The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.339 สร้างค่ายใหม่
ตำหนักเจ๋อเทียนยังคงประดับไฟสว่างไสวดังเดิม ทว่าผู้คนและสมบัติหลายชิ้นหายไป
…
ถังหลานนำทหารคนสำคัญของเมืองชีไห่เข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิ แม้จะเป็นเวลากลางดึกก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกง่วง เนื่องจากค่ำคืนนี้เป็นวันสำคัญ สมาชิกราชวงศ์และเหล่าเสนาบดีจะมาพบกันเป็นครั้งแรกหลังสงคราม ซึ่งหมายถึงแนวโน้มการกระจายอำนาจครั้งใหม่
ถังเสี่ยวซีพยุงฉินอินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ จากนั้นข้าราชบริพารคุกเข่าลงตรงหน้าและกล่าวว่า “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…”
“ฝ่าบาท?”
ฉินอินส่ายหัวเล็กน้อย “โปรดเรียกข้าว่าองค์หญิง ภายในดวงพระทัย…เสด็จพ่อยังคงเป็นราชาผู้ส่องแสงที่แท้จริง อีกทั้ง…จักรวรรดิกำลังล่มสลาย และสูญเสียดินแดนมากกว่าครึ่ง ข้ามิใช่ผู้ปกครองอีกต่อไป”
ซูมู่หยุนพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง…”
ดวงตาฉินอินเปล่งประกายขณะที่มองผู้คน “มาหารือกันเถิด มีกองกำลังแห่งจักรวรรดิจำนวนเท่าใดขณะนี้ และห้ามมีการปกปิด”
ซูมู่หยุนประสานหมัด “องค์หญิงอิน เมืองหยาดสายัณห์มีกองกำลังทั้งหมดสองแสนหนึ่งหมื่นนายซึ่งประจำการอยู่รอบเมืองหลันเยี่ยน และในกองทัพมีทหารม้าห้าหมื่นนายพร้อมออกรบทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”
ถังหลานประสานหมัด “องค์หญิงอิน กระหม่อมนำทหารม้าหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นนายมาจากมณฑลชีไห่ เมื่อรวมกับทหารม้าของเสี่ยวซี จะเป็นจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ซึ่งประจำการอยู่รอบเมืองหลันเยี่ยน ขณะเดียวกันกระหม่อมได้ออกคำสั่งไปยังมณฑลชีไห่เพื่อคัดเลือกทหารอีกหนึ่งแสนนายภายในเวลาหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณท่านหลานกงที่ทำงานหนัก” ฉินอินยิ้มเล็กน้อย
ท่ามกลางฝูงชน นายพลหลิงหนานเทียนประสานหมัดกล่าว “องค์หญิงอิน กระหม่อมผู้เป็นทหารผ่านศึกได้รวบรวมกองกำลังรอบเมืองหลันเยี่ยนและได้ผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นกว่าเจ็ดพันนาย พร้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณนายพลหลิง” ฉินอินพยักหน้าอีกครั้ง
ทันใดนั้นฉินเหยียนบุตรของอ๋องจี้หนิงผู้ยืนอยู่ด้านหลังถังหลานพลันขมวดคิ้วและตะโกนด้วยความโกรธ “ทุกคนต่างก็เป็นองค์ชายของจักรวรรดิที่มีกองกำลังหลายแสนในมือ เช่นนั้นขณะที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และฉินเหลยต่อต้านกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอจนตัวตาย พวกเจ้าซุกหัวอยู่แห่งหนใด? ทหารนับแสนในมืออันตรธานหายไปเหรอ? หรือว่าพวกเจ้า…เพียงรอจนกระทั่งจักรวรรดิล่มสลาย ก่อนจะโผล่หัวออกมาแบ่งกันกินซุปในหม้อ?”
ด้วยคำพูดนี้ ทำให้ถังหลาน ซูมู่หยุน หลิงหนานเทียน และคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง
ขณะเดียวกันฉินอินยืนขึ้นและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฉินเหยียน พูดอะไรไม่ได้ความ…หิมะตกหนักปิดกั้นเส้นทางสายเก่าในมณฑลอวิ้นจง จึงทำให้เมืองหยาดสายัณห์ไม่สามารถส่งกองกำลังเสริมมาให้เมืองหลันเยี่ยนทันเวลา สำหรับมณฑลชีไห่ มิใช่ว่าเสี่ยวซีนำกองทหารห้าหมื่นนายมาช่วยแล้วรึ? ข้าเชื่อว่าเสนาบดีของจักรวรรดิทุกคนต่างก็จงรักภักดี”
ฉินเหยียนกัดฟันแน่น “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง…”
ฉินอินเงยหน้ามองถังหลานและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลานกง เสียวอินมีบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าควรกล่าวหรือไม่”
ถังหลานตะลึงไปชั่วขณะก่อนกล่าวว่า “องค์หญิงอิน โปรดตรัสมาเถิด กระหม่อมฟังอยู่พ่ะย่ะค่ะ…”
“เสี่ยวซีบัญชาการกองทัพได้อย่างยอดเยี่ยมและใช้เวลาส่วนใหญ่กับทหารค่ายเจียนเฟิงทั้งสี่หมื่นนายภายใต้การนำของถังเจิ้น ไม่ดีกว่าหรือ…หากยกกองทัพทหารค่ายเจียนเฟิงสี่หมื่นนายนี้แก่ถังเสี่ยวซี? เมืองหลันเยี่ยนล่มสลายและจำเป็นต้องฟื้นฟู ข้าต้องการให้เสี่ยวซีครอบครองกองทัพเจียนเฟิงสี่หมื่นนายและเป็นกำลังแก่จักรวรรดิ ก่อนที่จะแต่งตั้งกองทัพแห่งจักรวรรดิใหม่อีกครั้ง ตกลงหรือไม่?” ฉินอินมองถังหลาน
ถังหลานยังคงดูสงบนิ่งขณะที่ประสานหมัด “องค์หญิงอินเป็นรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ พระราชดำรัสของพระองค์จึงเป็นคำประกาศิต กองทัพค่ายเจียนเฟิงจากเมืองชีไห่จะเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแห่งจักรวรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี…”
ฉินอินยิ้มเล็กน้อย “เลื่อนยศถังเจิ้นเป็นแม่ทัพทิศตะวันตก และทหารม้าทั้งสี่หมื่นนายจะได้ชื่อว่าเป็น ‘ทหารแห่งจักรวรรดิ’ ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาของท่านถังเจิ้น อีกทั้งต้องปฏิบัติตามคำสั่งถังเสี่ยวซีทุกอย่าง และมิต้องฟังผู้ใดนอกเหนือจากข้าและเสี่ยวซี เข้าใจหรือไม่?”
ถังเจิ้นประสานหมัดอย่างตื่นเต้น “น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ…”
ถังเสี่ยวซีแอบหัวเราะ “เสี่ยวอินนี่ปราดเปรื่องจริงๆ…”
เห็นได้ชัดว่าฉินอินพยายามแยกอำนาจทางทหารออกมาซึ่งคงทำให้ถังหลานไม่เต็มใจนัก จากนั้นทหารทั้งสี่หมื่นนายเปลี่ยนธงและเปลี่ยนชื่อเป็นทหารแห่งจักรวรรดิ ถังเจิ้นเข้ามาแต่งตั้งนายพลภายในกองทัพ ขณะนี้อำนาจทางทหารของกองทัพก็ตกอยู่ในมือฉินอินอย่างแท้จริง
ความจริงฉินอินยังรู้อีกว่า แม้นางเป็นผู้นำจักรวรรดิ ทว่าความแข็งแกร่งทางการทหารมิได้อยู่ในมือของฉินอิน ความคิดของซูมู่หยุนผู้เป็นตานั้นไม่ชัดเจน ขณะที่ถังหลานมักทำตัวลึกลับ ไม่มีใครรู้เลยว่าชะตากรรมของจักรวรรดิจะไปในทิศทางใด? เมื่อครั้งที่จักรวรรดิอี้เหอโจมตีเมืองหลันเยี่ยน มันคือการต่อสู้ด้วยศาสตราวุธ แต่ตอนนี้เป็นการต่อสู้ของอำนาจในเงามืด
…
แผนที่ที่มีรอยไหม้ตามขอบถูกกางออกบริเวณโถงหลัก เนื่องจากตำหนักเจ๋อเทียนถูกไฟเผา และไม่มีแผนที่สำรองม้วนอื่น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้
ฉินอินก้าวลงจากบัลลังก์และเดินบนพรมสีแดงเลือดด้วยรองเท้าสีทองไปยังด้านข้างของแผนที่ “เมืองหลันเยี่ยนติดกับมณฑลชางหนาน มณฑลเทียนชู่ และมณฑลดารา ในเมื่อยึดเมืองหลันเยี่ยนกลับมาได้แล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปคือการฟื้นฟูทั้งสามมณฑลนี้ หากมีข้อแนะนำหรือข้อมูลเชิงลึก โปรดกล่าวมา”
หลิงหนานเทียนประสานหมัดกล่าว “องค์หญิงอิน อวี่จื้อเทียนแห่งมณฑลเทียนชู่เป็นนกสองหัว ก่อนหน้าเขายอมจำนนต่อจักรวรรดิอี้เหอ ทว่าตอนนี้กลับส่งม้วนหนังสือมาว่าอวี่จื้อเทียนยินดีจะกลับมาเข้าร่วมกองทัพจักรวรรดิฉิน และพร้อมส่งกองทหารสี่หมื่นนายของมณฑลเทียนชู่เป็นกองกำลังแนวหน้าฝ่าวงล้อมศัตรู”
“ช่างน่ารังเกียจ…”
เว่ยโฉวประสานหมัด “นี่คือกองทัพที่ปลอมแปลงสาส์นขนนกเพื่อหลอกผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงให้นำกองทัพองครักษ์สามหมื่นนายออกจากเมือง มิเช่นนั้น…เมืองหลันเยี่ยนคงมิต้องทนทุกข์กับการเข่นฆ่าครั้งใหญ่หลวงนี้”
ฉินเหยียนกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “องค์หญิงต้องปฏิเสธการยอมจำนนของอวี่จื้อเทียนและให้เขาชดใช้ด้วยเลือด…”
“หามิได้”
ฉินอินโบกมือและกล่าวว่า “จักรวรรดิอี้เหอยังมีทหารม้าเกือบสามแสนนาย ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ เราต้องการความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เช่นนั้นส่งคนไปมณฑลเทียนชู่เพื่อยึดครอง ที่แห่งนั้นมีเพียงสองเมืองที่ต้องจัดการ คือเมืองห้าหุบเขาและเมืองเหลิ่งซิง”
ถังหลานกล่าว “องค์หญิงมิจำเป็นต้องลงมือจัดการเมืองเหลิ่งซิงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ส่งแม่ทัพเซี่ยงให้นำทหารม้าสามพันนายเข้าโจมตี ด้วยพลังของแม่ทัพเซี่ยงคงสามารถเอาชนะได้ภายในสามวัน”
“โอ้?”
ฉินอินตกใจ “ไม่ทราบว่าผู้ใดคือแม่ทัพที่ท่านหลานกงกล่าวถึง?”
“แม่ทัพเซี่ยงอวี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เซี่ยงอวี้?” ฉินอินตะลึง “มิใช่ว่าเซี่ยงอวี้…ถูกท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนประหารอย่างลับๆ แล้วหรือ?”
ถังลู่ด้านข้างพลันประสานหมัด “องค์หญิงอินทรงทราบดีว่าท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นผู้มีจิตใจเมตตา ดังนั้นเขาจึงไม่สังหารเซี่ยงอวี้ ทว่าสั่งให้ออกไปยังที่ห่างไกล จากนั้นท่านปู่ผู้ล่วงรู้ถึงความสามารถของเซี่ยงอวี้ จึงส่งกำลังพลและม้าให้แก่เขา และสั่งให้รับใช้จักรวรรดิอีกครั้งเพื่อลบล้างความผิดพลาดในอดีต”
“เป็นเช่นนี้…”
ฉินอินพยักหน้า “ตราบใดที่เซี่ยงอวี้สามารถพิชิตกลุ่มกบฏในเมืองเหลิ่งซิงได้ ข้าจักอภัยต่อบาปที่เขาเคยทำไว้”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง…” ถังหลานประสานหมัดคำนับ
“สำหรับเมืองห้าหุบเขา…” ฉินอินกล่าว “ตามการรายงานทางทหาร ราชาเจิ้นหนานได้นำกองทัพสองแสนนายไปป้องกันเมืองด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าจะมีใครต้องการบุกโจมตีเมืองห้าหุบเขาหรือไม่?”
ถังหลานนิ่งเงียบ
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะท้าทายทหารม้าสองแสนนายในเมืองห้าหุบเขา
ขณะเดียวกันแม่ทัพหลิงหนานเทียนประสานหมัดกล่าว “องค์หญิงอิน ในเมื่อเหล่านายพลมิต้องการไป ทหารผ่านศึกผู้นี้เต็มใจไปพ่ะย่ะค่ะ หวังเพียงแค่องค์หญิงจะทรงประทานกองทัพในการโจมตีเมืองห้าหุบเขามากกว่านี้ มิเช่นนั้นกระหม่อมจะมีกำลังทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น”
ฉินอินยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้…ท่านหลานกงและท่านตาจะเป็นผู้จัดสรรทหารม้าคนละห้าหมื่นนายให้แก่นายพลหลิง เป็นอย่างไร?”
ซูมู่หยุนประสานหมัด “พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
แม้ว่าถังหลานจะไม่เต็มใจ ทว่าก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาประสานหมัดกล่าว “กระหม่อมจะจัดทหารม้าห้าหมื่นนายและส่งมอบให้นายพลหลิงหนานเทียนในวันรุ่งขึ้น องค์หญิงโปรดวางพระทัย…”
“เช่นนั้นเสบียงและหญ้าจะจัดหาโดยเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์เช่นกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ…”
…
ทุกคนต่างมีข้อกังวลของตนเอง จึงไม่พูดสิ่งใดมาก
ฉินอินรับถ้วยน้ำชาจากสาวใช้มาจิบ และนั่งบนบัลลังก์รอทุกคนรายงาน
ซูอวี่กระซิบกับซูมู่หยุน “ท่านพ่อ…เหตุใดเราจึงไม่โจมตีส่วนใหญ่ของเมืองห้าหุบเขาด้วยตนเอง ทว่ากลับต้องส่งกองกำลังทหารให้หลิงหนานเทียนนั้น…เขาเป็นทหารผ่านศึกที่มิได้รบมานาน เช่นนั้นอาจเป็นการสูญเสียทหารม้าทั้งหมด? พวกเขาต่างก็เป็นทหารฝีมือดีของเรา…”
ซูมู่หยุนส่ายหัวกระซิบกลับ “เจ้าคิดว่าพ่อไม่ต้องการเช่นนั้นหรือ? ทว่าเหล่านายพลผู้มีชื่อเสียงของฉินอี้เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ็ดแม่ทัพเทพและประจำการอยู่ที่นั่น จื่อเย่า ลู่จ่าว ติงซี่ หลงเซียนหลิน คนพวกนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือ แต่พวกเรา…หลังจากที่พี่ชายเจ้าตาย เมืองหยาดสายัณห์ก็ไม่มีแม่ทัพที่โดดเด่นอีก อาอวี่…หากพ่อขอให้เจ้าเป็นผู้นำทัพไปโจมตีเมืองห้าหุบเขา จะมีโอกาสได้รับชัยชนะหรือไม่?”
“ขะ…ข้า…” ซูมู่หยุนผงะและพูดไม่ออก “ข้าไม่มีความกล้าหาญเฉกเช่นพี่ชาย ข้าเกรงว่าจะไม่มีความมั่นใจเพียงพอ…”
“อืม…”
ซูมู่หยุนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “วันรุ่งขึ้นไปหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟกับพ่อเถิด…”
“ท่านพ่อจะไปหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟด้วยเหตุอันใดหรือ?”
“ตามหาเฟิงจี้สิง…หากได้เขามาช่วย กองทัพเมืองหยาดสายัณห์คงแข็งแกร่งขึ้นมาก”
“เจ้าค่ะ…”
…
หลังจากนั้นไม่นานเว่ยโฉวที่อยู่ในฝูงชนประสานหมัด “องค์หญิง กระหม่อมมีบางสิ่งอยากจะทูล”
ฉินอินมองไปยังเว่ยโฉวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านเว่ยโฉว โปรดกล่าวมา…”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยโฉวมองไปยังฉินอินด้วยสายตาแน่วแน่ “แม้ว่าท่านหลินมู่อวี่จะเสียชีวิตเพื่อแผ่นดิน ทว่ากลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดยังคงอยู่ ข้าหวังเพียงพระองค์จะทรงอนุญาตให้เราสร้างกองทหารมังกรผงาดขึ้นใหม่ในเมืองหลวง ตราบเท่าที่มันยังอยู่ที่นี่ จิตวิญญาณของท่านหลินมู่อวี่จะต้องกลับมา”
ดวงตาฉินอินสั่นไหวเล็กน้อยพร้อมเปลี่ยนป็นสีแดงระเรื่อ “กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเป็นกองทัพส่วนตัวของพี่อาอวี่…ดี! ข้าจะแต่งตั้งท่านเว่ยโฉวเป็นแม่ทัพระดับสี่และรับหน้าที่บัญชาการค่ายมังกรผงาด ส่วนหลัวอวี่ เฟิงสี่ และฉินเหยียนเป็นแม่ทัพฝ่ายซึ่งทำหน้าที่เป็นรองผู้บัญชาการ กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเป็นรูปแบบปกติของกองทัพแห่งจักรวรรดิ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งหมดจะได้รับการจัดสรรจากกระทรวงการคลัง และสามารถคัดเลือกทหารใหม่ในเมืองหลันเยี่ยนได้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ…”
…
บนภูเขาสูง ผลึกน้ำแข็งที่ถูกฝังอยู่ในดินนั้นเปล่งประกายพร้อมเสียงบ่นพึมพำ…
“พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงพอที่จะปลุกเจ้าหรืออย่างไร?”
“ไอ้หัวขโมยไก่อ่อนหลิน เจ้าจะนอนอีกนานเพียงใด? จะรอจนกว่าฉินอินและถังเสี่ยวซีแต่งงานมีลูกก่อนรึ?”
“ฮ่า…ฌานสัมผัสแปรปรวนขึ้นเล็กน้อย? ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าไก่อ่อนหลินจะยังห่วงใยเด็กสาวพวกนั้น…เร็วเข้า จะให้จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ต้องปลุกเจ้าอีกนานเพียงใด…”
………………..………………..