The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.385 ปราณเพลิงวายุส่องแสง
EP.385 ปราณเพลิงวายุส่องแสง
บนดาดฟ้าเรือท้องแบนที่โคลงเคลงตามกระแสน้ำมีชายหนุ่มรูปงามนั่งอยู่ ด้านหลังของเขามีชายชรากำลังพายเรือลำนี้ให้มุ่งหน้าไปยังที่ประทับของจักรพรรดินีทางชายฝั่งตะวันตกซึ่งก็คือท่าเรือเมืองเชียนหลิน จุดที่สายน้ำไหลเชี่ยวกรากที่สุดในแม่น้ำต้าวเจียงแห่งมณฑลชางหนาน ฝั่งตรงข้ามมีทหารกว่าห้าหมื่นนายของกองทัพที่หนึ่งตั้งค่ายประจำการอยู่
“นั่นใคร อย่าขยับ มิเช่นนั้นจะยิง!”
เหล่าพลธนูและทหารโล่ผู้มีตราดอกจื่อยินของจักรวรรดิปักบนบ่าเดินออกมาจากป่าบนชายฝั่ง
ชายชรารีบคุกเข่าลงจนเรือทั้งลำสั่นไหวพร้อมเอ่ยขอความเมตตาอย่างลุกลน “อย่ายิงข้าน้อยเลย ข้าน้อยเป็นมนุษย์ขอรับ เป็นมนุษย์แท้ๆ อย่าเพิ่งยิง ข้าน้อยเป็นพลเมืองจักรวรรดิ!”
ท่ามกลางเหล่าทหาร “ชิ้ง” ผู้บัญชาการกองร้อยชักดาบพลางก้าวมาออกด้านหน้า “เจ้ามาจากเมืองเจียงตงงั้นรึ?”
ในขณะนั้น ชายหนุ่มรูปงามลุกขึ้นยืนบนหัวเรือพลางถอดหมวกไม้ไผ่ออกอย่างอ้อยอิ่งเผยให้เห็นใบหน้าสง่าไร้ที่ติราวสวรรค์สร้าง ทว่าดวงตาสีม่วงอ่อนใต้คิ้วหนากลับดูน่าเกรงขาม เขายกยิ้มขึ้นพร้อมประสานหมัด “ข้าเฉียนเฟิง จอมพลของกองทัพที่หนึ่งแห่งเผ่าเทพ ต้องการเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินี ไม่ทราบว่าข้าสามารถเข้าพบฝ่าบาทได้หรือไม่?”
ผู้บัญชาการกองร้อยตกตะลึง “จอมพลแห่งเผ่าเทพ?! นี่เจ้า…เป็นปีศาจงั้นรึ?”
“ลืมไปเสียเถอะ อย่างไรซะพวกมนุษย์ก็เรียกข้าว่าปีศาจสินะ” เจ้าของดวงตาสีม่วงจ้องมองอีกฝ่าย “ครานี้ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดินีตามคำสั่งขององค์ชายลำดับสามแห่งเผ่าเทพ”
“หึ!”
ผู้บัญชาการกองร้อยเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็ขึ้นฝั่งมา ทหารมัดตัวเขาไว้!”
“ขอรับ!”
เหล่าทหารรีบพุ่งตัวไปจับเฉียนเฟิงตามคำสั่งพร้อมมัดมือของเขาไพล่หลัง ทว่าชายแก่ที่พายเรือมาด้วยกันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจึงไม่ถูกควบคุมตัวแต่อย่างใด
หลังจากการเสริมกำลังหลายวัน กองทัพที่หนึ่งก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ด้านในกำแพงเมืองหินสีขาว เสียงฝึกซ้อมของเหล่าทหารดังก้องไปทั่วบริเวณ เฉียนเฟิงถูกควบคุมตัวเข้าไปในเมืองทว่าสายตากลับไร้ซึ่งความกลัว เขาเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับจะเยาะเย้ยความแข็งแกร่งของกองทัพมนุษย์
ในกระโจมหลักของกองทัพแห่งจักรวรรดิ ฉินอินนั่งอยู่ในตำแหน่งของผู้บัญชาการสูงสุดขนาบข้างด้วยเฟิงจี้สิง จางเหว่ย หลัวอี่และคนอื่นๆ ที่กำลังรายงานสถานการณ์ศึกอย่างเคร่งเครียด
ขณะนั้นเอง ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาในกระโจมพร้อมประสานหมัดพลางกล่าวออก “ข้าแต่ฝ่าพระบาท มีชายนามว่าเฉียนเฟิงที่อ้างว่าตนเป็นผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของเผ่าปีศาจต้องการเข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เฉียนเฟิงงั้นหรือ?” ฉินอินทำหน้าฉงนพลางกล่าว
“ผู้ใดกัน?”
เฟิงจี้สิงเอ่ยตอบ “กองทัพของเหล่าปีศาจนั้นแบ่งออกเป็นสองกองหลักพ่ะย่ะค่ะ ประกอบด้วยกองทัพที่หนึ่งและกองทัพที่สอง เหล่ยฉงที่อาอวี่เคยกล่าวถึงอาจเป็นผู้บัญชาการของกองทัพที่สอง ควรให้จอมพลด้านนอกเข้าพบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม” ฉินอินพยักหน้า
เฟิงจี้สิงส่งสัญญาณ จากนั้นจางเหว่ยจึงโบกมือพร้อมออกคำสั่ง “พลธนูและทหารราบ เปลี่ยนไปใช้ศรเศวตรมณี เตรียมตัวรอฟังคำสั่งจากข้า!”
“ขอรับ!”
ไม่นานนัก เหล่าพลธนูและทหารราบไม่ต่ำกว่าร้อยนายซุ่มตัวรอคำสั่งอยู่สองข้างกระโจมหลักทันที ไม่กี่นาทีต่อมา เหล่าผู้บัญชาการก็พาตัวเฉียนเฟิงเข้ามา
เฉียนเฟิงสวมใส่ชุดสีดำพร้อมแววตาเผยความยโสโอหัง ทันทีที่เข้ามาในกระโจม เขาสะบัดมือที่ถูกมัดไปมา ปราณสีดำพลันพวยพุ่งตัดเชือกขาดในชั่วพริบตา
“ปกป้องฝ่าบาท!”
เฟิงจี้สิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเตรียมชักดาบสะบั้นวาโยออกจากฝัก
ทว่าเฉียนเฟิงขัดขึ้นมาเสียก่อน “อย่ากังวลไปเลยผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง ข้ามิทำร้ายฝ่าบาทหรอก”
เขายิ้มขณะกล่าวออกและมองไปยังจักรพรรดินีที่อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารสีกรมท่า ทว่ากลับดูสง่างามและน่าเกรงขาม ใบหน้ากลมสวยที่ประดับด้วยแก้มอมชมพูธรรมชาติราวกับสวรรค์สร้างนั้นกำลังมองมาที่เขาด้วยความรำคาญ เฉียนเฟิงจึงรีบโค้งคำนับอีกฝ่าย “กระหม่อม จอมพลเฉียนเฟิงแห่งเผ่าเทพพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฉินอินถามกลับ “เฉียนเฟิง เจ้ามาทำอะไรที่ค่ายจักรพรรดิ?”
“ร้องขอสันติพ่ะย่ะค่ะ” เฉียนเฟิงกล่าวพร้อมยกยิ้ม
เฟิงจี้สิงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “สันติ? เหล่าปีศาจบุกรุกแม่น้ำต้าวเจียง อีกทั้งยังทำลายอาณาเขตของจักรวรรดิ แต่เจ้ามาที่นี่เพื่อขอสันติงั้นรึ?”
เฉียนเฟิงมองไปยังฉินอินพลางตอบอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท เพลานี้องค์ชายลำดับสามกำลังนำทัพเหล่าปีศาจทยอยบุกยึดดินแดนมนุษย์และได้ยึดครองมณฑลเทียนทง หลินตงและชางหนานแล้ว แต่พระองค์ทรงตรัสว่าหากจักรวรรดิยอมมอบตัวคนคนหนึ่งแก่เผ่าเทพ จะทรงใช้แม่น้ำต้าวเจียงเป็นแนวเขตแบ่งพรมแดนเพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช้แม่น้ำต้าวเจียงเป็นเขตแบ่งอย่างงั้นรึ?” ฉินอินคิ้วขมวด กล่าวออกอย่างมีศักดิ์ “เจ้าเห็นจักรวรรดิของเราเป็นอย่างไรกัน? คิดว่าเราจะเชื่อที่เจ้าพูดรึ?”
เฟิงจี้สิงยิ้มหยันพลางกล่าว “เฉียนเฟิง ว่าแต่เจ้าต้องการตัวผู้ใดจากเมืองจักรวรรดิกัน?”
“หลิน-มู่-อวี่!” เฉียนเฟิงกล่าวคำต่อคำอย่างหนักแน่น
จางเหว่ยและหลัวอวี่ต่างชะงักไปพร้อมกัน “ผู้บัญชาการอวี่งั้นรึ?”
แม้แต่ฉินอินก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ คำพูดนั้นสะกิดความรู้สึกบางอย่างในใจของนาง ทันใดนั้นรัศมีอาฆาตก็ฉายในแววตาองค์จักรพรรดินี “เฉียนเฟิง เหตุใดเจ้าจึงต้องการตัวหลินมู่อวี่?”
เฉียนเฟิงยิ้มกล่าวตอบอย่างสุภาพ “ข้าแต่ฝ่าพระบาท กระหม่อมมีพี่ชายนามว่าเฉียนยุ่น หลายปีก่อนเขาเดินทางมายังดินแดนมนุษย์ในฐานะผู้บุกเบิกเพื่อตามหาพระพุทธเจ้าทั้งเก้า ทว่ากลับถูกมนุษย์ฆ่าตายตกไป กระหม่อมสืบหาอยู่นานก่อนพบว่าเป็นฝีมือของมนุษย์นามว่าหลินมู่อวี่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของกองทัพจักรวรรดิในตอนนี้ ดังนั้นหากพระองค์ทรงมอบตัวเขาให้แก่กระหม่อมเพื่อเป็นการชำระแค้น กระหม่อมจะเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายลำดับสามยุติสงครามกับเหล่ามนุษย์เสีย”
“งั้นหรือ?” ฉินอินมองอีกฝ่ายก่อนกล่าวต่อ “เหมือนว่าจอมพลเฉียนเฟิงจะคิดผิดเสียแล้ว”
เฟิงจี้สิงกดด้ามดาบสะบั้นวาโยเข้าฝักดังเดิมขณะหัวเราะลั่น “ข้าว่าที่เจ้าต้องการตัวหลินมู่อวี่นั้นไม่ใช่เพียงเพราะพี่ชายเจ้าถูกสังหารเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเพราะสติปัญญาและกำลังของเขาด้วยใช่หรือไม่? เหล่าปีศาจเกิดกลัวขึ้นมาหรืออย่างไรกัน?”
เฉียนเฟิงหัวเราะออก “ท่านผู้บัญชาการเฟิงพูดถูกขอรับ การที่หลินมู่อวี่สามารถหลบหลีกและต่อสู้กับขวานศึกของจอมพลเหล่ยฉงที่ศึกเมืองตงฉวงได้นั้นทำให้พวกเราถึงกับคิดไม่ตก หากเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเราเผ่าเทพรวมถึงข้าเองคงไม่สามารถอยู่อย่างเป็นสุข ดังนั้นฝ่าบาททรงตัดสินเถิดพ่ะย่ะค่ะว่าจะมอบตัวเขาหรือไม่ ควรมิควรแล้วแต่ทรงโปรด”
ฉินอินเอ่ยตอบน้ำเสียงเย็น “จอมพลเฉียนเฟิงท่านกังวลเกินไปแล้ว ผู้บัญชาการอวี่เป็นพระเชษฐาของข้าอีกทั้งยังเป็นคนที่ข้ารัก ต่อให้ต้องสู้รบจนสูญเสียสิ่งใดไป ข้าก็ไม่อาจทรยศคนที่ข้ารักได้”
“อย่างนี้เอง…” เฉียนเฟิงมององค์จักรพรรดินีด้วยแววตาหึงหวง “เช่นนั้นก็ตามที่ฝ่าบาทว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขออภัยที่มารบกวน”
จางเหว่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างชักดาบออกมาพล่างยิ้มกล่าว “เฉียนเฟิง เจ้ามาที่นี่เพียงลำพัง คงรู้ดีใช่หรือไม่ว่าต้องลงเอยอย่างไร? พลธนู!”
ทันใดนั้น เกิดเสียงฝีเท้าดังกึกก้องก่อนที่เหล่าพลธนูจะเข้ามาในกระโจมพลางเล็งศรเศวตรมณีไปยังเฉียนเฟิง ขณะเดียวกันเฟิงจี้สิงชักดาบสะบั้นวาโยออกจากฝักพร้อมหมาป่าเปลวอัสนีม่วงที่ปรากฏขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นปราณเพลิงวายุสัญลักษณ์ขอบเขตปราชญ์ชั้นที่หนึ่งพลันพวยพุ่งรอบกายเขาอย่างน่าเกรงขาม!
เฟิงจี้สิงเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว!
แม้จะพบศัตรูที่ทรงพลังนัก เฉียนเฟิงกลับยืนสงบไม่สะทกสะท้าน เขามองไปยังฉินอินด้วยแววตาเสน่ห์หา ก่อนประสานหมัดพร้อมกล่าวออก “ข้าแต่ฝ่าพระบาท กระหม่อมชื่นชมในรูปลักษณ์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ของพระองค์ หากเรามิใช่ศัตรูก็คงดี กระหม่อมจะยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อยืนเคียงข้างพระองค์ เช่นนั้นคงมีความสุขนัก!”
ฉินอินยิ้ม “จอมพลเฉียนเฟิงเจ้าคิดไปไกลนัก ข้าว่าเจ้าควรสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเสียก่อน รู้หรือไม่การมาที่นี่เพียงลำพังจะต้องลงเอยอย่างไร?”
“หึ…” เฉียนเฟิงยิ้มตอบ “ฝ่าบาท ก่อนมาที่นี่กระหม่อมได้สั่งทหารใต้บัญชาให้เตรียมข้ามแม่น้ำเพื่อเปิดศึกโจมตีทันทีหากกระหม่อมมิได้กลับไปภายในหนึ่งชั่วโมง ถึงเวลานั้นแม่น้ำต้าวเจียงคงเต็มไปด้วยทหารกว่าสองแสนนายของกระหม่อม พระองค์ว่าทหารเพียงหลักหมื่นของจักรวรรดิจะหยุดกองทัพเผ่าเทพได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินเผยท่าทีตระหนกทันที
เฟิงจี้สิงกล่าวออกน้ำเสียงเครียด “ฝ่าบาท ปล่อยเฉียนเฟิงไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ เราจะได้ไม่สูญเสียกองกำลังทหารโดยใช่เหตุ ต่อให้เป็นศึกที่เป็นธรรม กระหม่อมก็สามารถจัดการจอมพลปีศาจนี่ได้อยู่ดี!”
เฉียนเฟิงหัวเราะพร้อมเอ่ย “ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะมีพลังปราณเพลิงวายุได้ ข้าชื่นชมท่านนะ!”
ฉินอินพยักหน้าก่อนกล่าวออก “ไปส่งจอมพลเฉียนเฟิงกลับเมืองเจียงตงเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จางเหว่ยรับคำบัญชาก่อนพาตัวเฉียนเฟิงออกจากกระโจมหลักไป
ทันทีที่จอมพลปีศาจกลับไป ฉินอินเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “ผู้บัญชาการเฟิง ท่านก็เห็นว่าเฉียนเฟิงนั้นฉลาดและอาจหาญเพียงใด ผู้บัญชาการเหล่าปีศาจในศึกเมืองตงฉวงต้องเป็นเขาแน่ หากไม่กำจัดเขาในตอนนี้เสียก็เสมือนปล่อยเสือกลับเข้าป่า!”
เฟิงจี้สิงพยักหน้ารับ “กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หากแต่ฝ่ายเราก็ไม่พร้อมตั้งรับการบุกโจมตีที่แม่น้ำต้าวเจียงตามที่เฉียนเฟิงขู่ไว้จริง น้ำมันบีชสีดำจากเมืองห้าหุบเขาและเมืองเงาเทวาคงมาถึงภายในสามชั่วโมง เราจึงต้องการเวลาอีกสักหน่อย ฝ่าบาทอย่าเพิ่งเป็นกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเองสินะ ท่านคิดว่าพวกปีศาจจะโจมตีเราเมื่อใดกัน?”
“ภายในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ พวกมันคงเตรียมการแล้วเช่นกัน ”
“พี่อาอวี่อยู่ที่นั่น…”
“ฮ่าๆ อย่าห่วงเลยพ่ะย่ะค่ะ!” เฟิงจี้สิงยิ้มพร้อมกล่าวออก “อาอวี่นั้นหลักแหลมไม่เป็นรองใคร ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีกองกำลังชั้นยอดอย่างกองทหารมังกรผงาดและกองกำลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ หากพวกปีศาจข้ามแม่น้ำมาบุกโจมตี อย่างไรเสียกองทัพที่สี่ของเขาก็ตั้งรับไหวแน่ กองกำลังที่น่าเป็นกังวลกว่าคือทัพของถังลู่กับถังเทียนพ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม…”
ใบหน้าของฉินอินขึ้นสีระเรื่อ นางนั่งเหม่อไม่รู้ต้องทำอย่างไร หากเป็นไปได้ นางอยากจะบินไปยังกองทัพที่สี่ซึ่งห่างไปเพียงไม่กี่ร้อยไมล์เสียตอนนี้ ทว่าโชคร้ายเสียจริงที่นางนั้นเป็นองค์จักรพรรดินีทำให้ต้องอยู่กับกองทหารที่หนึ่งของตน อีกทั้งยังต้องช่วยเฟิงจี้สิงอยู่ที่นี่เพื่อควบคุมกองทหารทั้งสามหมื่นนายของเมืองหยาดสายัณห์ซึ่งไม่ได้ขึ้นตรงต่อเขาด้วย
…………………………………..