The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.209 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เว่ยโฉวเอื้อมมือดึงคันศรกลืนปีศาจขึ้นมาอย่างชำนาญก่อนจะง้างคันศรพร้อมกับเสริมด้วยพลังวิญญาณจนลูกศรเปล่งแสงจ้า เว่ยโฉวตั้งสมาธิและเล็งไปยังลำคอของมังกรนภา
เมื่อมังกรนภากินส่วนหัวของหมาป่าหนามโลหิตแล้วเสร็จ มันก็คาบส่วนลำคอและดึงศพอสูรไป เป็นเวลาเดียวกับที่มันไม่ทันได้ระวังตัวและเผยจุดอ่อนออกมา! เกล็ดหนาบริเวณลำคอถูกบางอย่างกะเทาะออกจนเกิดรอยแผล นี่แหละโอกาสที่เว่ยโฉวรออยู่!
“ฟิ้ว!”
ลูกศรถูกยิงฝ่าลมหนาวไป กว่ามังกรนภาจะได้ยินเสียงก็สายไปเสียแล้ว “ฉึก!” มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทันทีที่ลูกศรอาบยาพิษของเว่ยโฉวพุ่งปักเข้ากลางแผลตรงคอ
หลินมู่อวี่แอบชื่นชมเว่ยโฉว ทั้งที่ลมแรงถึงเพียงนี้ยังสามารถยิงมังกรนภาที่อยู่ไกลกว่าร้อยห้าสิบเมตรได้ไม่พลาดเป้า ด้วยสายตาและพลังแขนอันน่าถึงนี้เป็นทักษะระดับสูงแม้ในหมู่ทหารองครักษ์ด้วยกันเอง หลินมู่อวี่เห็นด้วยอย่างยิ่งหากเว่ยโฉวจะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นในสักวัน
มังกรนภาที่ถูกโจมตีผละจากศพหมาป่าหนามโลหิตและตรงขึ้นเขามาหาพวกหลินมู่อวี่ มันโกรธแค้นจนแทบคลุ้มคลั่ง ทว่าความเร็วของมันที่หมายพุ่งเข้าโจมตีกลับลดลง เพราะพิษจากศรที่ปักอยู่ได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว
“ไป!”
หลินมู่อวี่ชูกระบี่วิญญาณมังกรขึ้นเป็นเชิงให้บุกเข้าไป แสงวิญญาณยุทธ์ระเบิดออก กำแพงน้ำเต้าหลายชั้นถูกเรียกออกมาป้องกันการโจมตีของมังกรนภา! “ชิ้ง!” หลินมู่อวี่ตวัดกระบี่ฟันเข้าส่วนคอของมังกรนภา
“โฮก…”
อาวุธปราชญ์คุณภาพแตกต่างจากอาวุธนิลลิบลับ! เพียงการตวัดครั้งเดียวเกล็ดของอสูรมังกรก็แตกเป็นเสี่ยงๆ จนเกิดแผลลึกถึงห้าเซนติเมตร เลือดบริเวณลำคอของมันพุ่งกระฉูด!
มังกรนภาเงยหน้าคำรามลั่นด้วยความโกรธแค้นก่อนจะก่อประกายสายฟ้าสีม่วงขึ้นรอบตัว เซี่ยโหวซางและคนอื่นๆ ถอยร่นไปทันทีที่ชุดคลุมขาวถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน เหลือเพียงหลินมู่อวี่เท่านั้นที่ยังคงประจันหน้ากับพลังอัสนีอันร้ายกาจ รองเท้าศึกที่สวมอยู่ช่วยให้ไม่โดนไฟฟ้าสถิตจากพื้นจนเป็นอัมพาต จากนั้นหลินมู่อวี่เหวี่ยงกระบี่ฟันเข้ากลางหน้าผากมังกรนภา!
“แครก…”
เกล็ดมังกรแตกกระจาย! อสูรคำรามลั่นอย่างแค้นเคือง! ด้วยมิอาจทนการโจมตีอันหนักหน่วงได้ส่งผลให้บริเวณหน้าผากของมันเลือดไหลไม่หยุด มังกรนภาง้างกรงเล็บหมายจะตะครุบข้อมือหลินมู่อวี่!
หลินมู่อวี่สร้างปราการเกล็ดมังกรขึ้นมาป้องกันได้ทัน ทว่าก็ถูกบดขยี้จนบุบสลาย! แรงสะท้อนจากการโจมตีร้าวไปถึงข้อมือ แม้เกราะแขนจะแตกละเอียดทว่าไม่ได้บาดเจ็บมาก ไม่คิดเลยว่ามังกรนภาที่บาดเจ็บปางตายจะมีพละกำลังถึงเพียงนี้
หลินมู่อวี่รวบรวมพลังปีศาจไว้ที่แขน ก่อนจะส่งพลังสองประทีประบำปีศาจเข้าสู่ตัวกระบี่โดยตรง หลินมู่อวี่ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะฟาดฟันคมกระบี่ตรงไปที่หัวของมังกรนภา!
“ตายเสียเถิด!”
มังกรนภามิอาจต้านทานความคมของกระบี่ที่ผสานรวมกับพลังระบำปีศาจ ร่างกายกระตุกพร้อมกับเสียงคร่ำครวญเฮือกสุดท้ายเมื่อหัวของมันกระเด็นตกลงพื้น ประกายสายฟ้าปะทุขึ้นรอบศพจนเซี่ยโหวซาง เว่ยโฉวกับคนที่เหลือไม่กล้าเข้าใกล้
“เฮ้อ…”
หลินมู่อวี่ถอนหายใจยาวก่อนจะชูกระบี่ขึ้นและยิ้มอย่างผู้ชนะ “โชคดีที่ศรอาบยาพิษของเว่ยโฉวได้ผล มิเช่นนั้นเราคงกำราบมันไม่ง่ายอย่างนี้แน่”
เว่ยโฉวมองหิมะที่ถูกกระแสไฟฟ้าละลายโดยรอบอย่างหวาดหวั่น “เป็นเพราะเกราะปราณยุทธ์น้ำเต้าอันแข็งแกร่งของท่านต่างหากเล่าขอรับที่ช่วยให้ชนะ หากไม่มีมันแล้วพวกเราคงถูกพลังอัสนีนั่นย่างสดเสียแล้วกระมัง”
“ข้าเห็นด้วย” เซี่ยโหวซางพยักหน้า
หลินมู่อวี่ขุดหาศิลาวิญญาณจากซากศพโดยไม่ฟังคำเยินยอของทหารใต้บัญชา เพราะศิลาอรุณอายุหกพันห้าร้อยปีเป็นของที่เขากำลังตามหาพอดี
“เรากลับเมืองหลันเยี่ยนกันเถิดขอรับ” เว่ยโฉวเอ่ยขึ้น “ข้าไม่คิดว่าเราจะจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้ ตาแก่เฉอชงแห่งเจ๋อเทียนที่สร้างเรื่องให้เราเองก็คงไม่คิดว่าเราจะทำภารกิจได้อย่างราบรื่นเป็นแน่”
“ไม่”
หลินมู่อวี่ปฏิเสธ “เรายังกลับตอนนี้ไม่ได้”
“เหตุใดกันขอรับ?” เว่ยโฉวและเซี่ยโหวซางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เพราะยังมีมังกรนภาอยู่อีกตัว” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างจริงจัง “มังกรนภาตัวนี้ฆ่าหมาป่าหนามโลหิตและพยายามลากศพกลับไป หมายความว่าต้องมีมังกรนภาอีกตัวรออยู่เป็นแน่ และโดยธรรมชาติแล้วสัตว์ที่แข็งแกร่งมักจะเป็นผู้ล่า หากอสูรตัวที่ตายนี้มีบาดแผลและได้ออกหาอาหาร แสดงว่าตัวที่เหลืออยู่ต้องอ่อนแอกว่า หรือบางทีมันอาจจะออกหาอาหารด้วยกัน ข้าคิดว่าในเมื่อเรามาถึงนี่แล้วก็ควรกอบโกยให้ได้มากที่สุด”
เว่ยโฉวเมื่อได้ฟังเหตุผลก็เข้าใจ “เป็นอย่างที่ท่านฉินเหลยพูดไม่มีผิด ท่านผู้บัญชาการของข้าช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทั้งด้านการรบและสติปัญญา หากเป็นพวกโง่เช่นข้ากับเซี่ยโหวซางคงไม่มีวันคิดได้เช่นนี้แน่”
เซี่ยโหวซางหัวเราลั่นขณะใช้มีดขุดหาศิลาวิญญาณจากหัวหมาป่าหนามโลหิตในท้องมังกรนภา เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ข้ารู้เพียงว่าศิลาวิญญาณนี่ขายได้ก็พอแล้วขอรับ…”
หลินมู่อวี่พยักหน้ากล่าว “ไปกันเถิด…เราต้องมองหาถ้ำมังกรแถวนี้ ข้าคิดว่าคงอยู่ไม่ไกลหากตามรอยเท้ามันไป”
“ขอรับ!”
แสงจันทร์สุกสกาวท่ามกลางหมู่ดาวบนฟ้า สาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่างสะท้อนกับเกล็ดหิมะขาวจนเกิดประกายพร่างพราว
กลุ่มของหลินมู่อวี่ควบม้าตามรอยเท้ามังกรนภามากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว จนในที่สุดรอยที่หลงเหลือก็พามาถึงอุโมงค์ถ้ำใต้ภูเขาแห่งหนึ่ง จากระยะไกลขนาดนี้ยังได้กลิ่นเหม็นชวนสำรอกของกองกระดูกตรงปากถ้ำ เศษซากกระดูกของมนุษย์ถูกทิ้งเรียงรายจนคราบราขึ้นเกาะราวกับถูกกินมาเป็นปีแล้ว
เว่ยโฉวขมวดคิ้วกล่าว “เป็นไปได้หรือไม่ขอรับว่ามังกรนภาที่อยู่ข้างในอาจแข็งแกร่งกว่าตัวที่เราฆ่าไป?”
“เป็นไปไม่ได้”
หลินมู่อวี่กล่าว “หากมันแข็งแกร่งกว่าคงออกล่าอาหารเองแล้ว”
“ให้ข้านำไปก่อนเถิดขอรับ” เซี่ยโหวซางเอ่ยขึ้นพร้อมคำนับ ด้วยความกังวลว่าอาจมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับหลินมู่อวี่ ตนในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาจึงอาสาเข้าไปก่อน
ทว่าหลินมู่อวี่กลับส่ายหัวปฏิเสธและกระชับกระบี่ย่างเข้าไปโดยไม่ฟังความเห็นใดอีก กลิ่นเหม็นเน่าทวีความแรงขึ้น ทางเดินถ้ำเป็นทางลาดลงไปพร้อมกับหิมะที่เริ่มละลายเป็นน้ำทำให้พื้นลื่นมาก ทันทีที่เข้าไปได้สิบเมตรหลินมู่อวี่ก็ได้ยินเสียงครางเบาๆ ของอสูรที่อยู่ด้านใน
หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมา อาวุธปราชญ์ปล่อยเปลวเพลิงลุกโชดช่วงส่องสว่างจนเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ณ ปลายทางเดินถ้ำปรากฏมังกรนภาตัวหนึ่งกำลังหลับใหลอยู่บนกองหญ้าและกิ่งไม้แห้ง บริเวณลำคอมีคราบเลือดปกคลุมอยู่แสดงให้เห็นว่ามันกำลังบาดเจ็บ ซึ่งดูแล้วคงไม่มีแรงต่อสู้เป็นแน่ อสูรมังกรลืมตาขึ้นมองหลินมู่อวี่อย่างช้าๆ และครางเสียงทุ้มออกมา
“นั่นมัน…”
เมื่อมาถึงจุดที่หลินมู่อวี่อยู่เว่ยโฉวก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “นั่นมันมังกรนภาตัวเมียมิใช่หรือขอรับ บางทีอสูรตนนี้คงเป็นแม่ของตัวที่เราสังหารไป…ทั้งยังเป็นมังกรภาหมื่นปีที่จำศีลภาวนาล้มเหลว!”
หลินมู่อวี่เองก็คิดเช่นเดียวกัน มังกรตัวเมียนี้มีลายบนหัวเก้าเส้นชัดเจน…ทว่าเส้นที่สิบนั้นดูเลือนราง ประหนึ่งว่าถูกบางสิ่งรบกวนขณะจำศีลภาวนา แต่ด้วยรอยเลือดที่ปรากฏคงไม่ต้องเดาให้เสียเวลา…ระหว่างการวิวัฒนาการเข้าสู่ร่างมังกรที่แท้จริงอสูรตนนี้ถูกโจมตีอย่างรุนแรงจนต้องประสบกับโชคชะตาอันทรมานเช่นนี้
“อสูรตนนี้บาดเจ็บหนักและจิตวิญญาณเองก็แทบสลายแล้วขอรับ” เซี่ยโหวซางเอ่ยขึ้นพลางชักดาบออก “ท่านขอรับ…เราควรจะสังหารมังกรนภาหมื่นปีตนนี้เสีย ในเมื่อเราพรากลูกมันไปแล้วคงจะปล่อยมันทิ้งไว้เช่นนี้ไม่ได้ขอรับ”
หลินมู่อวี่รู้ตัวว่าไม่ควรแสดงความสงสารออกมา ทว่าเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเซี่ยโหวซาง “อย่าให้นางเจ็บปวดก็แล้วกัน”
“เชื่อมือข้า!”
เซี่ยโหวซางกระโดดไปยังร่างของมังกรนภา ใช้เท้าเหยียบที่หัวของมันขณะเดียวกันสองมือกระชับดาบแน่นฟันซ้ำตรงแผลลำคอของนางอสูร…
“ฉับ!”
เสียงโหยหวนน่าเวทนาของมังกรนภาดังกึกก้องพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูด…มันยังไม่ตาย เซี่ยโหวซางจึงตวัดดาบอีกครั้งเพื่อสะบั้นคอของมันจนขาด เพียงพริบตามังกรนภาตัวเมียก็สิ้นใจลง แสงวิญญาณสายฟ้าลอยค่อยๆ ออกมากลางอากาศ
“วิญญาณอสูรหมื่นปี!” เว่ยโฉวตะโกนขึ้น “ท่านผู้บัญชาการยังไม่บรรลุขอบเขตนภาขั้นหนึ่งมิใช่หรือ? เช่นนั้นท่านควรหลอมรวมจิตวิญญาณมังกรนภาตนนี้นะขอรับ วิญญาณของอสูรหมื่นปีนั้นล้ำค่ามาก เป็นสมบัติในฝันที่ใครหลายคนต้องการ!”
หลินมู่อวี่พยักหน้า การฝึกฝนที่ผ่านนั้นทำให้พลังเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าก็ใกล้จะอิ่มตัวแล้วเช่นกัน หลินมู่อวี่รู้ตัวว่าใกล้ถึงจุดที่จะบรรลุไปขั้นต่อไปแล้ว ขาดเพียงสิ่งกระตุ้นเท่านั้น ในเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้วเขาจึงต้องคว้ามันไว้ แม้วิญญาณมังกรนภาหมื่นปีจะเป็นธาตุอรุณ แต่ก็มีธาตุอัสนีผสมอยู่ด้วย ซึ่งเหมาะกับพลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่อย่างยิ่ง เขาจึงยินดีที่จะรับวิญญาณอสูรนี้ไม้
เซี่ยโหวซางชักดาบออกหมายจะควานหาศิลาวิญญาณจากซากศพ ทว่าไม่สามารถแทงทะลุผิวหนังบริเวณหัวของมังกรนภาได้ “ดาบของข้าก็เป็นดาบชั้นดีแท้ๆ กลับแทงไม่เข้า ท่านทำอย่างไรถึงผ่าหัวมันได้หรือขอรับ?”
หลินมู่อวี่หัวเราะ ใช้กระบี่ของตนผ่าเอาศิลาวิญญาณอรุณอายุหมื่นปีจากหัวอสูรแล้วเก็บไว้ในถุงสรรพสิ่ง ก่อนจะปักกระบี่วิญญาณมังกรไว้ที่พื้นแล้วเริ่มทำการหลอมวิญญาณอสูรเขาสั่งให้พวกที่เหลือออกไปด้านนอก “พวกเจ้าจงออกไปเฝ้าปากถ้ำไว้ และจงระวังตัวให้ดี อาจมีอสูรวิญาณตัวอื่นอยู่อีก”
“เชิญท่านหลอมวิญญาณอย่างวางใจเถิดขอรับ!”
วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าระดับหกส่งเสียงร้องขณะดูดซับวิญญาณอสูรเข้าไป หลินมู่อวี่สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าจากทะเลจิต ประหนึ่งไม่มีพลังใดอยู่ภายในซึ่งเป็นสัญญาณสู่การบรรลุขั้นต่อไป เขารีบเรียกติ่งหลอมออกมาเพื่อช่วยหลอมวิญญาณ ซึ่งจะทำให้เขาเร่งกระบวนการได้ไวขึ้น สาเหตุที่ต้องใช้ติ่งหลอมช่วยเพราะสถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไป…
……………………