Fishing in the Myriad Heavens - ตอนที่ 494
แมงป่องจักรพรรดิมันมีขนาดใหญ่มากและเกราะของมันก็แข็งมากเช่นกัน มีแผลเดียวที่หลงเหลืออยู่บนร่างของมันก็คือตรงหัว หลุมขนาดเล็กลึกไม่ถึง 5 ซม. ยุบเข้าไปในหัวของมัน มีแรงกดดันบางอย่างแผ่ออกมาจากแผลของมันเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันถูกฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“แก๊ง !”
หลังจากกะเทาะเปลือกของมันออกก็เผยให้เห็นเนื้อสีขาว ๆ เหมือนหิมะที่อยู่ด้านใน กลิ่นของเนื้อลอยกระจายออกมาทันที
กลิ่นมันหนาแน่นจนทำให้คนที่ดมรู้สึกฉุนมาก แต่หลังจากผ่านไป 10 วินาทีกลิ่นฉุน ๆ ก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอม ๆ ที่ชวนน้ำลายไหล มันเป็นความรู้สึกราวกับต่อให้ใกล้ตายก็ต้องฟื้นคืนมากินมันให้ได้
เนื้อแมงป่องจักรพรรดิไม่ต้องใส่เครื่องปรุงใด ๆ เพิ่มเลย มันค่อย ๆ ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ แล้วส่งมอบให้กับเป่ยเฟิง
เป่ยเฟิงคว้าเนื้อขึ้นมาด้วยตะเกียบก่อนจะค่อย ๆ เอาเข้าปากอย่างช้า ๆ มันไม่มีรสฉุนหรือคาวใด ๆ แต่มันเป็นรสหวานอ่อน ๆ ที่ละลายไปในปาก เนื้อมันมีสัมผัสไม่เหมือนเนื้อชนิดใด มันคล้าย ๆ แป้งเหนียว ๆ นอกจากนี้รสชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในเนื้อของแมงป่องจักรพรรดิก็กระจายออกมาไม่หยุดหย่อน
สัตว์อสูรทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นสัตว์ระดับสูง แม้ว่าเป่ยเฟิงจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นที่สองของร้อยปีปกติ แต่เขาก็สามารถยัดเนื้อลงไปในกระเพาะได้หลายกิโล
หลังจากเป่ยเฟิงกินเสร็จแล้วก็เป็นคราวของผู้คุ้มกันทั้ง 10 ที่หมุนเวียนกันกิน โดยแบ่งเนื้อกันครึ่งหนึ่งเพื่อที่จะได้กินทั่วถึงได้
ส่วนเป่ยเฟิง เขาเดินไปนั่งที่อื่นจากนั้นก็ฝึกวิชาสัตว์อสูร ถึงแม้ว่าเขาจะถนัดในการใช้มังกร หมี และนกอินทรี แต่เขาก็คิดว่าเขายังจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ทั้งหมด
ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถเคลื่อนไหวได้ลื่นไหล
“นายท่าน นี้คือทักษะหมัดงั้นหรือ ? มันแข็งแกร่งมาก !”
ดวงตาของหลี่ปู้เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจในขณะมองท่าทางของเป่ยเฟิง ไม่ใช่เพราะเป่ยเฟิงแข็งแกร่ง แต่เขามองเห็นว่าทักษะที่เขากำลังทำมันแข็งแกร่งมาก !
แม้ว่าทักษะต่อสู้บนโลกดินจะแตกต่างจากทักษะต่อสู้บนดาวเทียนมู่ แต่ความแตกต่างนั้นก็ยังอยู่ในขอบเขตไม่มากกันนัก
ส่วนเป่ยเฟิงเองหลังจากที่กินอาหารเข้าไปแล้วเขาก็ย่อยมันให้กลายเป็นเลือดและพลังฉีของเขา
จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อดูดหลิงฉีเข้าไปและเริ่มฝึกวิชาสัตว์อสูร จากนั้นก็เอาพลังงานที่กักเก็บไว้ข้างในส่งต่อมายังโลกภายนอก !
หลังจากฝึกไปได้ครึ่งชั่วโมง กลุ่มผู้คุ้มกันก็กินกันเสร็จแล้ว เป่ยเฟิงรับผ้าเช็ดตัวจากหลี่ปิงเพื่อเช็ดเหงื่อของเขา
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางต่อลึกเข้าไปในป่า
3 วันต่อมาต้นไม้ด้านหน้าพวกเขาก็ใหญ่มากกว่าเดิม เสียงร้องของสัตว์อสูรดังออกมาอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนจะดังออกมาทุกทิศทาง
สถานที่แห่งนี้อยู่ลึกมาก มันเกือบจะใกล้ถึงใจกลางภูเขาร้อยทำลาย มันเป็นสถานที่ที่แทบไม่ค่อยมีใครอยากมาแม้ว่ามันจะมีสมบัติล้ำค่าจำนวนมาก เนื่องจากมันเต็มไปด้วยสัตว์อสูรทรงพลังที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
กลุ่มของเป่ยเฟิงเจอสัตว์อสูรขั้นสองของร้อยปีบ่อยมากจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป เป่ยเฟิงพยักหน้าพอใจมากกับสถานที่แห่งนี้
ในขณะที่เขาพยักหน้าเบา ๆ เขาก็คิดไปในตัว ‘ดูเหมือนยิ่งเข้าใกล้ใจกลางภูเขามากเท่าไหร่ หลิงฉีก็จะยิ่งหนาแน่นมากขึ้น ความหนาแน่นนี้มันเหมาะที่จะให้ข้าฝึกฝนจริง ๆ’
หากพวกเขาเดินเข้าไปข้างในมากกว่านี้ มันจะเจอกับอันตรายที่เพิ่มมากขึ้น
“เอาเป็นที่นี่ละกัน หลี่ปิง พาคนไปครึ่งหนึ่งเพื่อหาที่ตั้งแคมป์” เป่ยเฟิงสั่ง
“รับทราบค่ะ”
หลี่บิงพยักหน้าและพาคนออกไป 4 คน
หลี่ปู้ถอดหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินว่านายท่านไม่คิดจะเดินหน้าต่อไป นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไปหาคิดจะเดินเข้าไปข้างหน้า แค่ที่ผ่านมาพวกเขาก็เจอกับสัตว์อสูรขั้นสี่ระดับร้อยปีหลายตัวแล้ว แต่หากเดินเข้าไปข้างในลึกกว่านี้และเจอสัตว์อสูรขั้นสี่ร้อยปีเพียงไม่กี่ตัวพวกเขาก็ยังพอรับมือได้ แต่หากเจอพวกมันหลายตัวและร่วมมือกันรวมไปถึงเจอสัตว์อสูรระดับสูงกว่านี้ เขาคงไม่มีความหวังที่จะหนีรอดไปได้
ในขณะที่ทุกคนกำลังรออยู่ หลี่ปิงและคนอื่น ๆ ก็เดินกลับมาและพาไปยังริมฝั่งแม่น้ำใกล้ ๆ น้ำตก
สถานที่แห่งนี้เป็นหน้าผาเล็ก ๆ ที่ง่ายต่อการป้องกันแต่ยากต่อการโจมตี พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องน้ำอีกต่อไป หลังจากนั้นพวกเขาก็เตรียมความพร้อมที่จะตั้งแคมป์ในที่แห่งนี้
เป่ยเฟิงพึงพอใจมากกับที่ตรงนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะให้ตั้งแคมป์ไว้ตรงนี้
หลังจากนั้นไม่นานเป่ยเฟิงก็ค้นพบว่าเขาไม่มีอะไรให้ทำ เพราะงานทุกอย่างถูกจัดการโดยผู้คุ้มกันทั้งหมด
‘มันนานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ตกปลา ข้าจะเชื่อมประตูตกปลาได้หรือเปล่านะ ?’
เป่ยเฟิงยิ้มจาง ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงน้ำไหลมันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดถึงระบบตกปลา
“ระบบ ติดตั้งประตูตกปลาแห่งใหม่”
เป่ยเฟิงเดินไปที่ต้นน้ำ ตรงต้นน้ำเป็นพื้นที่ที่เป็นน้ำตกขนาดเล็กโดยด้านล่างเป็นทะเลสาบกว้าง 10 กว่าเมตร
“ดิ๊ง ! ติดตั้งสำเร็จ !”
ทันทีที่เป่ยเฟิงพูดจบ ระบบก็ตอบกลับมาทันที แต่เพราะเพิ่งจะติดตั้งประตูมันจึงต้องใช้เวลาอีกซักพักกว่าเขาจะตกปลาได้
หลี่ปู้อยู่เดินตามหลังเป่ยเฟิงและไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร
เนื่องจากงานส่วนอื่น ๆ มีคนจัดการให้แล้ว ดังนั้นเป่ยเฟิงจึงเรียกหลี่ปู้ให้เดินไปพร้อมกับเขาเข้าไปในภูเขา
หลี่ปู้มองเป่ยเฟิงที่เดินเข้าไปในป่าเรื่อย ๆ เขามองรอบ ๆ ด้วยความไม่ประมาทและถามขึ้น “นายท่าน เราจะไปที่ไหนกัน ? ให้ข้าเรียกคนคุ้มกันอีกหลายคนเพื่อติดตามพวกเราไปเถอะ”
“คำว่านายท่าน ๆ มันดูไม่น่าฟังเท่าไหร่ ต่อจากนี้เรียกข้าว่าท่านผู้นำตระกูลหรือท่านผู้นำก็พอ นอกจากนี้แถวนี้มันก็ยังไม่มีสัตว์อสูรขั้นสี่ซักตัว อย่าไปจริงจังอะไรมากนักเลย”
เป่ยเฟิงส่ายหัว ทุกครั้งที่เขาได้ยินคำว่า “นายท่าน” มันทำให้เขานึกถึงภาพคนรวยที่อยู่ในชุดผ้าไหม
“ครับท่าน !”
หลี่ปู้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก สถานที่แห่งนี้ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่ที่เขาทำไปก็เพื่อความไม่ประมาท แต่หากว่าถูกรายล้อมไปด้วยสัตว์อสูรขั้นสี่จำนวนมากเขาก็พร้อมที่จะพาเป่ยเฟิงหนีไปพร้อมกับเขา
ความเร็วของเป่ยเฟิงไม่ช้าก็เร็ว เมื่อเดินผ่านป่ามันจะเกิดภาพติดตาทุกครั้งที่อยู่ด้านหลัง
“กรรรร !”
เสือโคร่งสีดำขนาดใหญ่พร้อมกับหมูในปากของมัน มันหรี่ตามองมนุษย์ 2 คนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ เสือโคร่งดำรู้สึกได้ถึงอันตรายจากมนุษย์เหล่านี้ แต่มันก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้เหยื่อในปากของมันหายไป มันจึงทำได้เพียงคำรามต่ำ ๆ เพื่อหวังให้มนุษย์ทั้ง 2 หวาดกลัวมัน
“นั่นคือเสือโคร่งใจดำขั้นที่สอง ท่านผู้นำ ได้โปรดให้ข้าฆ่ามันมาให้ท่านด้วย”
“เดี๋ยวก่อน !”
ในขณะที่หลี่ปู้กำลังยกมือจะจัดการสัตว์อสูรที่โง่เขลาตรงหน้า ทันใดนั้นเป่ยเฟิงก็หยุดเขาไว้
ก่อนที่หลี่ปู้จะตอบสนองได้ทัน เป่ยเฟิงก็วิ่งออกไปพร้อมกับเงาของหมีที่ห่อหุ้มตัวเขาก่อนจะใช้อุ้งเท้าหมีทุบไปที่สัตว์อสูรตัวนั้น !
“โฮก !”
เสือโคร่งคำรามออกมาด้วยความโกรธจากนั้นก็ปล่อยหมูในปาก มันตัดสินใจที่จะสู้กับมนุษย์ตรงหน้า !
“ปีกนภาสวรรค์ !”
เป่ยเฟิงก้าวออกไปเบา ๆ ก็ไปปรากฏตรงหน้าเสือแล้วก่อนจะหลบไปข้าง ๆ มัน เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจเหม็น ๆ ของมันที่ลอยมาปะทะหน้าของเขา
จากนั้นเขาก็กำหมัดก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ามือและสับไปที่คอของมัน !
“ฟิ้ว !”
เมื่อเสือเห็นว่ามนุษย์ตรงหน้าหายไป แต่เพราะมีสัญชาตญาณสัตว์ป่า มันจึงเหวี่ยงหางของมันแทงไปที่เป่ยเฟิง !
ราวกับร่างกายหยุดชะงัก เป่ยเฟิงมองหางเสือที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“ฟู่วว !”
เสียงเบา ๆ จากนั้นหัวและตัวของเสือก็แยกออกจากนั้น เสือที่เพิ่งจะรวบรวมเลือดและฉีเสร็จกลับถูกเป่ยเฟิงฆ่าในพริบตา และเมื่อมันตายเลือดและฉีที่รวบรวมเอาไว้ก็หลุดจากการควบคุม ในพริบตาเลือดและฉีก็พุ่งกระจายออกมาที่คอของมัน !
เลือดมันพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ กลิ่นเลือดเข้มข้มลอยกระจายไปรอบ ๆ ในทันที
ใบหน้าของหลี่ปู้เต็มไปด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าเสือโคร่งที่มีพลังขั้นสองร้อยปีและขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรระดับเดียวกันกลับถูกเป่ยเฟิงโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ฆ่ามันได้ !
เหตุผลที่เขาไม่หยุดเป่ยเฟิงแต่แรกนั้นก็เพราะเป่ยเฟิงบอกถึงเหตุผลที่เขาเข้ามาในหอคอยเชื่อมสวรรค์ ดังนั้นด้วยสัตว์อสูรที่มีพลังเพียงขั้นที่สองมันไม่น่าจะทำอันตรายท่านหัวหน้าตระกูลได้
หลี่ปู้มองเป่ยเฟิงราวกับมองคนแปลกหน้า ในฐานะที่เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของตระกูลหลี่ เขารู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับนายท่านหัวหน้าตระกูลมาเยอะมาก แต่ความรู้ที่เขารู้มันช่างแตกต่างกับภาพตรงหน้าจริง ๆ !
แต่ในไม่ช้าทุกคนก็ชินชากับความแปลกประหลาดของท่านหัวหน้าตระกูล ทุก ๆ วันที่ผ่านไปเป่ยเฟิงจะออกไปล่าสัตว์อสูรทุกวันราวกับคนบ้า ส่วนตอนกลางเขาก็จะฝึกฝนพร้อมกับทำความเข้าใจมรดกหยินหยางไปในตัว
3 เดือนต่อมา เสียงคำรามดังออกมาจากด้านล่างน้ำตกพร้อมกับแสงสว่างที่กระจายออกไปทุกทิศทาง !
เสียงคำรามหายไปจากนั้นร่างมนุษย์ก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาใต้น้ำตก
“บูมมม !”
เป่ยเฟิงลืมตาขึ้น กระดูกของเขาส่งเสียงดังราวกับฟ้าผ้าเมื่อเขาขยับตัว
‘3 เดือน ในที่สุดข้าก็กลับมามีพลังระดับสวรรค์ หรือก็คือ ขั้นที่สามของร้อยปี !’
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเป่ยเฟิงกินเนื้อสัตว์อสูรและสมบัติจากธรรมชาติไปจำนวนมาก และในที่สุดเขาก็กลับมามีพลังเท่ากับก่อนหน้านี้
รูปลักษณ์ของเป่ยเฟิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากตอนแรกที่เหมือนชายอายุ 40 ปี ตอนนี้เขาได้กลายเป็นชายชราอายุ 30 ปีแล้ว
เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว เป่ยเฟิงสามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่าร่างกายนี้เป็นของเขาแล้วจริง ๆ ไม่ใช่เขาที่เป็นผู้แย่งชิงร่างของคนอื่นมาอีกต่อไป แม้ว่าจะมีการทดสอบเลือดก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับหลี่ฉินเทียน เลือดและเซลล์ทั้งหมดในร่างตอนนี้ตรงกับร่างก่อนหน้านี้ของเป่ยเฟิงก่อนที่จะมาโลกใบนี้ !
จิตวิญญาณเป็นรากฐานร่างกาย จิตวิญญาณไม่มีทางเปลี่ยนไปได้ซึ้งไม่เหมือนกับเลือดและกระดูกที่เปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ จิตวิญญาณมันคือเครื่องหมายสัญลักษณ์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง !
หากไม่ใช่เพราะต้องการวางรากฐานให้ดี ๆ เขาคงใช้เคล็ดปลดปล่อยกายาเพื่อตัดผ่านระดับไปนานแล้ว
“ขอแสดงความยินดีกับท่านหัวหน้าตระกูล !”
หลี่ปู้ หลี่ปิงและคนอื่น ๆ เฝ้าอยู่ไม่ห่าง เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงก็รีบวิ่งมาทันที จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของเป่ยเฟิงที่เปลี่ยนแปลงมันจึงทำให้พวกเขาตกใจมาก
ตอนแรกที่พวกเขาออกเดินทาง เขาเพิ่งได้ยินมาว่าท่านหัวหน้าตระกูลเพิ่งตัดผ่านระดับไปยังขั้นที่สองเท่านั้น และเขาทำได้ตอนอายุ 92 ปี ตอนนั้นเขาเกือบจะไม่มีโอกาสทำสำเร็จและเข้าไปในประตูยมโลกไปแล้ว
แต่ใครจะไปคิดกันว่าเวลาเพียง 3 เดือน ท่านหัวหน้าตระกูลที่เกือบตายได้ตัดผ่านไปยังระดับต่อไปแล้ว ! ความสำเร็จนี้น่ากลัวมาก !
‘เรือที่ยอดเยี่ยมมักจะแล่นช้า !’
ความคิดนี้ปรากฏในหัวของทุกคน คำอธิบายดังกล่าวมันสามารถอธิบายได้ถึงสถานะของท่านหัวหน้าตระกูลได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ 3 เดือนจากที่รอดพ้นความตายเขาก็สามารถตัดผ่านระดับไปได้แล้ว !
วลีที่ว่า “เรือที่ยอดเยี่ยมมักจะแล่นช้า” หมายถึงคนธรรมดาที่มีจุดเริ่มต้นเป็น 0 และถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังโดยเพื่อนร่วมงาน จากนั้นเขาก็ขยับหมั่นเพียรจนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในชีวิตและกลายมาเป็นอัจฉริยะในภายหลัง
ยกตัวอย่างก็เช่นท่านเจ้าเมืองท้องฟ้าเป็นต้น พรสวรรค์ของเขาเหมือนคนธรรมดาในตอนเริ่มต้น เมื่อเพื่อนที่ร่วมทางกันมามีพลังระดับขั้นสี่ของร้อยปีแล้วเขากลับยังติดอยู่ขั้นแรก แต่เมื่อเขามีอายุ 50 ปี เขากลับมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน !