The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.363 หลอมดาบสะบั้นวาโยใหม่
EP.363 หลอมดาบสะบั้นวาโยใหม่
กลางดึก ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
เฟิงจี้สิงและหลินมู่อวี่นั่งตรงข้ามกัน ขณะที่ฉินเหยียนและจางเหว่ยก็อยู่ที่นั่นพร้อมดื่มสุรา หลินมู่อวี่กลายเป็นทหารส่งเสบียงในขบวนทัพ เป็นเรื่องน่าเศร้า ทว่าจะทำอย่างไรได้? แม้คนทั้งโลกจะรู้ว่าหลินมู่อวี่เสียใจ แต่ตราบใดที่กงผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองพยักหน้า เขาจะกลายเป็นทหารส่งเสบียงโดยไม่มีข้อแม้…
“แด่ทหารส่งเสบียง ดื่ม…” เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างเบื่อหน่าย และยกจอกสุราในมือ
หลินมู่อวี่ยกสุราดื่มจนหมดจอกและกล่าวว่า “พี่เฟิง อย่าล้อข้าเช่นนี้”
จางเหว่ยด้านข้างหัวเราะพลางตบโต๊ะ “ตามความคิดเฒ่าจาง แม้จะเป็นเพียงทหารส่งเสบียง ทว่าท่านหลินมู่อวี่ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขบวนทัพ ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก…หลังจากได้เห็นฝีมือในสนามรบและคุณงามความดีงามของท่านหลินมู่อวี่ ข้าสงสัยว่าเหตุใดกงทั้งสองจึงขัดขวางท่านเช่นนี้”
เฟิงจี้สิงครุ่นคิด “ข้าได้ยินมาว่าการจัดตั้งกองทัพนี้มีความรับผิดชอบสูง กองกำลังห้าหมื่นนายอยู่ใต้บังคับบัญชาของหมินยวี่หลิน สามหมื่นนายมาจากเมืองหยาดสายัณห์ และอีกสองหมื่นนายมาจากเมืองชีไห่ เมื่อรวมกับกองทัพสามพันนายของอาอวี่จะเป็น ‘กองทหารหยางเว่ย’ หนึ่งแสนนาย ซึ่งเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยเกียรติ และกำลังพลน่าเกรงขามมาก”
“พี่เฟิงรู้จักหมินยวี่หลินหรือไม่?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
เฟิงจี้สิงส่ายหัว “ข้ารับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิไม่ถึงสิบปี เมื่อคราที่ข้ามาถึงเมืองหลวง เขาไปประจำการที่ชายแดนเมืองโหวจี่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทว่าหลังจากฟังข่าวลือภายในกองทัพ ได้ยินมาว่าชื่อเสียงของหมินยวี่หลินนั้นดีมาก กระนั้นอาอวี่…เจ้าต้องระวังตัวและอย่าเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง”
“เพราะเหตุใด?” หลินมู่อวี่ตกตะลึง
“เพราะหมินยวี่หลินปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งเซินเว่ยโหว ทว่าเขาเกิดมาในครอบครัวสามัญชนเท่านั้น กล่าวกันว่าทั้งชีวิตของหมินยวี่หลิน เขาเกลียดผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลขุนนางหรือผู้สูงศักดิ์มากที่สุด อย่างไรก็ตามเจ้าเป็นราชบุตรบุญธรรมขององค์จักรพรรดิพระองค์แรก และเป็นพระเชษฐาของเสี่ยวอิน ดังนั้นหมินยวี่หลินคงไม่ต่อต้านเจ้า”
“เป็นเช่นนี้เอง…” หลินมู่อวี่รินสุราและดื่มจนหมดจอก “มิสำคัญนัก อย่างไรข้าก็เป็นเพียงทหารส่งเสบียง กล่าวได้ยากว่าข้าจะสามารถปราบปรามจักรวรรดิอี้เหอในมณฑลหลิงตงตามลำพังได้หรือไม่ ทว่ามีทหารของจักรวรรดิอี้เหอไม่กี่หมื่นนายในมณฑลหลิงตง ซึ่งอาจมิใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพกองทหารหยางเว่ย”
“อืม”
เฟิงจี้สิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น อำนาจของจักรวรรดิอี้เหอกำลังลดน้อยลง ปราการที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมันคือเทือกเขาฉิน หากไม่มีเทือกเขา ข้าเกรงว่ากองทัพหนึ่งแสนนายของจักรวรรดิฉินคงสามารถถล่มทุกตารางนิ้วของจักรวรรดิอี้เหอให้ราบเป็นหน้ากลอง”
จางเหว่ยยิ้ม “ดูเหมือนว่าท่านหลินมู่อวี่จะต้องทำสำเร็จในครานี้อย่างแน่นอน”
“อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ มณฑลหลิงตงค่อนข้างเงียบเกินไปและไม่ค่อยสมเหตุสมผล เกรงว่าจักรวรรดิอี้เหออาจรู้ตัวแล้ว อีกทั้ง…กองทัพของเรามีความขัดแย้งภายใน จึงมิได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง”
“หมายความว่าอย่างไร?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เฟิงจี้สิงเอื้อมมือจุ่มลงไปเครื่องดื่มและวาดลงบนโต๊ะ “นี่คือกองทัพหยางเว่ยทั้งหมด ครึ่งหนึ่งมาจากหมินยวี่หลิน ซึ่งทหารห้าหมื่นนายนั้นแบ่งเป็นหนึ่งหมื่นนายจากกองทัพเทียนฉง สองหมื่นนายจากทหารราบเกราะหนัก ห้าพันนายจากกองทัพเฉินกง และหนึ่งหมื่นห้าพันนายจากกองทัพขวานศึกที่นำโดยหมินยวี่หลิน ส่วนสามหมื่นนายจากกองทัพเมืองหยาดสายัณห์นำโดยแม่ทัพซูเหวินเทียน สองหมื่นนายจากกองทัพเมืองชีไห่ภายใต้การนำของหวังซี สุดท้ายหน่วยวิญญาณอัคนีสองพันนายและกองกำลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันนายของอาวี่ เห็นหรือไม่ว่ามีความขัดแย้งมากเพียงใด?”
หลินมู่อวี่หายใจเข้าลึกและพูดว่า “หลานกงและหยุนกงขัดแย้งกัน คงทำให้ซูเหวินเทียนไม่ลงรอยกับหวังซี”
“ถูกต้อง”
เฟิงจี้สิงพูดต่อ “แม่ทัพใต้อำนาจหลานกงและหยุนกงเป็นกบฏ พวกมันถือว่าเมืองหลวงเป็นของตนและมักสร้างปัญหาจากภายนอก บุตรซูเหวินเทียนเพิ่งเอาชนะบุตรของหวังซีเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งทำให้ทั้งสองขัดแย้งกัน ข้าไม่เกรงกลัวสิ่งใดนอกเสียจากว่าเจ้าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรอยร้าวนี้”
“มิต้องกังวล” หลินมู่อวี่ยิ้ม “มันเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะจัดการด้วยตนเอง”
“อืม”
เฟิงจี้สิงมองลึกเข้าไปในตาหลินมู่อวี่ “การเดินทางครานี้คงไม่ราบรื่นนัก ทว่าอาอวี่มิต้องกังวล จะไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงหากข้ายังอยู่ที่นี่ และองค์จักรพรรดินีจะปลอดภัย”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
“เช่นนั้นอีกสามวันพวกเราจะไปส่งเจ้า”
“อืม”
หลินมู่อวี่มองไปยังดาบของเฟิงจี้สิงและกล่าว “ดาบสะบั้นวาโยหักแล้ว…พี่เฟิง ให้ข้าช่วยหลอมมันใหม่ก่อนออกเดินทางจากเมืองหลันเยี่ยนเถิด”
“จริงหรือ?” เฟิงจี้สิงดีใจ “ข้าคิดว่าเจ้าลืมไปแล้ว”
“ฮ่าๆ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่ไม่สามารถหาศิลาวิญญาณที่เหมาะสมในการหลอมเท่านั้น ทว่าครานี้ข้ามีแล้ว วางใจเถิด ข้าจะส่งดาบสะบั้นวาโยเล่มใหม่ไปให้ที่จวนในวันพรุ่งนี้”
“อย่าส่งมาที่จวน ข้าจะไปวิหารพรุ่งนี้เอง”
“ตกลง”
…
เวลาพลบค่ำ จินเสี่ยวถังส่งนิลพิศวงอายุหนึ่งหมื่นปีและวัตถุดิบอื่นสำหรับหลอมตามคำขอหลินมู่อวี่ เมื่อออกเดินทางไปยังมณฑลหลิงตง เขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด ดังนั้นจึงต้องหลอมอาวุธเพื่อร้านค้าจื่อยินไว้ก่อน
ไฟในสำนักงานผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ยังคงสว่างไสว ดวงดาราและเปลวไฟหมุนวนอยู่ในติ่งหลอมยักษ์ ขณะนี้ดาบสะบั้นวาโยของเฟิงจี้สิงถูกวางอยู่ด้านใน แม้มันจะถูกหลอมด้วยนิลพิศวงอายุหมื่นปี ทว่าน่าเสียดายที่ฝีมือช่างตีเหล็กนั้นธรรมดามาก อีกทั้งยังล้มเหลวในการหลอมจิตวิญญาณ ทำให้ดาบสะบั้นวาโยเป็นเพียงดาบมีคม ไม่สามารถเรียกว่าอาวุธวิเศษ
เพลิงดาราหลอมดาบอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่เพิ่มนิลพิศวงลงไปอีกสองสามชิ้น จากนั้นเพิ่มความรุนแรงเพลิงดาราทำให้สิ่งเจือปนในดาบหายไป ขณะที่ดวงดาวสีเทาลอยอ้อยอิ่งผสมกับนิลพิศวงอายุหนึ่งหมื่นปีในน้ำเหล็ก หลังผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็ถึงเวลาที่สำคัญที่สุด หลินมู่อวี่วางศิลาวิญญาณของอสูรเทวาลงในติ่งหลอมอาวุธ
ใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงในการหลอมศิลาวิญญาณ โชคดีที่พลังยุทธ์ในปัจจุบันของหลินมู่อวี่นั้นลึกล้ำมาก มิเช่นนั้นอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าชั่วโมงในการหลอม
‘โฮก!’
วิญญาณอสูรนภาพุ่งทะยานออกจากเปลวเพลิงหวังขย้ำหลินมู่อวี่ ทว่าโชคร้ายของมัน เขาเพียงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะปรากฏภาพมายาดวงดาราทั่วร่างกายดูน่าเกรงขาม ซึ่งทำให้วิญญาณสัตว์ร้ายยอมจำนนอย่างง่ายดาย ไม่นานวิญญาณอสูรสีทองแปรเปลี่ยนเป็นแสงตกลงในน้ำเหล็ก หลินมู่อวี่จึงหลอมต่อและขอให้ลู่ลู่เลือกแม่พิมพ์ดาบ
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาทั้งสิ้นราวห้าชั่วโมง ในที่สุดดาบสะบั้นวาโยเล่มใหม่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า หลินมู่อวี่ใช้แม่พิมพ์สิบห้าชิ้นในการหลอมซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้ได้ดาบที่ไม่เหมือนใครและมีความประณีต
‘ฟู่’
ใบดาบตกลงในน้ำ ทำให้ทั่วทั้งสำนักงานอบอวลไปด้วยไอน้ำ หลินมู่อวี่เอื้อมมือหยิบดาบสะบั้นวาโยขึ้มา แสงจากใบดาบส่องประกายพร้อมวิญญาณอสูรนภาปรากฏเลือนราง มันเป็นสัตว์วิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์ ดาบเล่มนี้จึงเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย
“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ”
ลู่ลู่กระโดดออกมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดาบเล่มนี้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์อันดับที่ห้า เป็นอาวุธที่ดีที่สุดจากการหลอมทั้งหมดของพี่ชาย”
“อืม พี่เฟิงต้องพอใจแน่”
หลินมู่อวี่วางดาบสะบั้นวาโยไว้ด้านข้าง ก่อนจะนำนิลพิศวงก้อนอื่นไปหลอมอาวุธเพิ่มขึ้น ศิลาวิญญาณที่นำมาด้วยครานี้มากมายเกินไป ขณะที่หลินมู่อวี่มีอีกหลายสิ่งต้องทำ
หลินมู่อวี่ไม่ได้หลับกระทั่งรุ่งสาง มีดาบสิบเอ็ดเล่มวางอยู่ในสำนักงาน ดาบที่ดีที่สุดคือดาบสะบั้นวาโย รองลงมาคือดาบระดับปราชญ์ขั้นเจ็ดซึ่งใช้ศิลาวิญญาณหนามเพลิงในการหลอม ส่วนที่เหลือเป็นดาบระดับนิลและระดับภูต ซึ่งดาบเหล่านี้คงเพียงพอที่จะกลายเป็นสมบัติสำหรับร้านค้าจื่อยิน
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’
เสียงเคาะประตูดังพร้อมเฟิงจี้สิงพูดขึ้น “ผู้ดูแลอาอวี่ ข้าเฟิงจี้สิง ดาบสะบั้นวาโยหลอมเสร็จแล้วหรือไม่?”
เฟิงจี้สิง…สหายผู้นี้ช่างใจร้อนยิ่งนัก
“เข้ามา”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย
เฟิงจี้สิงผลักประตูเข้ามาพร้อมใบหน้าสุขใจ บนคิ้วคมปกคลุมไปด้วยความชื้นจากหมอกยามเช้า “อาอวี่ ดาบคู่ใจของพี่เฟิงล่ะ?”
“อยู่นี่”
หลินมู่อวี่ยกมือควบแน่นปราณยุทธ์ก่อนจะขว้างดาบสะบั้นวาโยไป
‘หมับ!’
เฟิงจี้สิงคว้าไว้อย่างมั่นคง ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งอันทรงพลังหลั่งไหลเข้ามาที่แขน พร้อมเงาวิญญาณสัตว์ร้ายสถิตอยู่บนใบดาบ เฟิงจี้สิงอดไม่ได้ที่จะมองหลินมู่อวี่ด้วยความประหลาดใจ “อาวุธศักดิ์สิทธิ์?”
“ใช่” หลินมู่อวี่พยักหน้า
“พระเจ้า…มันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์จริงๆ” เฟิงจี้สิงรู้สึกพึงพอใจยิ่ง
หลินมู่อวี่ยิ้มสุขใจ “ข้าจะโกหกพี่เฟิงได้หรือ? น้ำหนักเป็นอย่างไร?”
“พอดีมือ!”
เฟิงจี้สิงแทบกลิ้งลงพื้นอย่างมีความสุข ขณะที่กำดาบในมือแน่น “อาอวี่ เจ้าช่วยพี่เฟิงไว้มากจริงๆ คงต้องเลี้ยงสุราสักหนึ่งเดือนแล้ว”
“ฮ่าๆ”
หลินมู่อวี่พูด “ค่อยคุยเรื่องนี้หลังข้ากลับมาเถิด ข้าคงไม่ว่างไปอีกระยะหนึ่ง หากพี่เฟิงไม่ว่าสิ่งใด…ช่วยข้าได้หรือไม่?”
“เรื่องใดหรือ?”
“ไปกระทรวงกลาโหมเพื่อขอชุดเกราะแห่งจักรวรรดิหนึ่งพันชุด ขณะนี้วิหารศักดิ์ไม่มีชุดรบที่เหมาะสม และมิสามารถหลอมในช่วงระยะสั้นๆ ดังนั้นชุดเกราะแห่งจักรวรรดิในคลังคงมีเพียงพอ ทว่าข้าไม่มีอำนาจมากนัก จึงหวังว่าพี่เฟิงจะช่วยข้าได้”
“อืม วางใจเถิด”
เฟิงจี้สิงหันกลับมาตอบอย่างมีความสุข
หลินมู่อวี่ยังคงหลอมอาวุธต่อ เนื่องจากเขาต้องออกเดินทางไปอีกหนึ่งวัน ดังนั้นจึงมีเวลาเหลือไม่มากนัก
กระนั้น…เมื่อใดที่นึกถึงการเดินทางไปยังมณฑลหลิงตงเพื่อเผชิญหน้ากับจักรวรรดิอี้เหออีกครั้ง เลือดในกายพลันสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง ถึงเวลาที่หนี้แค้นจะได้รับการชำระแล้ว…
………………………………….