The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.392 ศึกใจกลางแม่น้ำ
EP.392 ศึกใจกลางแม่น้ำ
ในตอนกลางคืน ค่ายกองทหารที่สี่จุดคบเพลิงสว่างไสว
ถังหลานมีสถานะที่โดดเด่นซึ่งเป็นหนึ่งในกงผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ ที่พักจึงถูกจัดให้อยู่ใกล้เคียงกับจักรพรรดินีฉินอิน
แสงเทียนในกระโจมปลิวไสวเล็กน้อย ถังหลานหยิบม้วนหนังสือพร้อมหันมองเซี่ยงอวี้ที่เพิ่งเข้ามาและกล่าวว่า “มาแล้วหรือ?”
เซี่ยงอวี้ทำความเคารพ “ท่านหลานกง”
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ เข้ามาหารือกันเถิด”
“ขอรับ” เซี่ยงอวี้กล่าว “ท่านคิดอย่างไรกับการแลกเปลี่ยนเชลยศึกในวันพรุ่งนี้…ข้าน้อยควรทำอย่างไรจึงจะสามารถช่วยทั้งสองได้”
ถังหลานถอนหายใจด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าเกลียดที่เสี่ยวซีเป็นผู้หญิงและไม่สามารถแบกรับภาระของตระกูลถังได้…น่าเสียดายที่ถังลู่และถังเทียนหลงระเริงกับการเล่นสนุก แทนที่จะสนใจศาสตราวุธ”
เซี่ยงอวี้ยิ้มเล็กน้อย “ท่านหลานกงกังวลมากเกินไป ทั้งสองยังเป็นเด็ก เมื่อใดที่ได้เล่นอย่างเพียงพอ พวกเขาจะกลับมาฝึกพลังยุทธ์และกลายเป็นเสาหลักของจักรวรรดิแน่นอนขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ…”
ถังหลานหันมองเซี่ยงอวี้พร้อมกล่าวว่า “เฟิงจี้สิงและหลินมู่อวี่เองก็เป็นเด็ก เหตุใดพวกเขาจึงไม่หมกมุ่นกับการเล่นสนุก? ข้าเข้าใจดีว่าพรสวรรค์และความสามารถได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ตอนนี้คงทำได้เพียงหวังว่าทั้งสองจะมีชีวิตรอดกลับออกมาและให้สืบทอดเลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลถัง ไม่เช่นนั้น…”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีลูกนานแล้วขอรับ”
“พวกนั้นเป็นลูกนอกกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่ตระกูลถัง”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
ถังหลานค่อยๆ นั่งลงและอังมือกับเตา “เซี่ยงอวี้ พรุ่งนี้จะต้องเกิดศึกบนแม่น้ำเป็นแน่ หากต้องเผชิญหน้ากับเฉียนเฟิง เจ้ามีโอกาสชนะมากเพียงใด?”
เซี่ยงอวี้ผงะ ก่อนจะครุ่นคิดและตอบ “ข้าไม่มั่นใจ บางทีอาจมีโอกาสชนะเพียงครึ่งเดียว”
“เช่นนั้นหมายความว่าจะไม่มีทางชนะ”
“ข้าน้อยไม่เคยเผชิญหน้ากับปีศาจระดับสูง จึงไม่มั่นใจนัก”
“อืม”
ถังหลานหรี่ตาพร้อมกล่าวว่า “แต่เฉียนเฟิงสามารถเอาชนะถังลู่ได้ในการโจมตีเดียว เท่านี้ก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่าเขาแข็งแกร่งมากเพียงใด ข้าต้องการให้เจ้าหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเฉียนเฟิง ปล่อยให้เฟิงจี้สิงและหลินมู่อวี่เป็นผู้จัดการเอง เจ้าเพียงต้องเอาชนะผู้คุ้มกัน แล้วไปช่วยชีวิตถังลู่และถังเทียนให้ได้ เข้าใจไหม?”
เซี่ยงอวี้ประสานหมัด “ขอรับ ท่านหลานกงหมายถึง…เป็นการดีที่จะปล่อยให้เฉียนเฟิงสังหารเฟิงจี้สิงหรือหลินมู่ใช่หรือไม่ขอรับ?”
“จะดียิ่งกว่าหากฆ่าทั้งคู่” ดวงตาถังหลานเผยความอาฆาต “ตราบใดที่เฟิงจี้สิงและหลินมู่อวี่ยังมีชีวิต พวกมันจะเพิ่มอำนาจทางทหารที่จักรพรรดินีครอบครองมากยิ่งขึ้น ไม่ช้าก็เร็วเมืองชีไห่ของเราคงต้องถอนตัวจากการแข่งขันด้านอำนาจในเมืองหลันเยี่ยน”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ท่านหลานกงไม่ต้องเป็นกังวล”
“อืม รีบไปพักผ่อนเถิด”
“ขอรับ”
…
ไม่ไกลออกไป มีแสงเทียนส่องสว่างภายในกระโจมหลัก นี่คือกระโจมผู้บัญชาการสูงสุดของหลินมู่วี่ เนื่องจากการมาเยือนของฉินอิน แสงเทียนค่ำคืนนี้จึงดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น
หลินมู่อวี่เอนกายลงข้างเตียงพร้อมโอบแขนกอดตัวเองและหลับตาลง พลังดวงดาราโคจรรอบแขนอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันเขากลั่นลูกประคำวิญญาณจากอสูรระดับสามดาวที่อยู่บนหน้าอก ซึ่งมันทรงพลังมาก กระนั้นก็เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าปีศาจ เนื่องจากมนุษย์สามารถกลั่นประคำวิญญาญของปีศาจระดับสูงได้ และดูเหมือนว่าจะถูกกำหนดให้ถูกทำลายหากไม่ได้อยู่กับปีศาจหรือมนุษย์ที่เป็นผู้สังหารปีศาจตนนั้น
ฉินอินนั่งลงโดยที่เสื้อคลุมจักรพรรดินีแผ่บนเตียง นางวางขาของหลินมู่อวี่บนตักและบีบนวดให้ คงมีเพียงหลินมู่อวี่เท่านั้นที่สามารถได้รับประสบการณ์สุดพิเศษเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นานหลินมู่อวี่ลืมตาขึ้นพร้อมสูดลมหายใจเข้า ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นคลื่นพลังโลหิตจากประคำวิญญาณหมุนวนรอบๆ ก่อนจะบินเข้าสู่ร่างกายตนเองในพริบตา รัศมีพลังรอบประคำวิญญาณหายไปแล้ว…เขาประสบความสำเร็จในการกลั่นมันให้เป็นปราณยุทธ์สีขาว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายขณะที่พลังหลั่งไหลเข้ามาในร่างกาย
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินอินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ราบรื่นมาก” หลินมู่อวี่กล่าว “เสี่ยวอินควรลองกลั่นลูกประคำวิญญาณอสูรเหล่านี้ มันจะช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกยุทธ์”
“แต่…”
ฉินอินตอบกลับ “การกลั่นประคำวิญญาณอสูรของเผ่าปีศาจแตกต่างอย่างไรกับการกินเนื้อคน…”
“โลกก็เป็นเช่นนี้ เผ่าปีศาจเองก็กินศพทหารแห่งจักรวรรดิหนึ่งแสนนายของเราในเมืองตงฉวง สงครามมักโหดเหี้ยมเสมอ และไร้ความปรานี”
“ข้ารู้ แต่ข้า…” ฉินอินยังไม่สามารถทำใจยอมรับการฝึกยุทธ์เช่นนี้
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาลุกขึ้นโอบไหล่นางพร้อมกล่าวว่า “ไม่เป็นไร หากเสี่ยวอินไม่ต้องการกลั่นประคำวิญญาณอสูรละก็…ข้าจะทำเองคนเดียว”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้า “อาอวี่ พรุ่งนี้จะต้องเผชิญหน้ากับเฉียนเฟิง เจ้ามั่นใจหรือไม่?”
“ไม่เลย”
หลินมู่อวี่ส่ายหัว “เสี่ยวอินจำเหล่ยฉงผู้บัญชาการกองทัพที่สองแห่งเผ่าปีศาจได้หรือไม่?”
“ข้าจำได้”
“องค์ชายสามของเผ่าปีศาจกล่าวว่า เฉียนเฟิงไม่อ่อนแอไปกว่าเหล่ยฉงเลย ข้าเคยเผชิญหน้ากับเหล่ยฉงในเมืองตงฉวงและไม่มีโอกาสชนะ ดังนั้นข้าคงต้องยอมรับว่า หากต้องเผชิญหน้ากับเหล่ยหงเพียงลำพัง อาจไม่มีโอกาสชนะหนึ่งในห้าด้วยซ้ำ แต่พรุ่งนี้ข้าไปพร้อมพี่เฟิงและเซี่ยงอวี้…ข้าไม่มั่นใจว่าพวกเราจะร่วมมือกันได้ดีหรือไม่”
“ข้าไม่คิดว่าเซี่ยงอวี้จะยอมร่วมมือกับเจ้า”
ฉินอินมองเขาพร้อมน้ำตาคลอ “อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้เจ้าต้องระวังตัว ไม่เป็นไรหากถังลู่และถังเทียนตาย แต่เจ้าต้องรอดกลับมา”
“จักรพรรดินีไม่ควรเอ่ยเช่นนี้”
“ข้าคุยกับเจ้าในนามเสี่ยวอิน…” ฉินอินมองเขาด้วยดวงตาคู่งาม “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าบาดเจ็บ โปรดกลับมาอย่างปลอดภัย”
“อย่ากังวลเลย”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “นี่ก็ดึกแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้าเพื่อพักผ่อน”
“อืม”
จากนั้นหลินมู่อวี่ไปส่งฉินอินยังกระโจมของจักรพรรดินี ความรักของทั้งสองดูเหมือนจะไม่มากจนเกินไป มีเพียงอารมณ์อ่อนไหวเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการฉินอิน แต่ในช่วงเวลานี้…เขาไม่ต้องการสิ่งใดมาทำให้ไขว้เขว การต่อสู้ที่เดิมพันกับความเป็นความตายกำลังรอเขาอยู่
…
วันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยงวัน
ฉินอินสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มและเดินทางมายังริมฝั่งภายใต้การอารักขาจากเหล่าองครักษ์ เสื้อคลุมปักดิ้นทองปลิวไสวราวกับผีเสื้อเริงระบำ
ถังหลานด้านข้างฉินอินกล่าวว่า “ฝ่าบาท ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อม…”
ฉินอินเม้มริมฝีปาก “อย่าโทษตัวเองอีกเลย มิเช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวเช่นไร…ตอนนี้เราทำได้เพียงสวดอธิษฐานให้แก่ผู้บัญชาการทั้งสาม”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยโฉวมีสีหน้าสงบนิ่งขณะที่ถือธนูยาวในมือ เขานำกลุ่มทหารมังกรผงาดเข้าไปยังใต้ท้องเรืออย่างเงียบงันและเงยหน้ามองหลินมู่อวี่ “ท่านผู้นำอย่าลืมให้สัญญาณแก่ข้านะขอรับ”
“จะไม่มีสัญญาณ” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ข้าเกรงว่าเรือลำนี้คงล่มทันที เจ้าและทุกคนควรระมัดระวังตัวเสมอ และเปลี่ยนไปใช้ศรเศวตรมณีทันทีที่ตกน้ำ พวกเจ้าต้องยิงธนูเพื่อเป็นกำลังเสริมให้ข้า”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และเซี่ยงอวี้ยืนเคียงข้างกันบนดาดฟ้าเรือ หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงสวมเสื้อคลุมองครักษ์ชุดขาว ขณะที่เซี่ยงอวี้สวมเสื้อคลุมผู้บัญชาการแห่งจักรวรรดิสีดำพร้อมถือทวนนองเลือด
“ฝ่าบาท พวกเรากำลังจะไปแล้ว” เฟิงจี้สิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับ
จากนั้นหลินมู่อวี่และเซี่ยงอวี้ทำความเคารพ
ฉินอินก้าวออกมาด้านหน้าและให้พรแก่พวกเขา “ข้าขอให้ท่านผู้บัญชาการทั้งสามได้รับชัยชนะกลับมา”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…ออกเรือได้”
สิ้นเสียงคำสั่งเฟิงจี้สิง เรือรบออกจากท่าอย่างรวดเร็วมุ่งหน้าไปยังฝั่งตรงข้ามพร้อมเสียงกลองดังก้อง ขณะที่อีกฝ่ายไม่รู้จะหาเรือจากที่ใด พวกเขาจึงมีเพียงเรือหาปลาขนาดกลางเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถบรรจุคนได้มากกว่าสามสิบคน
ในระยะไกล เฉียนเฟิงยืนบนหัวเรือพร้อมถือดาบในมือ ด้านหลังเขามีปราชญ์แห่งปีศาจสองตนสวมชุดเกราะอ่อนสีดำพร้อมประดับดาวสีทองเข้มซึ่งบ่งบอกว่าเป็นอสูรระดับสี่ดาว พลังยุทธ์ของพวกเขาจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเฟิงไห่ที่เป็นอสูรระดับสามดาวมาก
เซี่ยงอวี้กระชับทวนนองเลือดแน่น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฉียนเฟิงผู้นี้เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่สามารถดูถูกความแข็งแกร่งของเขาได้เลย”
เฟิงจี้สิงยิ้มเล็กน้อย “ท่านเซี่ยงอวี้เป็นที่รู้จักในฐานะเทพทหารร่วมสมัยของจักรวรรดิและถูกกล้าวอ้างว่าเป็นอมตะ เช่นนั้นท่านจะเป็นผู้จัดการเฉียนเฟิง ส่วนอสูรระดับสี่ดาวข้าและอาอวี่จะจัดการเอง”
“ผู้บัญชาการเฟิงกล่าวไม่ถูกต้อง” เซี่ยงอวี้ยิ้ม “ทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านผู้บัญชาการเฟิงเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว อีกทั้งยังหลอมดาบสะบั้นวาโยใหม่ซึ่งมีความคมมาก ขณะที่ผู้บัญชาการหลินมีวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าทองและโซ่เทวะ เขาเป็นจอมยุทธ์ที่พรสวรรค์มาก แม้ไม่มีข้าพวกท่านทั้งสองก็สามารถต่อสู้กับเฉียนเฟิงได้”
เฟิงจี้สิงเยาะเย้ย เขารู้ว่าเซี่ยงอวี้ไม่กล้าท้าทายเฉียนเฟิง แม้จะมีความหยิ่งผยองในใจ แต่ก็ไม่เคยกระทำสิ่งใดอย่างโง่เขลา
“อืม…”
เฟิงจี้สิงกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าและผู้บัญชาการหลินจะเผชิญหน้ากับเฉียนเฟิง ส่วนผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้เพียงต้องไปช่วยสองพี่น้องตระกูลถัง”
“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ”
เซี่ยงอวี้ประสานหมัดราวกับเชื่อฟัง
หลินมู่อวี่แอบเยาะเย้ย เซี่ยงอวี้ไม่ได้ตั้งใจจะร่วมมือสังหารเฉียนเฟิงเลยและต้องการให้เฟิงจี้สิงหรือหลินมู่อวี่ตายในศึกครั้งนี้
โชคดีที่ยังมีทหารกองทัพมังกรผงาดฝีมือดีอยู่อีกหลายร้อยใต้ท้องเรือ
…
หลินมู่อวี่กระซิบพร้อมกระชับด้ามกระบี่ที่เอว “พวกมันกำลังมา”
“อืม”
เรือรบจอดนิ่งกลางแม่น้ำ ห่างออกไปเรือประมงขนาดกลางของเฉียนเฟิงโยกไปมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเฟิงจี้สิง ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง”
เฟิงจี้สิงยิ้มและประสานหมัด “ท่านจอมพลเฉียนเฟิง และท่านปราชญ์ทั้งสอง”
“นำพวกเขาขึ้นมา”
สิ้นเสียงคำสั่ง นักรบอสูรทั้งสองผลักถังลู่และถังเทียนออกไป ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ครานี้ องค์ชายสามของพวกเราล่ะ” เฉียนเฟิงกล่าว
“นำเขาขึ้นมา”
ทหารกองทัพมังกรผงาดสองคนนำเฟิงไห่ขึ้นมา มือของเขาถูกมัดด้วยโซ่ ทำให้ไม่สามารถดิ้นรนได้
…
มือของเฉียนเฟิงจับด้ามดาบพร้อมขยับแผ่วเบา แต่เสียงใบมีดดังขึ้นอย่างชัดเจน เขายิ้มและกล่าวว่า “เอาล่ะ เราควรเริ่มกันหรือยัง?”
………………………………….