The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.316 กระวนกระวายใจ
Ep.316 กระวนกระวายใจ
สิบวันผ่านไปในพริบตา
ลูกธนูเคลือบเพชรขาวทั้งหนึ่งแสนดอกถูกส่งมอบให้ลั่วเจี้ยนเพื่อส่งไปยังภูเขาหลงหยาน ขณะนี้หลินมู่อวี่เรียนรู้พลังฌานเจ็ดประทีปได้ถึงระดับหกแล้ว หลายวันที่ผ่านมาเขาเข้าไปในทะเลจิตและขโมยพลังจะทุ่งจิตวิญญาณของราชาปีศาจเจ็ดประทีป ทำให้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถควบคุมห้าประทีปทะลายแปดทิศได้ กระทั่งปราณยุทธ์เพิ่มขึ้นและเข้าถึงหกประทีปชิงโลกาได้สำเร็จ มีเพียงเจ็ดประทีปพลิกดาราที่เป็นท่าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่ยังไม่สามารถเรียนรู้ได้ จนถูกราชาปีศาจเรียกว่าไก่อ่อน
อันที่จริงไอ้เด็กอ่อนแอตัวเล็กจ้อยเหมือนไก่นั่น สามารถใช้หกประทีปชิงโลกาได้ด้วยฐานพลังยุทธ์เพียงแค่ขอบเขตนภาขั้นสอง ซึ่งทำให้ราชาปีศาจเจ็ดประทีปประหลาดใจอย่างมาก ทว่าราชาผู้แข็งแกร่ง ยิ่งผยองและเอาแต่สาปแช่งผู้อื่นนั้นมักจะสงวนปากไว้ราวกับพูดออกมาเป็นทองคำ จึงไม่มีทางที่เขาจะชมหลินมู่อวี่แม้แต่คำเดียว
…
เช่าตรู่ กองทัพเทียนฉงห้าหมื่นนายรวมตัวกันด้านนอกเมืองหลันเยี่ยนเพื่อคุ้มกันจักรพรรดิฉินจิ้นและฉินฮว๋ายระหว่างเดินทางไปตะวันออกแม่ทัพหลักอย่างหลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิงและฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมาส่งทั้งคู่ออกจากเมือง รอบชายป่าปกคลุมด้วยหมอกหนา เมื่อฉินอินย่างเท้าเข้าไปจึงทำให้มีแต่น้ำค้างเกาะตามร่างกายและเส้นผม แม้กระทั่งขนตางอนก็มีเม็ดน้ำเกาะกุมจนหยดย้อยลงมายามเปลือกตาเคลื่อนไหว
เมื่อเสียงรัวกลองศึกดัง การเดินทางไปยังตะวันออกก็เริ่มต้นขึ้น
ฉินจิ้นสวมชุดเกราะทองพร้อมกับกระบี่ไร้วิญญาณ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจในจักรวรรดิ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเขาหัวเราะอย่างสนุกสนานกับฉินฮว๋าย ในขณะที่ฉินอินผู้เลอโฉมกำลังทำสีหน้าอมทุกข์
“เสี่ยวอิน เจ้าอย่าได้คิดมากเลย ฝ่าบาทต้องกลับมาแน่นอน”
ฉินจิ้นหันไปมองลูกสาว “ระหว่างที่พ่อเดินทางไปตะวันออก เจ้าจงดูแลงานหลวงให้ดี จำไว้ว่าหากเจ้าติดขัดประการใด จงเอ่ยถามผู้เฒ่าชวีฉู เหล่ยหงและอวี้เซียง ทุกคนเป็นขุนนางของเจ้า…พวกเขาล้วนมีความคิดเห็นดีๆ ให้เจ้าเสมอ งานทหารก็อย่าได้ละเลย เฟิงจี้สิง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและฉินเหลยอยู่ใต้การควบคุมของเจ้า รวมไปถึงกองทัพทั้งหมดที่คอยอารักขาเมืองนี้ต่างก็ต้องการคำแนะนำอย่างมาก”
เจ้าค่ะเสด็จพ่อ ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องห่วง!”
ฉินจิ้นยิ้มและพยักหน้าก่อนจะหันไปหาหลินมู่อวี่ “อาอวี่ ปกป้องน้องสาวของเจ้าและรอข้ากลับมาจากตะวันออก เข้าใจหรือไม่?”
หลินมู่อวี่คำนับทันที “อย่าห่วงเลยขอรับเสด็จพ่อ ข้าจะดูแลน้องให้ดีที่สุด”
“อืม เท่านี้ข้าก็วางใจ”
ฉินจิ้นยิ้มก่อนจะตะโกน “ต่งซุน ออกเดินทางได้!”
เสียงกลองศึกรัวขึ้นอีกครั้ง กองทัพทหารม้าจากเทียนฉงสามหมื่นนายเริ่มออกเดินทาง ด้วยจำนวนที่ใช้เดินทางจากเก้าหมื่นนายที่มีอยู่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าต่อให้มีจำนวนน้อยแต่ก็แข็งแกร่งเพียงใด ทั้งหมดมุ่งหน้าไปทางตะวันออกโดยมีกองทัพอวี้หลินเป็นพลโล่และพลหอก ตามมาด้วยทัพธนู รวมทั้งหมดห้าหมื่นนายจากเมืองหลันเยี่ยน
…
ฉินอินมองกองทัพตะวันออกเคลื่อนไปจนลับสายตา ถังเสี่ยวซีเอ่ยขึ้น “เสี่ยวอิน กลับเข้าเมืองกันเถิด ด้านนอกนี้หนาวเย็นนัก เดี๋ยวเจ้าจะป่วยเอาได้”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว “ลึกๆ แล้วข้ารู้สึกกังวลเล็กน้อย หวังให้การเดินทางครั้งนี้ยกเลิกไปเสีย”
“เจ้ากังวลสิ่งใดกัน? เกี่ยวกับท่านฉินอี้อย่างนั้นหรือ?” ถังเสี่ยวซีถาม
“ใช่” ฉินอินพยักหน้า “ท่านลุงฉินอี้ไม่มาพบพ่อข้าหลายปีแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเขากำลังทำการฝึกฝนกำลังคนอยู่ที่หลิงหนาน เมื่อสิบปีก่อนเขามีทหารสองแสนนาย กระทั่งครั้งล่าสุด ทหารสอดแนมของเราที่หลิงหนานรายงานกลับมาว่าตอนนี้มีกองกำลังครึ่งล้านแล้ว ทหารห้าแสนนาย…”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะ “ไม่เห็นต้องกังวล เจ้าลืมไปแล้วหรือ…ทหารห้าแสนนายนั่นเทียบกับกองทัพหลักเมืองเราไม่ได้ อีกทั้งเรายังมีแม่ทัพอย่างท่านหลินอวี้จากเมืองหยาดสายัณห์ รวมไปถึงค่ายของทหารจักรวรรดิทุกๆ สอบไมล์ยาวไปจนถึงทางเหนือของเทือกเขาฉิน เมื่อใดก็ตามที่คนฝั่งหลิงหนานย่างเท้าข้ามมาเราต้องรู้ในทันที เท่ากับว่าหากท่านราชาฉินอี้แห่งเจิ้นหนานอยากโจมตีเรา เขาจะไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย”
ข้าก็หวังเช่นนั้น…”
ฉินอินหันไปหาหลินมู่อวี่ด้วยท่าทีไม่สบายใจ ก่อนจะพบว่าเขากำลังคุยอยู่กับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพร้อมกับก้อนสีดำบางอย่างในมือ
“ท่านพี่ฉู่ สิ่งนี้คือไข่มุกหลิงหลงใช่หรือไม่?”
“ใช่ ไข่มุกเล็กจ้อยนี่สำคัญอย่างไร?” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนสงสัย
“ท่านกล้าพูดมาได้อย่างไรว่าเล็กจ้อยทั้งที่มันใหญ่พอๆ กับไข่ห่าน” หลินมู่อวี่กล่าว “แล้ว…สิ่งที่สลักอยู่มันคืออะไรกันแน่ รูปร่างคล้ายกับหมาสีทอง ท่านจะเอาสิ่งนี้เป็นของขวัญวันเกิดให้พี่ฉู่เหยาหรือ?”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมอง “อาเหยาขอให้ข้าช่วยสลักรูปเจ้าลงไป ที่เห็นนั่นคือตัวเจ้าเอง หาใช่หมาสีเหลืองไม่!”
หลินมู่อวี่เพ่งมอง “มองอย่างไรข้าก็เห็นว่ามันเป็นหมามีหาง ท่านจะบอกว่ามันเหมือนข้ารึ…ท่านพี่อย่ามาอำข้าเล่นจะดีกว่า ท่านพี่เฟิง ท่านคิดว่าเจ้าตัวนี้เหมือนข้าหรือไม่?”
เฟิงจี้สิงที่กำลังเงยหน้ากระดกไวน์จากน้ำเต้า เมื่อดื่มเสร็จจึงหันมากล่าว “งานฝีมือของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั่นนับว่าชั้นยอด หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครเล่าอาอวี่? อย่าโทษข้าเลย…ข้ารับโถไวน์นี้มาจากฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแล้ว…”
หลินมู่อวี่กล่าว “ในหมู่พวกเราท่านคือคนที่ไร้สาระที่สุด!”
ฉินอินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกระแอมและเอ่ยขึ้น “จากที่สารวัตรทหารได้ประกาศกฎนับไม่ถ้วนไปก่อนหน้านี้ หนึ่งในนั้นคือห้ามดื่มของมึนเมาระหว่างทำภารกิจ ท่านเฟิงจี้สิงในฐานะผู้บัญชาการกององครักษ์ ท่านจะทำผิดกฎเสียเองหรือ?”
“ตุบ” เฟิงจี้สิงโยนน้ำเต้าลงพื้นทันที น้ำเมาสาดกระจายเต็มพื้นส่งกลิ่นคลถคลุ้งไปทั่ว เฟิงจี้เอ่ยเอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว “ใครยังอาจยัดโถน้ำเต้าใส่มือข้าแล้วหลอกว่ามันเป็นน้ำเปล่า!? คนพวกนี้เชื่อถือไม่ได้เลย น่าสมเพชนัก!”
ถังเสี่ยวซีที่ยืนมองอยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่น่าสมเพช…”
…
หลายคืนผ่านพ้น
หลินมู่อวี่ยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนลำพังจากห้องโถง ขณะเชยชมดวงดารานับล้าน พลังเจ็ดประทีปก็ค่อยๆ รวมตัวกันที่ฝ่ามือ ทว่าเขาก็ยังไม่สามารถสร้างรูปลักษณ์แห่งดวงดาวได้ ดูเหมือนว่าประทีปที่เจ็ดจะต่อต้านร่างกายเขาอยู่
“เฮ้อ…”
หลินมู่อวี่พยายามอดกลั้นความรู้สึกขุ่นเคืองไว้ก่อนจะถอนหายใจออกอย่างผิดหวัง
จากนั้นเสียงของราชาปีศาจเจ็ดประทีปก็ดังขึ้นจากทะเลจิต “ประทีปที่เจ็ดพลิกดาราเป็นวิชาที่น่าหลงใหล ข้าต้องใช้เวลากว่าสามพันปีกว่าจะเข้าถึงมันได้ เจ้าคิดว่าจะเรียนรู้ได้ง่ายๆ อย่างนั้นรึ? พลังแห่งดวงดารานั้นเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ร่างกายเนื้อของเจ้ายังมิอาจรับไหวในตอนนี้ อย่าได้ฝืน…ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
หลินมู่อวี่ถาม “ราชาปีศาจ เจ้ารู้สึกอย่างไรกับการได้เป็นพระเจ้า?”
“พระเจ้ารึ?”
ราชาปีศาจชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มตอบ “จะรู้สึกอย่างไรอีกเล่า นอกจากมีอำนาจและความเป็นนิรันดร์ ทุกคนต่างเคารพและเชิดชูข้าด้วยความหวาดกลัว อันที่จริงมันทั้งเหงาและโดดเดี่ยวมากเชียวล่ะ”
“โดดเดี่ยว…”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “บอกตามตรงข้าเองก็เหงาเหมือนกัน…”
ราชาปีศาจทนหัวเราะไม่ได้ “เจ้าเหงาเพราะอยากได้ผู้หญิง ส่วนข้าเหงาเพราะความเป็นอมตะ ไม่น่าอายไปหน่อยหรือหากจะบอกว่าเหมือนกัน?”
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ข้าไม่ได้คิดเรื่องผู้หญิงเลยสักนิด…”
“เจ้าโง่ ข้าอยู่ในทะเลจิตเจ้า คิดว่าข้าไม่รู้หรือ?” ราชาปีศาจหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าไก่อ่อน ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีแต่องค์หญิงอินผู้เลอโฉม ซึ่งก็สวยจริงๆ นั่นแหละ หลายพันปีมานี้ข้าไม่ได้พบเห็นผู้ใดงดงามเช่นนางมาก่อน หากข้าเป็นเจ้า…ข้าจะย่องเข้าไปในตำหนักเจ๋อเทียนและหลับนอนกับนางเสียระหว่างที่จักรพรรดิไม่อยู่ ฮ่าๆๆ”
หลินมู่อวี่จ้องหน้าราชาปีศาจและกล่าวอย่างเอาเรื่อง “เพราะแบบนี้เจ้าถึงถูกเรียกว่าปีศาจที่ทุกคนรังเกียจ!”
“ฮ่าๆ เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้ แต่มีศิษย์ที่ไหนกล้ากล่าวหาอาจารย์ตัวเองเช่นนี้? รู้อย่างนี้ข้าน่าจะสอนเจ็ดประทีปพลิกดาราแบบผิดๆ ให้เจ้าเสีย เจ้าจะได้ใช้มันทำลายโลกอันน่าสมเพชของเจ้าทิ้ง ฮ่าๆๆ”
หลินมู่อวี่รู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก “อย่ามาขู่ข้า เอาเถิด…ราชาปีศาจ ข้ารู้สึกกระสับกระส่ายในช่วงหลายวันมานี้ ไม่รู้เป็นอะไร หรือจะมีลางไม่ดีเกิดขึ้นกันแน่?”
ราชาปีศาจคลี่ยิ้ม “ลางร้ายอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมสิว่าเจ้ามีพลังเทพของข้าอยู่ในตัว หากเจ้ารู้สึกกระวนกระวายแน่นอนว่ามันย่อมเป็นมากกว่าลางร้ายธรรมดา มันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“พลังของเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าได้รับมา เจ้าอาจบอกข้าได้…บางอย่างที่จะเกิดขึ้นคืออะไร?”
“ไม่ ข้าไม่สนใจเรื่องวุ่นวายหรอก แผ่นดินนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ข้าหาได้สนใจไม่ว่าใครจะอยู่หรือจะตาย ข้าจึงไม่มีความไม่สบายใจใดให้รู้สึก” ราชาปีศาจตอบอย่างใจเย็น อันที่จริงเขาไม่สนเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกพลางหันไปคุยกับองครักษ์ด้านหลัง “ไปเรียกลั่วเจี้ยนจากค่ายมังกรผงาดมาพบข้า”
“ขอรับ!”
ไม่นานลั่วเจี้ยนก็ควบม้ามายังวิหารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อลงจากม้าเขาก็เอ่ยถามทันที “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับท่านผู้บัญชาการ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร”
หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “เจ้าจงไปกระจายข่าวสารที่ภูเขาหลงหยาน ให้กลุ่มมังกรผงาดเตรียมตัวพร้อมออกศึกตลอดเวลา อย่าละเลยการฝึกซ้อมและรอคำสั่งจากข้า”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่รู้สึกวางใจเล็กน้อย อย่างน้อยไม่ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ยังมีทัพมังกรผงาดอยู่
…
ณ บริเวณเทือกเขาฉินไกลออกไปหลายไมล์
ช่วงปลายฝนก่อนฤดูใบไม้ผลิ มีฝนตกปรอยๆ มานานกว่าสามวันโดยไม่มีทีท่าจะหยุด
กลางดึก มีกลุ่มคนสวมชุดคลุมสีเขียวกำลังควบม้าที่คลุมตัวด้วยหญ้าเดินไปตามถนนบนเทือกเขา กระทั่งรุ่งสางแสงแดดจากทิศตะวันออกสาดส่องไปทั่ว ทันใดนั้นด้วยแสงสว่างจากพระอาทิตย์ก็ปรากฏให้เห็นถึงกลุ่มคนชุดเขียวถืออาวุธในมืออยู่เต็มภูเขาฉิน
………………………………….