัญญาไม่อาจหยิบได้
หน้ากากเหล็กถือหอกมือเดียว หมุนตัวฉับไวบุกสังหารโอวเสี่ยวเอ๋อ สาบานว่าจะสับนางให้เป็นเนื้อบด
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้รับคำสั่งให้ฆ่า ลองปลุกปั่นขู่ขวัญสักหน่อยอาจยังมีโอกาสแก้สถานการณ์
“ข้าเป็นถึง ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว! เจ้ากล้าสังหารข้าจริงหรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อออกปากพูด
นางแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องรู้ฐานะของตนแน่ ถึงขั้นมาเพราะชื่อนี้เพียงอย่างเดียว
แต่ย้ำจากปากตนอีกรอบในยามคับขันเช่นนี้ ไม่แน่อาจเกิดผลที่ไม่คาดคิด อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายลังเลลูบหน้าปะจมูกอยู่บ้าง
นึกไม่ถึง หน้ากากเหล็กได้ยินแล้วกลับไม่สะทกสะท้าน วิชาหอกบนมือรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
จู่โจมแทงตรง หอกพุ่งดุจมังกร
โอวเสี่ยวเอ๋อถูกต้อนถึงมุมห้อง
จนปัญญาได้แต่รวมปราณเคลื่อนกำลังภายใน มือขวาพลันเปลี่ยนเป็นแวววามอ่อนละมุนกว่าเดิม
“ฝ่ามือน้ำค้างกระโปรงเมฆา!”
ในเวลาคับขันนี้ นางผลักปลายหอกของหน้ากากเหล็กด้วยหนึ่งฝ่ามือ จากนั้นฉวยจับไว้ตอนตัวหอกเคลื่อนออกไป
นางพลันใช้แรงดึง หน้ากากเหล็กย่อมต้านด้วยกำลัง
แต่ความตั้งใจเดิมของโอวเสี่ยวเอ๋อหาใช่แย่งหอกไม่ นางแค่ยืมสิ่งนี้เป็นจุดรวมพลัง
เห็นเพียงเท้าสวยของนางเตะออกแผ่วเบา สองขางามออกแรงฉับพลัน นางพลิกตัวข้ามเหนือศีรษะอีกฝ่ายแล้วลงด้านหลัง ประหนึ่งผีเสื้อร่ายรำ
แม้เผยเนื้อหนังชั่วครู่ แต่สุดท้ายยังคงถึงข้างเตียงและหยิบกระบี่ชงโคบนหมอนขึ้นมา
หน้ากากเหล็กเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อได้กระบี่แล้ว กลับยังไม่ตื่นตระหนกเช่นเดิม
มือซ้ายเขาผ่อนจับตัวหอก มือขวาดันก้นหอกฉับพลัน พุ่งตรงใส่หน้าโอวเสี่ยวเอ๋อเหมือนลูกธนูพ้นสาย
โอวเสี่ยวเอ๋อชักกระบี่ไม่ทันแล้ว ได้แต่ออกฝ่ามือป้องกันอีกครั้ง
สองฝ่ามือกับหอกตัดกัน พลังกระจายสี่ทิศ ของตกแต่งเครื่องเรือนในห้องแตกละเอียดพังทลายทั้งหมด กระทั่งเตียงก็หักลั่นครึ่งหนึ่ง
“อ๊าก…”
ระหว่างฉุกละหุก โอวเสี่ยวเอ๋อออกฝ่ามือแต่ไม่อาจใช้แรงได้เต็มกำลัง เพียงรู้สึกกลางฝ่ามือเจ็บแปลบ กายก็ถูกซัดลอยกระแทกประตูห้องแล้วร่วงลงบนระเบียงทางเดินเพราะพลังที่มาพร้อมหอกของหน้ากากเหล็ก
“ขอบเขตบรมภูมิ…”
โอวเสี่ยวเอ๋อมองจุดเลือดแดงก่ำจุดหนึ่งบนฝ่ามือ หอกที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษของหน้ากากเหล็กกลับทะลวงฝ่ามือน้ำค้างกระโปรงเมฆาของตนได้
วิชาฝ่ามือชุดนี้ต้องเป็นขอบเขตปรมบุคคลขั้นสูงสุดถึงจะใช้ได้ ต่อให้เจอบรมภูมิขั้นต้นก็สามารถทานรับได้สองสามกระบวน จากนั้นพยายามหาทางหนีย่อมไม่มีปัญหา
ตรงนี้เห็นได้ว่าการฝึกตนของอีกฝ่ายอย่างน้อยก็ถึงขอบเขตบรมภูมิขั้นกลาง…แต่บนโลกนี้นอกจากกองทัพใต้บังคับบัญชาของห้าอ๋องแล้ว น้อยคนนักที่จะใช้อาวุธตั้งกระบวนทัพมาโจมตีเช่นนี้ ดังนั้นคำนวณทั้งหมดแล้วผู้ใช้หอกบรมภูมิจึงมีไม่กี่คน คนที่โด่งดังที่สุดคือเฮ่อเหลียนเจิ้นรุ่ย ผู้บัญชาการกองทัพชงเวยในทัพสามเกียรติ
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อล้มอยู่บนพื้นคล้ายได้รับบาดเจ็บ เขาอยากเข้าไปช่วยแต่ก็นึกถึงฐานะนายกองกรมสอบสวนของตน
คนในกรมสอบสวนห้ามต่อสู้แย่งชิงกับคนอื่นโดยพลการเด็ดขาด แล้วก็ห้ามสอดมือเข้ายุ่งเรื่องบุญคุณความแค้นของคนอื่น ไม่อย่างนั้นกรมสอบสวนจะสูญเสียระดับความน่าเชื่อถือทั้งหมด ความยุติธรรมที่พวกเขาเที่ยวอวดอ้างมาตลอดจะหายสิ้นในพริบตา
ชั่วขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งร้อนใจลังเลอยู่นั้น เงาสีขาวสายหนึ่งลอยโฉบไปยังโอวเสี่ยวเอ๋อ…รวดเร็วดุจฟ้าผ่าไร้สุ้มเสียง
…………………………………………