The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.381 ท่าเฉว่
EP.381 ท่าเฉว่
ณ ด้านข้างตำหนักเจ๋อเทียน
แผนที่วาดมือถูกกางออกบนโต๊ะ ฉินอิน เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ซูมู่หยุน และถังหลานยืนอยู่ข้างโต๊ะ รวมทั้งถังเสี่ยวซีที่เพิ่งมาจากจวนเจ้าเมือง เมื่อได้รับรู้ถึงสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น นางก็รู้สึกทุกข์ใจ
เฟิงจี้สิงเอื้อมมือชี้บนแผนที่ “จากชายแดนทางเหนือของมณฑลอวิ้นจงไปถึงเทือกเขาฉินมีระยะทางรวมหนึ่งพันสี่ร้อยไมล์ โดยเจ็ดร้อยไมล์เป็นหน้าผาและหุบเขาลึกเดินทางผ่านไม่ได้ และอีกเจ็ดร้อยไมล์ที่เหลือเป็นแม่น้ำต้าวเจียงสายย่อยซึ่งต้องข้ามผ่านสะพานไปเท่านั้น จึงทำให้ใจกลางจักรวรรดิยากต่อการบุกรุก โชคดีที่อาอวี่สั่งให้รื้อถอนสะพานทั้งหมดก่อนกลับเมืองหลันเยี่ยน มิเช่นนั้น…ผลที่ตามมาอาจเกินกว่าจะจินตนาการได้”
ฉินอินพูด “ผู้บัญชาการเฟิงโปรดกล่าวต่อ”
เฟิงจี้สิงพยักหน้าและกล่าวต่อ “แม้ว่าตามคำพูดของอาวี่ที่บอกว่าพวกปีศาจกลัวน้ำ แต่คงตัดสินไม่ได้ว่าพวกมันจะยึดเรือประมงฝังตะวันออกเพื่อข้ามแม่น้ำต้าวเจียงหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงแนะนำให้สร้างเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำพร้อมทั้งป้อมปราการเจ็ดแห่ง แต่ละแห่งอยู่ห่างกันราวสิบไมล์ และทุกไมล์จะต้องมีทหารม้าคอยลาดตระเวนและติดตามการเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจอย่างใกล้ชิด”
ซูมู่หยุนขมวดคิ้ว “มีหนังสือขนนกจากมณฑลหลิงตงและมณฑลทงเทียนหรือไม่?”
เฟิงจี้สิงส่ายหัว “สองมณฑลใหญ่ทางตะวันออกตกอยู่ในมือของปีศาจอย่างสมบูรณ์ ผู้ครองมณฑลคงถูกจัดการแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดหวังถึงข่าวคราวจากที่นั่นได้อีก”
ซูมู่หยุดสูดลมหายใจเข้าก่อนพูดว่า “ซูอวี่เกณฑ์ทหารในเมืองหยาดสายัณห์เป็นเวลากว่าหกเดือน เราสามารถระดมทหารได้ราวหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเพื่อปกป้องป้อมปราการ ยังขาดเหลืออีกหรือไม่?”
เฟิงจี้สิงกล่าว “เรายังขาดคนอยู่ขอรับ เนื่องจากป้อมปราการแต่ละแห่งควรมีทหารอย่างน้อยสามหมื่นถึงห้าหมื่นนาย ทำให้ต้องใช้ทหารทั้งหมดราวสามแสนนาย แต่กองทัพองครักษ์จำเป็นต้องประจำการอยู่ที่เมืองหลวง เช่นนั้น…ท่านจะส่งทหารจำนวนเท่าใดหรือท่านหลานกง?”
ถังหลานตกใจก่อนจะกล่าวคำออก “เซี่ยงอวี้มีกองทหารหนึ่งแสนนายในมณฑลชางหนาน สามารถส่งไปปกป้องฝั่งแม่น้ำต้าวเจียงได้”
“ดี แต่เรายังขาดคนอีกเล็กน้อย คงต้องพึ่งกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ของอาอวี่ และกองทัพมังกรผงาด”
ฉินอินด้านข้างพลันกล่าว “ท่านตาและท่านหลานกง ข้าวางแผนว่าจะให้พี่อาอวี่รับใช้จักรวรรดิอีกครั้ง หวังว่าท่านทั้งสองจะไม่คัดค้าน ทุกคนต่างเห็นความสามารถในการเป็นผู้นำของเขาเป็นอย่างดี ข้าจะมอบยศแม่ทัพพิทักษ์เมืองอันดับสามให้พี่อาอวี่และเป็นผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาด ส่วนเว่ยโฉวและฉินเหยียนเป็นรองผู้บัญชาการ พวกเขาจะได้รับภารกิจในการต่อต้านการรุกรานของเผ่าปีศาจ อีกทั้งสามารถขยายกำลังทหารได้อย่างไม่จำกัด”
ซูมู่หยุนมองลึกเข้าไปในดวงตาฉินอินและกล่าว “หากเสี่ยวอินคิดว่ามีความสามารถในการควบคุมกองทัพมังกรผงาดในการขยายอำนาจได้ ตาก็ไม่มีสิ่งใดคัดค้าน”
ถังหลานก้มศีรษะลงและกล่าว “ฝ่าบาท ไม่มีกองทัพใดในจักรวรรดิที่สามารถขยายกำลังได้อย่างไม่จำกัด มิเช่นนั้นแผ่นดินจะตกสู่ความโกลาหล กระหม่อมแนะนำว่าความแข็งแกร่งของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ควรมีไม่เกินห้าหมื่นนายพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ ข้าจะทำตามคำแนะนำท่านหลานกง” ฉินอินพยักหน้ารับและหันกลับ “มาเถิด ข้าจะออกพระราชโองการมอบยศหลินมู่อวี่เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมือง พร้อมทั้งแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาด ซึ่งกองทัพนี้รวมอยู่ในกองทหารแห่งจักรวรรดิที่สามและสามารถขยายกองกำลังได้ถึงห้าหมื่นนาย จากนั้นไปเรียกไป๋หลี่ฉางผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งจักรวรรดิเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่กี่นาทีต่อมา นายพลคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านข้างโถง ซึ่งเป็นชายอายุราวสี่สิบปีใบหน้าเต็มไปด้วยประสบการณ์ เขาประสานหมัดและกล่าวว่า “ผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งจักรวรรดิไป๋หลี่ฉางถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้า “เอาล่ะ เข้ามาเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ถังหลานเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองซูมู่หยุน จากนั้นมองฉินอินและหลินมู่อวี่ก่อนกล่าวว่า “ฝ่าบาท เผ่าปีศาจได้รุกรานครั้งใหญ่ จะให้นายพลคนไหนรับภารกิจสำคัญในการต่อต้านครานี้พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินยิ้มเล็กน้อย “แล้วใครคือคนที่ท่านหลานกงต้องการเสนอ?”
“เซี่ยงอวี้พ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นทั้งพลเมืองและทหารที่ประสบความสำเร็จมากมาย เขามีความภักดีและเด็ดขาด กระหม่อมแนะนำว่าควรให้เซี่ยงอวี้เป็นผู้บัญชาการนำทัพไปยังแม่น้ำต้าวเจียง”
“เซี่ยงอวี้”
มุมปากฉินอินยกขึ้น “นายพลเซี่ยงอวี้เป็นทหารเก่งกล้า แต่ครานี้อีกฝ่ายเป็นถึงเผ่าปีศาจ ไม่ใช่จักรวรรดิอี้เหอ แม้ว่าเซี่ยงอวี้จะโหดเหี้ยม กระนั้นก็ยังขาดกลยุทธ์ ข้าคิดว่าผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงควรรับหน้าที่สำคัญในการนำกองทัพทำศึกครานี้”
ถังหลานกล่าว “เฟิงจี้สิงยังเด็ก ข้าเกรงว่าเขาไม่สามารถเป็นจอมพลให้กับกองทัพทั้งสามได้ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงไตร่ตรองอีกครั้ง”
ฉินอินเม้มริมฝีปากแน่น “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะแต่งตังเฟิงจี้สิงเป็นเพียงผู้บัญชาการนำทัพไปแม่น้ำต้าวเจียง ท่านหลานกงต้องการคัดค้านหรือไม่?”
“กระหม่อมจะทำตามความประสงค์พ่ะย่ะค่ะ”
ถังหลานกล่าวด้วยท่าทีเคารพ ด้วยคำพูดประกาศิตของฉินอิน ทำให้แผนการสำเร็จไปหนึ่งสิ่ง
มีจอมพลแห่งจักรวรรดิได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากเฟิงจี้สิงได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดินีในฐานะจอมพล เขาจะกลายเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในทางการทหาร ตราบใดที่เขาต้องการ อำนาจทางทหารจะค่อยๆ เปลี่ยนมือจากถังหลานและซูมู่หยุน กระนั้นฉินอินก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อย่างน้อยเฟิงจี้สิงสามารถชิงตำแหน่งแม่ทัพมาได้ และแน่นอนว่าเขามีฝีมือที่เหมาะสมกว่าเซี่ยงอวี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ”
“ดี”
ฉินอินมองทุกคนด้วยดวงตาเป็นประกาย “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ ทุกคนห้ามประมาท เฟิงจี้สิงจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดและสามารถสั่งการกองทัพทั้งหมด นายพลไป๋หลี่ฉาง ท่านคือผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งจักรวรรดิ และครานี้ท่านต้องปฏิบัติตามคำสั่งของแม่ทัพเฟิง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่ฉางประสานหมัดและกล่าว “เรือรบหนึ่งร้อยห้าสิบลำและทหารสามหมื่นนายจะทำตามคำสั่งของแม่ทัพเฟิงพ่ะย่ะค่ะ!”
“ดี”
ฉินอินพยักหน้า “แม่น้ำต้าวเจียงสาขาย่อยมีป้อมปราการเจ็ดแห่ง แต่ละแห่งจำเป็นต้องมีผู้บัญชาการ ข้าจะร่างรายชื่อเอง และหลินมู่อวี่จะเป็นผู้นำกองกำลังศักดิ์สิทธิ์และกองทัพมังกรผงาดไปปกป้องป้อมปราการหนึ่งในเจ็ดนี้”
ถังหลานและซูมู่หยุนประสานมือกล่าวพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะ”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นจงไปเตรียมตัว ช่างฝีมือทั้งหมดจะถูกส่งไปยังมณฑลชางหนานทันที และสามวันถัดไปกองกำลังทั้งหมดจะเริ่มเคลื่อนทัพ จักรวรรดิจะสามารถเอาชนะเผ่าปีศาจได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับแม่ทัพเฟิงแล้ว”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเฟิงจี้สิงและคนอื่นๆ ถามหลินมู่อวี่เกี่ยวกับโซ่เทวะ เขาทำได้เพียงบอกกล่าวอย่างคลุมเครือว่าได้รับวิญญาณยุทธ์นี้มาโดยบังเอิญ ซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือบางสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้
…
ไม่นานชางชู่แห่งกระทรวงกลาโหมได้มอบตราแม่ทัพพิทักษ์เมืองให้กับหลินมู่อวี่อีกครั้งพร้อมดาวสามดวงประจำยศผู้บัญชาการ จากนั้นฉินอิน หลินมู่อวี่ และถังเสี่ยวซีทานอาหารร่วมกันอย่างเรียบง่าย มีเพียงเนื้อตุ๋นและเครื่องเคียงบางอย่างเท่านั้น
ถังเสี่ยวซีมองหลินมู่อวี่ด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น “เป็นเวลากว่าสองเดือนที่มู่มู่ไปมณฑลหลิงตง และข้าไม่รู้เลยว่าการไปมณฑลชางหนานครานี้จะเวลานานเพียงใด”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวซีอย่ากังวลเลย อาจเป็นเร็ววันนี้”
ฉินอินมองหลินมู่อวี่ด้วยดวงตาคู่งามที่เผยความคิดถึงอย่างท่วมท้น “อาอวี่คิดว่าพวกเราจะชนะหรือไม่?”
“อื้ม”
หลินมู่อวี่กล่าวอย่างหนักแน่น “พวกมันแข็งแกร่งมาก แต่ตราบใดที่หลีกเลี่ยงการต่อสู้บนที่ราบ และโจมตีทางน้ำแทน เราสามารถเอาชนะมันได้อย่างแน่นอน เนื่องจากพวกปีศาจไม่เก่งในการรบทางนั้น”
“เหตุใดพี่อาอวี่จึงมั่นใจนัก?” ฉินอินเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่ยิ้ม “เนื่องจากอาวุธของพวกมันแย่มาก บางส่วนเป็นเพียงอาวุธทองแดง เมื่อเทียบกับฝีมือการตีเหล็กของช่างในจักรวรรดิ พวกมันคงเหมือนเด็กสามขวบเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่า…แม้พวกมันจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากไม่มีช่างฝีมือขั้นสูง ก็สามารถคาดเดาได้ว่าเผ่าปีศาจไม่สามารถสร้างเรือหรืออุปกรณ์ในการปิดล้อมพวกเรา ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ว่า…”
เขาแสดงสีหน้ากังวล
“แต่อะไรหรือ?” ฉินอินเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่รู้สึกหดหู่ “แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนในเผ่าปีศาจจะเป็นพวกโง่เขลาเหมือนอสูรเกราะ พวกมันมีคนที่ฉลาดหลักแหลมด้วย มิฉะนั้นเมืองตงฉวงคงไม่ถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดคือการที่เผ่าปีศาจสู้รบบนภูเขาพร้อมยึดครองมณฑลหลิงตงและมณฑลทงเทียนไปแล้ว พวกมันอาจกดขี่ช่างฝีมือมนุษย์และให้สร้างสิ่งของที่ต้องการ ดังนั้นจึงควรป้องกันแม่น้ำต้าวเจียงสายย่อยโดยเร็วที่สุด เราไม่เหลือเวลาอีกต่อไป…”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
ฉินอินเม้มริมฝีปาก ก่อนจะยิ้มและตัดชิ้นเนื้อส่งให้ “พี่อาอวี่กินสิ”
“อื้ม”
ขณะเดียวกัน ถังเสี่ยวซีมองหลินมู่อวี่และกล่าว “มู่มู่ ข้าได้ยินมาว่าเมืองตงฉวงขาดแคลนอาหารมากกว่าสิบวัน เจ้าจำเป็นต้องกินทุกสิ่งอย่างในเมืองจริงหรือ…”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “เปลือกไม้ รากหญ้า หนู งู…ข้าได้ลิ้มรสเกือบทุกสิ่งในเมืองตงฉวงแล้ว…”
“อื้ม…” สาวงามทั้งสองขมวดคิ้วแน่น
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและคิดว่าพวกนางควรอยู่ห่างจากสงครามให้มากที่สุด แต่สงครามมักมาพร้อมกับความโหดร้ายเสมอ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้…
…
หลังทานอาหารเย็น ถังเสี่ยวซีสัญญาว่าจะส่งทหารสองหมื่นนายจากเมืองหน้าด่านอสูรให้หลินมู่อวี่ พร้อมมอบม้าพันธุ์ดีห้าพันตัวให้กับกองทัพมังกรผงาด ด้วยเหตุนี้…เมื่อรวมกับกองกำลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นห้าพันนายและกองทัพมังกรผงาดหนึ่งพันนาย หลินมู่อวี่จะมีกองกำลังทั้งสิ้นสามหมื่นหกพันนาย ซึ่งเพียงพอในการป้องกันป้อมปราการ
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ถังเสี่ยวซีได้นำม้าศึกสีขาวไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์
“องค์หญิงซีเสด็จมาขอรับ”
เกอหยางยิ้มและทักทาย “คงมาหาผู้นำวิหารใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ถูกต้องท่านเกอหยาง มู่มู่อยู่ที่ใดหรือ?”
“โถงด้านในพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพาไปเอง”
“อื้ม!”
หลินมู่อวี่กำลังหารือกับเว่ยโฉว ฉินเหยียน และคนอื่นๆ ภายใต้แสงเทียนที่ปลิวไหว เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาเห็นถังเสี่ยวซีเดินจูงม้าศึกก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เสี่ยวซีมาหาดึกดื่นเพียงนี้ ต้องการร่วมทานอาหารค่ำกับข้าหรือ?”
“หญิงสาวไม่ควรทานอาหารค่ำมากเกินไป เดี๋ยวจะอ้วนได้”
ถังเสี่ยวซีทำหน้ามุ่ย “แต่ข้านำม้าศึกมาให้เจ้า ดูสิ…ม้าตัวนี้เป็นอย่างไร?”
หลินมู่อวี่มองไปยังด้านหลัง ม้าตัวนี้ยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่มันแข็งแรงมาก อีกทั้งยังมีสีขาวและมีขนสีดำอยู่บนเท้าทั้งสี่ ซึ่งทำให้มันดูสง่างามมาก
“ม้าตัวนี้ชื่อท่าเฉว่” ถังเสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลองทายสิว่าพ่อพันธุ์ของมันคือใคร”
“หวังว่าคงไม่ใช่พี่เฟิง…” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถังเสี่ยวซีหัวเราะ “ผู้บัญชาการเฟิงคงไม่สามารถให้กำเนิดม้าพันธุ์ดีเช่นนี้ได้…พ่อของมันคือเจี๋ยดี่ ม้าเร็วของเจ้าที่ตายในสนามรบ ความจริงก่อนที่เจี๋ยดี่จะตาย เสวี่ยหลีม้าของข้าคลอดลูกออกมาซึ่งก็คือท่าเฉว่ และเสี่ยวอินเป็นผู้ตั้งชื่อให้ เจ้าชอบหรือไม่?”
“อื้ม ข้าชอบ”
หลินมู่อวี่ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากของม้า ทันใดนั้นฌานสัมผัสก็เชื่อมต่อกัน ดูเหมือนท่าเฉว่จะสามารถรับรู้ได้ว่าหลินมู่อวี่เคยเป็นเจ้านายพ่อของตนเอง มันตอบรับหลินมู่อวี่ด้วยความดีใจ
………………………………….