The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.338 แด่ทหารผู้ล่วงลับ
ภายใต้แสงดวงดาราที่สาดส่องลงมายังผืนดิน บนถนนอันขรุขระที่เชื่อมจากเมืองหลันเยี่ยนสู่มณฑลชางหนานมีกลุ่มคนพร้อมธงดอกจื่อยินสีทองโบกสะบัดไปมาเดินทางอยู่
ฉินอินที่สวมชุดเจ้าหญิงสีม่วงเข้มกำลังเดินทางกลับเมืองของตนด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน เฝ้าอาลัยหาผู้ที่ล่วงลับไป ใต้แสงจันทร์นางมองเห็นเมืองหลันเยี่ยนที่อยู่ไม่ไกล เพียงคิดถึงหลินมู่อวี่ที่ตายอยู่ ณ ประตูเมืองทางใต้ก็รู้สึกเจ็บใจราวถูกศรนับพันทิ่มแทงอก
“ท่านตา ข้าอยากเข้าเมืองจากประตูทิศใต้” ฉินอินกล่าวเบาๆ
ซูมู่หยุนมองหน้าหลานสาวที่ดูสิ้นหวังก่อนพยักหน้า “ตามที่เจ้าร้องขอเสี่ยวอิน”
ซูอวี่จึงหันไปสั่งการ “กระจายคำสั่งให้ทั้งสามกองทัพทราบโดยทั่วกัน แยกกองกำลังสองกองคอยอารักขาฝั่งตะวันออกและฝั่งเหนือ ส่วนที่เหลือให้ตามองค์หญิงเข้าเมืองไปทางประตูทิศใต้ ไม่อนุญาตให้ติดต่อกับกองทัพชีไห่ นอกจากคนของกระทรวงกลาโหม”
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ
เว่ยโฉว ฉู่เหยาและฉินเหยียนติดตามฉินอินไปอย่างใกล้ชิด เพราะพวกเขารู้ว่าเหตุใดฉินอินจึงอยากเข้าเมืองจากประตูทิศใต้
…
สายลมยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างหนาวเหน็บ ฉินอินกระชับผ้าคลุมก่อนมองไปยังประตูเมืองทิศใต้ที่ได้รับการซ่อมแซมใหม่ บริเวณกำแพงที่กำลังก่อสร้างยังคงหลงเหลือร่องรอยของการทำลาย ประตูเมืองถูกซ่อมด้วยการนำไม้มาปิดอย่างลวกๆ ทำให้การป้องกันมีช่องโหว่จำนวนมาก ทว่าด้วยธงจื่อยินที่โบกสะบัดอยู่บนนั้นช่วยยึดเหนี่ยวทุกคนไว้ราวกับโซ่เชื่อมให้กำแพงเมืองยังคงตั้งอยู่ได้
ใต้แสงคบเพลิงที่วูบไหว ถังเจิ้นเพ่งมองก่อนจะเอ่ยขึ้น “นั่นใช่กองทัพขององค์หญิงฉินอินหรือไม่?”
เว่ยโฉวก้าวออกไปมอง “ท่านแม่ทัพถังเจิ้นไม่รู้ แล้วข้าจะรู้ไหมเล่า?”
ถังเจิ้นไม่รู้จะอธิบายอย่างไร “ท่านเว่ยโฉว ข้าว่าต้องเป็นองค์หญิงฉินอินแน่นอน องค์หญิงซีอยู่ที่ใด ไปตามนางมาดูให้แน่ชัดได้หรือไม่?”
ท่ามกลางกองทัพที่กำลังควบม้า ซูอวี่ชูดาบยาวคอยคุ้มกันฉินอิน “จัดขบวนทัพรูปแบบป้องกัน อารักขาองค์หญิง”
“รับทราบ”
บรรดาทหารต่างเข้ามาห้อมล้อมฉินอินทั้งซ้ายขวา ทว่านางกลับยิ้มและเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็น กลับประจำตำแหน่งเถิด ต่อให้ทั้งแผ่นดินนี้จะทำร้ายข้า…ทว่าเสี่ยวซีไม่ใช่หนึ่งในนั้น”
ฉินอินควบม้านำหน้ากองทัพพร้อมกับปล่อยวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะพันรอบตัว เงยหน้าไปยังเมืองและเอ่ยขึ้น “เสี่ยวซี นี่ข้าเอง…”
แสงสีทองระเบิดขึ้นฟ้าเหนือกำแพงเมือง ถังเสี่ยวซีควบคุมอารมณ์ไม่ได้จนกลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง หางเพลิงทั้งเก้าร่ายรำไปมาอยู่เบื้องหลัง ถังเสี่ยวซีควบคุมพลังและกระโดดลงจากกำแพงเมืองทันที กระทั่งลงสู่พื้นนางเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตาที่พรั่งพรู “เสี่ยวอิน มู่มู่ตายแล้ว…”
ฉินอินเองก็โศกศัลย์ไม่แพ้กัน “เสี่ยวซี…”
หญิงสาวสองพี่น้องสวมกอดกันด้วยความอาลัย ทั้งคู่ต่างเข้าใจความรู้สึกสูญเสียคนรักของกันและกัน ทุกอย่างไม่สามารถหวนคืนได้ เช่นเดียวกับฟืนที่ถูกเผาไหม้จนเหลือแต่เถ้าธุลี ฉินอินมองซากกำแพงเมืองอันหม่นหมอง รู้ดีว่าถึงบ้านของตนแล้ว…บ้านที่ไม่เหมือนเดิม
เสียงม้าวิ่งตามมาด้านหลัง ฉู่เหยาลงจากม้าและโผเข้าโอบไหล่บางของถังเสี่ยวซีและฉินอินไว้ “เสี่ยวอิน เสี่ยวซี อย่าร้องไห้ไปเลย อาอวี่ที่อยู่บนสวรรค์คงอยากเห็นรอยยิ้มของพวกเจ้ามากกว่ามานั่งเสียใจเช่นนี้ พวกเจ้าก็รู้ว่าอาอวี่ของเรานั้นชื่นชอบรอยยิ้มเพียงใด”
“อืม…”
ฉินอินพยักหน้าก่อนจะปาดน้ำตา “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ…”
หลังกล่าวจบฉินอินก็มองถังเสี่ยวซี “เสี่ยวซีเจ้าคงลำบากมาก…หากไม่เป็นเพราะเจ้า คงไม่เหลือจักรวรรดินี้อีกแล้ว”
ถังเสี่ยวซีกล่าวพึมพำ “ข้าคิดว่าข้าจะช่วยมู่มู่ได้ แต่เปล่าเลย…ข้ามันไร้ประโยชน์”
“เจ้าไม่ได้ไร้ประโยชน์”
ฉินอินกล่าว “เจ้าพยายามอย่างดีแล้ว ข้าต่างหากที่ไร้ประโยชน์ ข้าต้องให้คนอื่นมาคอยปกป้อง ในขณะที่ข้าช่วยเหลือใครไม่ได้เลย ข้า…ไม่ต่างอะไรกับตัวถ่วงไร้ค่า”
“พูดอะไรเช่นนั้นเล่า เจ้าคือความหวังเดียวของจักรวรรดินี้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะนำแผ่นดินที่แตกสลายนี้ให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียว”
กระทั่งซูมู่หยุนและซูอวี่ตามมาถึง ซูมู่หยุนลงจากม้าและทำความเคารพ “ขุนนางเฒ่าผู้นี้ยินดีที่ได้พบท่านพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงซี”
ถังเสี่ยวซีรีบตอบอย่างลนลาน “ท่านหยุนกงทำตัวตามสบายเถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นเกียรติมากกว่าที่ได้พบกับท่านหยุนกง”
“ฮ่าๆๆ”
ซูมู่หยุนหัวเราะ “ข้าทราบมาว่าองค์หญิงซีคอยปกป้องเมืองหลันเยี่ยนไว้ แม้แต่กองทัพของเมืองชีไห่ก็ไม่อนุญาตให้เข้าเมือง…รอคอยเพียงเสี่ยวอินเท่านั้น ความสัมพันธ์และความจงรักภักดีนี้ทำให้ทหารแก่อย่างกระหม่อมซาบซึ้งยิ่ง ทว่าหากเป็นเช่นนี้กองทัพเมืองหยาดสายัณห์ของเราก็คงเข้าเมืองไม่ได้”
ถังเสี่ยวซียิ้ม “เมืองหลันเยี่ยนนั้นเพิ่งผ่านพ้นสงครามมา หากท่านหยุนกงประสงค์จะตั้งค่ายอยู่นอกเมืองข้าก็ไม่ติดขัดเจ้าค่ะ ทว่าการซ่อมแซมเมืองนั้นก็ต้องการกำลังคนมากเช่นกัน ข้าจะยินดียิ่งกว่าหากท่านหยุนกงนำทัพทั้งสองแสนเข้าช่วย”
“กระหม่อมเต็มใจขอรับ”
ซูมู่หยุนประสานกำปั้นคำนับ “จากนี้ไปกองทัพหยาดสายัณห์จะรับใช้องค์หญิงอินและองค์หญิงซีพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะเข้าเมือง…ข้าได้ยินมาว่าท่านหลานกงยังอยู่ด้านนอก รีบส่งคนเชิญท่านไปตำหนักเจ๋อเทียนเถิด”
“ขอรับ”
…
เมื่อผ่านประตูเมืองทิศใต้ ฉินอินหันมองโดยรอบก่อนจะสะดุดเข้ากับหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่บนกำแพง “ท่านพี่อาอวี่…เขายังอยู่ที่นั่นหรือไม่?”
ถังเสี่ยวซีพยักหน้าตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าทราบมาว่า…หลังมู่มู่ถูกลั่วหลานฆ่า มังกรผลึกโลหิตก็กลายร่างเป็นผลึกห่อหุ้มร่างของเขาไว้ จากนั้นพวกคนบาปจากอี้เหอก็ขนผลึกทั้งก้อนนั้นไป ไม่มีใครรู้ว่ามู่มู่ถูกพาไปที่ใด ข้าพยายามส่งคนไปตามหาแล้วทว่าไม่พบ”
ฉินอินกล่าวด้วยแววตาตาแห่งความเคียดแค้น “หนี้แค้นในครั้งนี้ต้องถูกชำระด้วยเลือดเพื่อความยุติธรรมและจักรวรรดิ ส่วนร่างของท่านพี่ข้าขอให้เพิ่มกำลังคนออกตามหา”
ซูอวี่ประสานกำปั้น “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้คนช่วยออกตามหาอีกแรง”
“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะท่านอา”
“หามิได้ นี่เป็นสิ่งที่ซูอวี่ผู้นี้ควรทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิที่เพิ่งผ่านพ้นหายนะ ยังมีบางส่วนที่คงรูปร่างเดิมเอาไว้ได้ เมื่อผ่านวิหารศักดิ์สิทธิ์และสมาพันธ์โอสถ สองสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ของเมืองถูกไฟคลอกจนเหลือเพียงโครงกำแพง บนพื้นมีหลุมที่เพิ่งถูกซ่อมแซมจนกลับมามีระดับเท่าเดิม ผู้คนเริ่มสัญจรไปมา
ฉินอินทำได้เพียงมองไปรอบๆ เท่านั้น
ถังเสี่ยวซีกล่าว “ท่านผู้นำศักดิ์สิทธิ์เหล่ยหงถูกเทพลั่วหลานสังหารที่นี่”
ท่านปู่เหล่ยหง…” ฉินอินน้ำตาปริ่ม “แล้วท่านพี่ฉินเหลยตายอย่างไร?”
ถึงเสี่ยวซีตอบด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ท่านผู้บัญชาการฉินเหลยถูกจื่อเย่าล้อมยิงด้วยธนูกว่าร้อยดอกจนตาย…ก่อนจะถูกลู่จ่าวตัดหัว กล่าวกันว่าลู่จ่าวนำหัวของท่านฉินเหล่ยใส่โหลและส่งกลับไปที่หลิงหนาน”
“พวกสัตว์นรก…”
ฉินอินกำหมัดแน่นพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งริน “จักรวรรดิอี้เหอจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
“อืม”
ฉินอินกล่าวต่อ “วิหารศักดิ์สิทธิ์ สมาพันธ์โอสถ และสมาพันธ์นกกระจอกเพลิงเป็นสถานที่สำคัญของเมืองหลวง จะต้องเร่งฟื้นฟูให้ไวที่สุด และด้วยสมาพันธ์โอสถที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นจงให้นักปรุงยาฝีมือดีจากเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์เข้ามาช่วยที่เมืองหลวงก่อน”
ซูมู่หยุนประสานกำปั้น “กระหม่อมจะจัดการให้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้า “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านตา อีกอย่าง…ท่านพี่ฉู่เหยา ข้าอยากให้ท่านพี่ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสมาพันธ์โอสถ ท่านขัดข้องหรือไม่?”
ฉู่เหยาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง “ฉู่เหยาน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านพี่ฉู่เหยา”
“ขอบพระคุณหรือ…” ฉู่เหยาตะลึงงัน
ฉินอินคลี่ยิ้ม “เพื่อปกป้องเมืองหลวง ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนต้องยอมพลีชีพกลางสนามรบ ส่วนท่านพี่ฉู่เหยาที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์โอสถก็ช่วยดูแลข้าอย่างเต็มที่ตอนอยู่บนภูเขาหลงหยาน จักรวรรดินี้ติดหนี้บุญคุณตระกูลฉู่อย่างใหญ่หลวงนัก”
ฉู่เหยาเผยท่าทีเศร้าโศก “หากกล่าวเช่นนั้น คนที่จักรวรรดิควรจะติดหนี้บุญคุณคงเป็นอาอวี่และท่านผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงมากกว่า”
“ท่านเฟิงจี้สิง…” ฉินอินชะงัก “ตอนนี้ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงอยู่ที่ใด?”
ซูอวี่ประสานกำปั้น “องค์หญิง ก่อนหน้านี้เฟิงจี้สิงนำกองกำลังสามหมื่นนายไปยังภูเขาเทียนชู่ และถูกทหารอาสาสามแสนนายเข้าโอบล้อม หลงเซียนหลินได้ล่อลวงเฟิงจี้สิงและฆ่ากองทัพทั้งสามหมื่นจนสิ้นที่หมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ เฟิงจี้สิงในตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว…เขาไร้จิตใจจะต่อสู้ ไล่ฝังศพทหารของตัวเองอยู่เช้าค่ำไม่ต่างจากคนเสียสติ กระหม่อมเคยส่งคนไปพาเขากลับมา ทว่าก็ถูกไล่ตะเพิดกลับมาหมด”
ซูมู่หยุนกล่าวต่อ “เสี่ยวอิน เฟิงจี้สิงเป็นหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ ความสามารถในการนำทัพนั้นไม่น้อยไปกว่าหลงเซียนหลิน…เพียงแต่เขาอ่อนโยนเกินไป ขณะนี้จักรวรรดิต้องการกำลังคน ตาคิดว่า…เสี่ยวอินควรหาโอกาสอันเหมาะสมเพื่อไปพบเฟิงจี้สิงที่หมู่บ้านแบดเจอร์ไฟด้วยตนเองและพาเขากลับเมืองหลันเยี่ยน ก่อตั้งกองทัพองครักษ์ขึ้นมาใหม่ ให้เขาได้คัดเลือกทหารจากประชาชนนับล้านของเรา จนกลับไปเป็นกองทัพที่น่าเกรงขามอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะท่านตา”
ฉินอินถามต่อ “แล้วมีข่าวเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าชวีบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่เลย” ซูมู่หยุนส่ายหัว “แต่ก็พอได้ยินข่าวลือมาบ้างว่ามีคนเห็นท่านชวีฉูปะทะอยู่กับลั่วหลานนอกเมืองทางเหนือ คืนนั้นมีเพลิงลุกโชติช่วงไปทั้วเมืองกระทั่งท่านชวีฉูสิ้นชีพในที่สุด ถึงอย่างไรขอบเขตปราชญ์ก็มิอาจเทียบได้กับขอบเขตเทวะจริงๆ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ…” ฉินอินกล่าวด้วยตาแดงก่ำ “เพราะพวกกบฏอี้เหอทำให้เราต้องสูญเสียคนที่รักไปมากมาย หนี้เลือดนี้จะทำจดจำตลอดไป”
“ใช่” ซูอวี่พยักหน้า
ฉินอินกล่าว “ท่านตา เสี่ยวอินมีสิ่งหนึ่งอยากจะขอร้อง”
“ว่ามาเถิดเสี่ยวอิน”
“ในสถานที่ที่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์กูลฉินหลับใหลอยู่ ข้าอยากสร้างหลุมฝังศพให้แก่เหล่าทหารที่ล่วงลับและสลักชื่อของพวกเขาทุกคนเท่าที่จำได้ไว้เป็นอนุสรณ์…ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ซูมู่หยุนชะงัก “ทว่า…ผู้ที่ไม่มีเชื้อสายขุนนาง ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สุสานของราชวงศ์ฉิน…”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าอนุญาตแล้ว”
“เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ติดขัด ขอองค์หญิงทรงวางพระทัย กระหม่อมและเหล่าขุนนางจะทำการเรียบเรียงรายชื่อผู้ล่วงลับไว้เป็นอนุสรณ์ให้เองพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะท่านตา”