The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.265 ฝ่าฝืน
“หลินมู่อวี่ บังอาจนัก!”
ซูฉินกระโดดขึ้นหลังม้าด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่ฟาดดาบออกไปอย่างเต็มแรง ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหารจากความอัปยศที่เกิดขึ้น
หลินมู่อวี่มองซูฉินอย่างดูแคลน
‘วิ้ง!’
วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าสีทองเปล่งประกายพร้อมควบแน่นเป็นกำแพงน้ำเต้าสีทองทันที อีกทั้งกระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรก็ออกมาพร้อมกันเพื่อรับดาบนี้!
‘เปรี้ยง!’
เกิดแสงระเบิดสว่างวาบขณะที่การโจมตีของซูฉินถูกสะท้อนกลับ ทว่าในฐานะแม่ทัพ เขาจึงพยายามสงบนิ่งและตวัดดาบออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง!
หลินมู่อวี่ขบฟันแน่นขณะที่ปลดปล่อยปราณเข้าสู่แขนซ้ายอย่างรวดเร็ว พลังศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวเป็นรูปมังกรล้อมรอบแขนและแปรเปลี่ยนเป็นโล่ หลินมู่อวี่ยกแขนขึ้นรับคมดาบอันทรงพลังจนระเบิดขึ้น!
‘ตูม!’ พลังระเบิดออกทันทีที่ดาบของซูฉินปะทะกับแขนซ้ายของหลินมู่อวี่ เกิดแสงสีทองสว่างไสวพร้อมใบดาบที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
“อะไรกัน?!”
ซูฉินตกลงจากหลังม้า เขามองไปที่ดาบในมือขณะที่หัวใจเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นี่คือดาบนิลระดับสาม และมันถูกหลินมู่อวี่ทำลายด้วยมือเปล่า!
…
“เข้าไปในเมือง!”
ขณะที่ซูฉินกำลังตื่นตกใจ หลินมู่อวี่ก็เริ่มเคลื่อนไหว กองทหารค่ายเขาเหินฉวยโอกาสนี้เคลื่อนทัพเข้าไปในเมืองห้าหุบเขา ขณะเดียวกันเหล่าผู้บัญชาการทหารม้าบางส่วนต่อต้านหลินมู่อวี่ ทำให้ผู้ที่เต็มใจจะท้าทายซูฉินเพื่อเมืองห้าหุบเขาขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการชั่วคราว พวกเขายังคงเห็นภาพซ้อนของหลงเซียนหลินในตัวหลินมู่อวี่
“อาอวี่ เหตุใดเจ้าถึง…” ซูอวี่ถอนหายใจ
หลินมู่อวี่ประสานหมัดและกล่าว “ข้าเป็นราชบุตรบุญธรรมที่องค์จักรพรรดิยอมรับ ข้าควรจะเรียกพวกท่านว่าท่านลุงและท่านป้า กระนั้นเมื่อใดที่จักรวรรดิสูญเสียเมืองห้าหุบเขา ชีวิตของทหารทั้งสองหมื่นนายนั้นก็จะสูญเปล่า ข้าหวังว่าท่านลุงจะไตร่ตรองอีกครั้ง หลินมู่อวี่มิได้มีเจตนาจะก่อกบฏ ข้าเพียงไม่ต้องการให้ท่านลุงฝ่าฝืนพระราชโองการของจักรพรรดิและกวาดล้างเมืองแห่งนี้”
แท้จริงพระราชโองการของฉินจิ้นมิได้เอ่ยถึงเรื่องการกวาดล้าง ตราบใดที่หลินมู่อวี่อยู่ที่นี่ เพียงคำพูดไม่กี่คำที่ทูลจักรพรรดิ อาจจะทำให้ซูฉินต้องตกอยู่ในอันตราย
ซูฉินคิดเรื่องนี้พลางขบฟันแน่น เขาประสานหมัดและกล่าวว่า “คำพูดของแม่ทัพหลินถูกต้อง ข้าเผลอตัวไป เช่นนั้นข้าจะคุมกองทัพนอกเมืองขณะที่รอท่านพ่อและฉินอินมา ดูสิว่าพวกเขาจะกล่าวว่าอย่างไรบ้าง!”
“อืม!”
หลินมู่อวี่พลันขี่ม้านำกองทัพเข้าเมืองห้าหุบเขา ซึ่งหลินมู่อวี่จะกลายเป็นเจ้าเมืองชั่วคราว
…
ขณะเดียวกันภายในเมืองห้าหุบเขาก็ตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าโจรร้ายออกอาละวาดและปล้นสะดม ชาวบ้านจำนวนมากวางแผนพาครอบครัวหนีออกทางประตูทิศใต้ และดูเหมือนว่าข่าวเรื่องการกวาดล้างของซูฉินจะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านหวาดผวาสุดขีด
“ปิดกั้นทุกประตูในเมืองซะ”
หลินมู่อวี่หันไปคุยกับรองผู้บัญชาการด้านข้าง “จัดกองทหารค่ายเขาเหินกองละสิบนายเพื่อไปดูแลความสงบในเมือง จัดการให้เรียบร้อยอย่าปล่อยให้เกิดความวุ่นวาย และจัดกองทหารหนึ่งหมื่นนายเพื่อเฝ้าประตูและป้องกันการโจมตีของซูฉิน”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
นายพลฉีเดิมตามมาอย่างใกล้ชิด “ท่านแม่ทัพหลิน ท่านซูฉินจะโจมตีเมืองจริงหรือขอรับ?”
“อาจไม่ ทว่าข้าจำเป็นต้องเข้ามาควบคุมกฎระเบียบและความปลอดภัยในเมืองห้าหุบเขา”
“ขอรับ!”
จากนั้นรองผู้บัญชาการอีกนายเดินเข้ามาพร้อมประสานหมัดรายงาน “ท่านแม่ทัพ ข้าได้ตรวจสอบตามคำสั่งแล้ว…เมื่อวานหูเถี่ยหนิงออกจากเมืองและเสนอเมืองห้าหุบเขาให้แก่ซูฉิน ทว่าถูกรองผู้บัญชาการของซูฉินสังหาร นี่เป็นสาเหตุให้แม่ทัพหลงเซียนหลินเริ่มศึกสงคราม และกลางดึกคืนที่ผ่านมาหลงเซียนหลินนำกองทหารห้าพันนายจู่โจมค่ายพักของซูฉินรวมถึงผู้คนทางประตูทิศใต้ จากนั้นเขาก็พาครอบครัวของตนและหูเถี่ยหนิงหนีไปทางภูเขาฉิน”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
หลินมู่อวี่ก้าวเข้ามาในโถงจวนเจ้าเมืองและเอ่ยถาม “หลงเซียนหลินบุกเข้ามาแล้วหรือ?”
“ข้าไม่ทราบขอรับ มันเป็นคืนที่โกลาหลและคละคลุ้งไปด้วยเลือด ไม่มีใครล่วงรู้ว่าท่านแม่ทัพหลงถูกฆ่าหรือไม่ ทว่าซูฉินกำลังตามหาศพของแม่ทัพหลง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าแม่ทัพหลงยังมีชีวิตอยู่
หลินมู่อวี่ถอนหายใจ “ข้าหวังว่าหลงเซียนหลินจะรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ไปได้”
นายพลฉีพลันเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมประสานหมัด “แม่ทัพหลิน ข้าขอบคุณท่านในสิ่งที่ทำเพื่อเมืองห้าหุบเขา…ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผู้คนนับล้านในเมืองแห่งนี้”
“ลุกขึ้นเถิด”
หลินมู่อวี่โบกมือและกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิส่งข้าและองค์หญิงอินมาที่เมืองหยาดสายัณห์เพื่อเป็นกำลังเสริม มิได้มาเพื่อเข่นฆ่า นี่จึงเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ หากวันนี้เกิดการกวาดล้างในเมืองห้าหุบเขา ข้าเกรงว่าฝ่าบาทจะประทานอภัยให้ซูฉินและปล่อยให้เป็นเรื่องอื้อฉาวในมณฑลชางหนานเสีย”
“ท่านแม่ทัพช่างชาญฉลาด!”
“มิต้องพูดสิ่งใดอีก ออกไปดูแลความปลอดภัยแก่เมืองห้าหุบเขาเถิด”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
ค่ำคืนนั้นเหล่าข้าหลวงเตรียมมื้อค่ำให้อย่างอุดมสมบูรณ์ หลินมู่อวี่นั่งทานอาหารกับกลุ่มนายพลฉี ขณะที่ทหารสามพันนายจากเมืองหยาดสายัณห์ถูกขอให้ออกจากเมืองและกลับไปที่ค่ายพักของซูฉิน คงไม่เป็นการดีที่จะให้พวกเขาอยู่ในเมืองต่อไป ซึ่งเป็นเหมือนกับการมีระเบิดเวลาอยู่ข้างๆ
หลังจากนั้นเหล่าเสนาบดีจากจวนผู้ว่าการก็เขามาทำความเคารพ หนึ่งในนั้นคลี่ม้วนหนังสือและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ เราได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบคลังสมบัติของจวนผู้ว่าการ รายละเอียดทรัพย์สินมีดังนี้ มีเหรียญทองกว่าสิบสองล้านสี่แสนเหรียญ หยกน้ำหนักราวสองพันหนึ่งร้อยกิโลกรัม อีกทั้งยังมีโบราณวัตถุจำนวนนับไม่ถ้วน ศาสตราวุธมากกว่าสี่หมื่นชิ้น ม้วนกระดาษตัวอักษรและภาพวาดผู้มีชื่อเสียงอีกว่าสามพันม้วน หิน เมล็ดพืช และหญ้าอีกกว่าสองแสนก้อน แม้ว่าเมืองห้าหุบเขาจะค่อนข้างมั่งคั่ง ทว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ถูกแม่ซูขนไปหมดแล้ว”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “พวกเขานำทองคำและเงินไปมากมาย แล้วยังสามารถเอาไปเพิ่มอีกหรือ?”
นายพลฉีก้าวออกไปด้านหน้าและกระซิบข้างหู “ท่านแม่ทัพ หน่วยสอดแนมเข้ามารายงานว่าซูฉินส่งทหารม้าหนึ่งหมื่นนายไปตามล่าครอบครัวของผู้ว่าการที่จวนเมื่อสามชั่วโมงก่อน ข้าสงสัยว่าความต้องการที่แท้จริงของซูฉินอาจเป็นทองคำและเงิน อีกทั้งด้วยนิสัยใจคอของซูฉิน เขาคงตามครอบครัวผู้ว่าทันและสังหารจนสิ้น พวกเราจำเป็นต้องส่งกองกำลังออกไปนอกเมืองทันทีขอรับ…”
“เราจะทำอะไรได้?”
หลินมู่อวี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “มันไม่จำเป็นอีกแล้ว ข้าทำให้ซูฉินขุ่นเคืองครั้งแล้วครั้งเล่า และตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะส่งทหารออกนอกเมือง เอาล่ะ ไปสั่งการทหารให้ส่งอาหารและหญ้าแก่กองทหารห้าหมื่นนายนอกเมืองอย่างตรงเวลาทุกวัน อย่าให้มีสิ่งใดผิดพลาด จะไม่มีใครสามารถย้ายทองคำและเงินในจวนผู้ว่าการได้ทั้งนั้น เราเพียงต้องรอให้คนจากเมืองหลวงมาจัดการพวกมันเอง”
“ขอรับ!”
“ไม่สิ…”
“มีอะไรหรือขอรับ?”
“มีเหรียญทองในคลังของจวนผู้ว่าการเท่าใด?”
“ราวสิบสองล้านสองแสนเหรียญทองขอรับ”
“ให้เสมียนบันทึกสิบเอ็ดล้านสองแสนเหรียญทอง ส่วนหนึ่งล้านนั้นนำไปแลกธนบัตรทองคำแล้วนำมาให้ข้า ข้ามิได้ปกป้องเมืองห้าหุบเขาโดยเปล่าประโยชน์”
นายพลเผยยิ้ม “ขอรับ ข้าจะทำตามคำสั่ง!”
หลังจากนั้นไม่นานธนบัตรทองคำที่มีค่าเท่ากับหนึ่งล้านเหรียญทองก็ถูกนำมาให้ ซึ่งสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองจากธนาคารทองคำทุกแห่งในจักรวรรดิ และพวกเขาเก็บเหรียญทองจำนวนมากมายไว้ในธนาคาร ความจริงหลินมู่อวี่มิได้ตั้งใจจะยักยอกเงินจากเมืองห้าหุบเขา ทว่ากลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดกำลังขยายกองกำลังและต้องการเงินจำนวนมาก หลินมู่อวี่จึงต้องคิดวิธีหาเงินให้ได้ และแม้ว่าหลินมู่อวี่จะไม่ใช้เงินสิบสองล้านเหรียญทองนั้น ก็คงมีคนใช้มันอยู่ดี เช่นนั้นมันคงจะมีค่าไม่ต่างกัน
วันที่สองหลินมู่อวี่จึงให้ผู้ส่งสารมอบธนบัตรทองคำนี้ให้หลัวอวี่โดยตรง เช่นนี้คงทำให้การเงินของกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดไม่มีปัญหาไปได้ระยะหนึ่ง
…
เมื่อรอถึงวันที่เจ็ด ซูมู่หยุนและฉินอินพร้อมทั้งทหารราบหนึ่งแสนนายก็ปรากฏตัวขึ้นในมณฑลชางหนาน ก่อนจะเข้ายึดเมืองและเขตต่างๆ อย่างรวดเร็ว ด้วยการนี้อำนาจทั้งหมดในมณฑลชางหนานจึงตกอยู่ในมือของฉินอิน
ในเวลาเที่ยง ธงปลิวไสวในสายลมอยู่ไกลๆ พร้อมทั้งทหารรักษาการณ์คนแรกมาถึงเมือง
หลินมู่อวี่สั่งให้เปิดประตูเมืองเพื่อต้อนรับฉินอินและหยุนกง อีกทั้งนำชาวบ้านและทหารในเมืองห้าหุบเขาออกไปนอกเมืองเพื่อรอต้อนรับ ผู้คนยืนหนาวสั่นท่ามกลางสายลมหนาวและหิมะ ขณะที่ยืนรอกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดซูมู่หยุนและฉินอินก็มาถึง ส่วนซูฉินและซูอวี่ก็ยืนรอกับพวกหลินมู่อวี่เช่นกัน
“พี่อาอวี่!” ฉินอินลงจากหลังม้าและตรงเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม เธอสวมชุดคลุมองค์หญิงซึ่งดูสง่างามและหรูหรามาก
หลินมู่อวี่ก้าวออกไปด้านหน้าขณะที่มองไปที่ซูมู่หยุนระยะไกล หลินมู่อวี่พลันยกมือขวาขึ้นประทับที่หน้าอกพร้อมแสดงความเคารพเฉกเช่นทหารแห่งจักรวรรดิและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หลินมู่อวี่ขออภัยแก่มู่หยุนกงขอรับ!”
ซูมู่หยุนปัดหิมะออกจากชุดเกราะก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “อาอวี่ เจ้าขอโทษด้วยเรื่องอันใด?”
หลินมู่อวี่กล่าว “ข้ายึดครองเมืองห้าหุบเขาโดยมิได้รับอนุญาต อีกทั้งปิดกั้นกองทัพของซูฉินและซูอวี่มิให้เข้าไปในเมือง นอกจากความผิดฐานกระทำการตามอำเภอใจ ก็มีความผิดที่ไม่เคารพผู้อาวุโสขอรับ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
ซูมู่หยุนหันมองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่บอกข้าได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงยับยั้งการกวาดล้างเมืองนี้?”
หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเงยหน้ามองซูมู่หยุน “การสังหารหมู่สามารถเพิ่มพลังอำนาจได้ก็จริง ทว่าองค์จักรพรรดิเป็นผู้มีเมตตาธรรม และมิจำเป็นต้องเพิ่มบารมีด้วยวิธีการนี้ การเข่นฆ่าจะทำให้ฝ่าบาทสูญเสียความเป็นที่รักจากประชาชนที่มีต่อพระองค์ ผลที่ตามมาอาจกลายเป็นหายนะ จักรพรรดิที่ชาญฉลาดควรได้รับความจงรักภักดีจากขุนนางและเป็นที่รักของประชาชน มิใช่เพราะความเกรงกลัว”
“พูดได้ดี!”
ซู่มู่หยุนหัวเราะลั่นขณะลงจากม้าและเดินเข้าไปดึงหลินมู่อวี่ให้ลุกขึ้น “อาอวี่ ข้าโล่งใจมากหากได้เจ้าคอยช่วยเหลือเสี่ยวอินในภายภาคหน้า ลุกขึ้นเถิด เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? เข้าไปในเมืองกัน!”
“ขอรับท่านหยุนกง”
แม้ว่าซูมู่หยุนจะใจดีมาก ทว่าในใจหลินมู่อวี่ยังมีความสับสนเล็กน้อย ความเป็นจริงบนโลกนี้ไม่ง่ายดายอย่างที่คิด และเขาไม่รู้ว่าควรไว้วางใจเหตุการณ์ตอนนี้อย่างไร…
…
หลังจากเข้าไปในเมือง ก็มีผู้ส่งสารมารายงานว่าผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงนำกองกำลังแห่งจักรวรรดิห้าพันนายมาที่เมืองห้าหุบเขา และจะถึงในอีกหนึ่งชั่วโมงพร้อมพระราชโองการขององค์จักรพรรดิ
……………….