The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.337 ความภาคภูมิใจของหลานกง
วัชพืชเติบโตอยู่ในช่องว่างระหว่างกำแพง มันลู่ไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่าน ถังเจิ้นยืนนิ่งบนกำแพง กำด้ามดาบที่แขวนอยู่ตรงเอวไว้ราวกับรูปปั้นหิน เฝ้ามองดูผู้คนช่วยกันซ่อมแซมกำแพงเมือง ท่ามกลางฝุ่นควันโขมง ซากอิฐที่พังทลายได้รับการต่อเติมใหม่จนแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง ใกล้กันมีทหารจากสมาพันธ์โอสถกำลังเตรียมอาหารกลางวันให้ประชาชนอยู่
ทันใดนั้นทหารนายหนึ่งก็ชี้นิ้ว “ท่านผู้บัญชาการดูนั่น มีคนกำลังมาจากเมืองชีไห่!”
ถังเจิ้นชะงักเล็กน้อย เมื่อเพ่งมองท่ามกลางกลุ่มควันก็พบว่าไม่ใช่เพียงคนเดียว ทว่าเป็นกองทัพชีไห่กว่าแสนคนกำลังยกทัพมาเมืองหลันเยี่ยน ในที่สุดหลังจากยี่สิบวันแห่งการล่มสลายก็มาเสียที
“ไปตามองค์หญิงซีมา!”
“ขอรับ!”
ไม่นาน ถังเสี่ยวซีก็เดินขึ้นมาบนกำแพงในชุดคลุมสีขาวสง่างาม ตามมาด้วยเหล่าผู้บัญชาการทหารแห่งชีไห่ ตรงไปหาถังเจิ้น “ปิดประตูเมืองและส่งทหารม้าออกไปถามว่าพวกเขามาจากที่ใด เราจะเชื่อใจใครไม่ได้”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
ถังเจิ้นส่งทหารออกจากเมืองไปตามคำสั่ง ใช้เวลาไม่นานก่อนจะกลับมารายงาน นายทหารประสานกำปั้นคำนับต่อถังเสี่ยวซี “องค์หญิงซี ท่านแม่ทัพถัง กองทัพจากเมืองชีไห่ที่มาเป็นของท่านถังลู่กับท่านถังเว่ย ตามมาด้วยท่านถังเทียนและท่านถังหลานขอรับ กองทัพหนึ่งแสนนายใกล้เข้ามาแล้ว ท่านถังลู่สั่งให้ข้ามารายงานแก่ท่านถังเสี่ยวซี ให้ท่านเปิดประตูเมืองและออกไปพบท่านถังหลานขอรับ”
“ถังลู่กับถังเว่ยรึ?”
ถังเสี่ยวซีทำหน้าครุ่นคิด “ท่านถังเจิ้น ออกคำสั่งให้จำกัดการเข้าออกประตูเมืองทุกแห่ง ส่งทหารม้าออกไปตั้งแนวป้องกัน ห้ามเชื้อพระวงศ์หรือทหารคนใดเข้าเมืองเด็ดขาด”
“กระหม่อมไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” ถังเจิ้นเผยสีหน้าสงสัย “เหตุใดองค์หญิงจึงต้องทำเช่นนี้? เราทุกคนล้วนเป็นทหารของเมืองชีไห่ ท่านถังหลานอุตส่าห์นำกองทัพมาเสริมกำลังให้เมืองหลันเยี่ยนด้วยตนเอง แล้วท่านจะปิดประตูเมืองอย่างนั้นหรือ?”
ถังเสี่ยวซีตอบอย่างไม่แยแส “ผู้ปกครองเมืองหลันเยี่ยนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น และนางมีนามว่าฉินอิน ต่อให้ฉินอินจะไม่กลับมา ข้าก็จะไม่มีวันมอบตำหนักเจ๋อเทียนให้ใคร ท่านถังเจิ้นอย่าลืมสิว่ากว่าเราจะชิงเมืองหลันเยี่ยนคืนมาจากพวกอี้เหอได้ เราต้องเสียกำลังทหารไปกว่าหมื่นนาย ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งนี้แล้ว”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประสานกำปั้นคำนับแก่ถังเสี่ยวซี “กระหม่อมพร้อมจะติดตามองค์หญิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
“เยี่ยมมาก เช่นนั้นรีบทำตามที่ข้าสั่ง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
…
ประตูเมืองหลันเยี่ยนถูกปิดอย่างแน่นหนา
ถังเสี่ยวซียืนมองกองทัพจากเมืองชีไห่ที่รวมตัวกันอย่างเนืองแน่น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทหารเมืองชีไห่กว่าสามหมื่นนายก็จัดขบวนทัพหน้าเมืองหลันเยี่ยนพร้อมกับสองแม่ทัพถังลู่และถังเว่ยควบม้าศึกสีขาวนำหน้าขบวนมา ทำให้ถังเสี่ยวซีรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก ถังหลานมีบุตรชายสามคน พี่ใหญ่คือพ่อของถังเสี่ยวซีที่ตายไปแล้ว คนที่สองคือถังจินซึ่งมีลูกสามคนคือถังปินที่ถูกฆ่าโดยหลินมู่อวี่ในป่าล่ามังกร คนรองคือถังลู่ และลูกสาวคนสุดท้องถังเว่ย
ถังลู่ในชุดเกราะสีเงินเมืองเห็นถังเสี่ยวซีก็ลงจากม้า “เสี่ยวซี เปิดประตูเมือง กองทัพของท่านปู่ใกล้มาถึงแล้ว เจ้ารอสิ่งใดอยู่?”
ถังเสี่ยวซีก้าวออกมาจากกำแพงเมือง “โปรดกลับไปบอกท่านปู่ว่าเมืองหลันเยี่ยนเพิ่งได้รับการสูญเสียจากสงคราม ยังไม่พร้อมจะต้อนรับกองทัพใหญ่ ให้ท่านปู่ตั้งค่ายรออยู่นอกเมืองไปก่อน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรเสี่ยวซี?” ถังลู่ขมวดคิ้วถาม
“น่ารำคาญจริง”
ถังเสี่ยวซียิ้มมุมปาก “ท่านพี่รอง เห็นหรือไม่ว่าสองข้างทางนอกกำแพงเมืองนั่นคือสิ่งใด?”
ถังลู่หัวเราะก่อนจะตอบอย่างใจเย็น “กองศพอย่างไรเล่า?”
ถังเสี่ยวซียิ้ม “ในเมื่อท่านพี่รองรู้ว่าพวกเขาคือศพ เช่นนั้นก็คงพอจะรู้ใช่หรือไม่เจ้าคะว่าเหตุใดพวกเขาจึงลงเอยเช่นนั้น? ใช่…เพราะกองทัพเมืองชีไห่มาช้าเกินไปอย่างไรเล่า หากกองทัพสองแสนของชีไห่มาทันเวลา…พวกเขาคงไม่ต้องตายเช่นนี้ ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ท่านฉินเหลยและมู่มู่เองก็คงมีชีวิตอยู่”
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใดอยู่?”
ถังลู่กล่าวด้วยแววตาเคร่งขรึม “เมืองชีไห่คือต้นกำเนิดของตระกูลถัง หากเราต่อต้านจักรวรรดิอี้เหอที่ทรงพลังนั่นก็คงไม่ต่างจากเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เปิดประตูเมืองเสียเสี่ยวซี มิเช่นนั้นข้าจะ…”
“จะอะไรหรือเจ้าคะ?” ถังเสี่ยวซีหาได้เกรงกลัวไม่
“มิเช่นนั้นข้าจะทำลายซากเมืองนี้เสีย!”
ถังลู่ชูหอกในมือก่อนจะตะโกนลั่น “เหล่าทหารในเมืองจงฟัง พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลถัง ลืมกฎเหล็กของตระกูลไปแล้วรึ? จงเปิดประตูเมืองให้ท่านหลานกงเข้าไปบัดเดี๋ยวนี้!”
ทว่าทหารในเมืองหาได้มีปฏิกิริยาใดไม่ ทุกคนต่างหลบตาถังลู่
ถังเสี่ยวซีอดหัวเราะไม่ได้ “ท่านพี่รองอย่าได้ตกใจไปเจ้าค่ะ แม้พวกเขาจะเป็นทหารของตระกูลถัง ทว่าพวกเขาก็เป็นทหารของจักรวรรดิเช่นเดียวกัน ไม่ใช้ทุกคนจะคิดกบฏและโหยหาอำนาจ ท่านจงกลับไปบอกท่านปู่เสีย ต่อให้เสี่ยวอินจะไม่กลับมาเมืองหลันเยี่ยนอีก ข้าก็จะไม่มีวันเปิดประตูเมืองให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น หากพวกท่านอยากจะเข้าเมืองนัก ก็จงทำสงครามกับข้าเสีย! พลธนูเตรียมยิง!”
“ฟึบ!”
พลธนูตั้งแถวเตรียมยิงเล็งไปยังถังลู่กับถังเว่ยและทหารที่อยู่ด้านล่าง
ถังลู่นั้นถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน เขากล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว “หากเจ้าต้องการเช่นนี้ก็ย่อมได้! ในฐานะสมาชิกตระกูลถัง เจ้ากล้าเล็งปลายศรใส่ข้ารึ…แม่ทัพถัง? อย่าคิดว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้!”
ถังเจิ้นประสานกำปั้นคำนับจากบนกำแพง “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋องที่สอง กระหม่อมยังคงยึดถือคำสอนจากนิกายถังเสมอ ทว่าในตอนนี้…กระหม่อมรับใช้ต่อองค์หญิงซีแต่เพียงผู้เดียว และถังเจิ้นผู้นี้จะขอภักดีต่อองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดินี้จนตัวตาย!”
“บัดซบ!”
ถังลู่ชูหอกขึ้น “เตรียมชักรอก! ข้าจะบุกโจมตีเมืองนี้!” ถังเว่ยมองอยู่ด้านข้างก่อนจะรีบรั้งแขนของถังลู่ไว้ “ท่านพี่หยุดเพียงเท่านี้เถิด รีบกลับไปแจ้งแก่ท่านปู่จะดีกว่า หากเรายืนกรานจะทำศึกกับเสี่ยวซี ข้าเกรงว่า…เรื่องคงไม่จบแค่นั้นแน่”
“หึ!”
ถังลู่กัดฟันกรอดก่อนจะขึ้นควบม้าแล้วจากไป
…
ถังลู่และถังเว่ยกลับไปยังค่ายกองทัพชีไห่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีก่อนเข้าพบถังหลาน “ท่านปู่ เมืองหลันเยี่ยนปฏิเสธที่จะเปิดประตูเมืองให้กองทัพชีไห่ของเราขอรับ”
“เกิดอันใดขึ้น?” ถังหลานกระชับผ้าคลุม หน้าซีดตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นของสายลมที่พัดผ่านยามค่ำ “ไม่ใช่ว่าเสี่ยวซีและถังเจิ้นยึดเมืองหลันเยี่ยนได้แล้วหรือ?”
“ยายเด็กนั่นกับถังเจิ้นหักหลังเรา!” ถังลู่ตอบเสียงแข็ง “ถังเสี่ยวซีสั่งให้คนหันคมธนูใส่และขับไล่เราของจากเมือง! มันยั่วโมโหข้า”
“หักหลังหรือ?” ถังหลานยิ้ม “เสี่ยวซีแอบติดต่อกับกองทัพของถังเจิ้นและเรียกกองทัพเผ่าอสูรมาเพื่อทวงคืนเมืองหลันเยี่ยนจากจักรวรรดิอี้เหอ หากนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการหักหลัง เช่นนั้นเราทั้งหมดก็คงไม่ต่างจากพวกปล้นชาติ”
“ท่านปู่…” ถังลู่สับสนกับความคิดของถังหลาน “ตอนนี้เสี่ยวซีผู้ทรยศวงศ์ตระกูลกำลังกีดกันเราจากเมืองหลันเยี่ยนนะขอรับ!”
ถังหลานถอนหายใจกล่าว “แล้วเสี่ยวซีพูดว่าอย่างไร?”
ถังเว่ยตอบ “ท่านพี่เสี่ยวซีกล่าวว่าหากองค์หญิงฉินอินไม่กลับเมือง นางจะไม่เปิดประตูเมืองหลันเยี่ยนให้ผู้ใด เพราะเมืองหลันเยี่ยนเป็นของฉินอินหาใช่ใครอื่นเจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้นางจึงฝากมาบอกท่านปู่ว่าให้ตั้งค่ายรอการกลับมาขององค์หญิงฉินอินอยู่นอกเมืองนี้ จากนั้นจึงจะอนุญาตให้เข้าเมืองได้เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ…”
ถังหลานขมวดคิ้วพลางโบกมือ “ถังลู่ ถังเว่ย พวกเจ้าจงจัดตั้งค่ายอยู่นอกเมืองตามที่นางบอก หากเสี่ยวซีไม่ต้อนรับข้าก็จะรออยู่ตรงนี้!”
“ขอรับ!”
เมื่อถังลู่และถังเว่ยควบม้าจากไปแล้ว ถังหลานก็ทำได้เพียงนั่งถอนหายใจอยู่เงียบๆ
ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งที่สวมผ้าคลุมปิดหน้ายิ้มและเอ่ยขึ้น “ช่างน่าขัน หลานสาวยึดเมืองได้ ทว่ากลับไม่ให้ปู่ของตนเข้าเมือง ช่างเป็นเรื่องแปลกเสียจริง ถึงกระนั้นดูเหมือน…ท่านหลานกงกลับไม่มีทีท่าโมโหเลยแม้แต่น้อย เพราะเหตุใดกัน?”
ถังหลานหันไปมองหน้าและยิ้มจางๆ “แม่ทัพเซี่ยงก็เห็นแล้วมิใช่หรือ? คนของตระกูลถังทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดายกเว้นเสี่ยวซี แม่นางจะเป็นเพียงหญิงสาวแต่กลับกล้ายืนกรานปะทะกับทหารจักรวรรดิอี้เหอกว่าครึ่งล้านที่อยู่รอบเมืองหลันเยี่ยน จะมีผู้ใดในแผ่นดินนี้อีกนอกจากเสี่ยวซีหลานสาวจอมดื้อรั้นของข้าที่เผชิญหน้ากับจื่อเย่า หลงเซียนหลิน ติงซี่และแม่ทัพอีกหลายคนแล้วยังรอดมาได้”
แม่ทัพปริศนายิ้ม “อันที่จริงในบรรดาคนตระกูลถัง คงมีแต่เพียงถังเสี่ยวซีเท่านั้นที่มีความกล้าเช่นนี้”
“อืม…”
ถังหลานถอนหายใจ “ต่อให้เสียวซีจะแข็งขืนข้าอีกกี่ครั้ง ข้าก็คงโกรธนางไม่ลง…เพราะนางเป็นความภาคภูมิใจเดียวของถังหลานผู้นี้ เป็นความหวังของตระกูลถัง”
“แล้วท่านหลานกงคิดจะทำสิ่งใดต่อหรือขอรับ? คิดจะรออยู่นอกเมืองต่อไปเช่นนี้หรือ?”
“ไม่”
ถังหลานกะพริบตากล่าว “จักรวรรดิอี้เหอใช้กำลังยึดดินแดนของจักรวรรดิฉินไปมากมาย กระทั่งจบสงคราม…เราทวงคืนมาได้เพียงหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้พวกมันถอยทัพไปพร้อมกับกองทัพเมืองสายัณห์ที่ทรยศเราแล้ว เราต้องรีบชิงดินแดนอื่นกลับคืนมาก่อนที่ฉินอินจะหวนคืนบัลลังก์ จะมัวรีรอไม่ได้”
“ท่านหลานกงผู้ปราดเปรื่อง ไม่ทราบว่าท่านอยากให้เซี่ยงอวี้ผู้นี้ช่วยจัดการหรือไม่?”
“ข้าจะมอบทหารและม้าให้เจ้า จงมุ่งไปทางมณฑลดาราที่อยู่ทิศใต้ของเมืองหลันเยี่ยน ตรงเข้ายึดเมืองเหลิ่งซิงให้มาอยู่ใต้อำนาจเราเสีย เจ้าอยากได้คนเท่าไร?”
“ทหารม้าสองพันนายก็พอขอรับ” เซี่ยงอวี้ยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ
“สองพันเองหรือ?”
ถังหลานหัวเราะลั่น “เจ้าช่างสมกับเป็นทายาทแห่งเทพทหารเซี่ยงเหวินเทียนเสียจริง ความมั่นใจนี้หาได้มีผู้ใดเทียบไม่ ชายแก่ผู้นี้จะให้ทหารม้าแก่เจ้าสามพันนาย เจ้าจะยึดเมืองเหลิ่งซิงแห่งมณฑลดารามาให้ได้ในสามวันหรือไม่?”
“ขอรับ! เชื่อมือข้าได้เลย!”