The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.413 เขตแดนพลัง
EP.413 เขตแดนพลัง
“ตึง ตึง ตึง!”
อสูรเกราะแกร่งกล้าสามตนเหวี่ยงขวานฟันประตูเมือง ฉับพลันศรเศวตรมณีพุ่งเข้ากลางหน้าผากของอสูรตนหนึ่งจนเลือดอาบทั่วใบหน้า ร่างของมันกระตุกก่อนล้มลงราวกับสมองได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทว่ายังกำขวานในมือแน่นหวังตีประตูเมืองให้แตกออก ด้านหลังของมันเต็มไปด้วยเหล่าอสูรเกราะจำนวนมากที่กำลังฟาดดาบหนักโจมตีประตูเมือง
แม้ขั้นตอนการหล่อขวานของเผ่าปีศาจอาจไม่ดีมากนัก ขวานของพวกมันขึ้นสนิมเขรอะ ทว่าก็ยังมีน้ำหนักเกือบสองร้อยปอนด์ ประตูเมืองปู้กู่ถูกตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเริ่มแตกหัก เพียงพริบตา เศษไม้กระเซ็นไปทั่วสารทิศพร้อมกับประตูที่พังทลายลง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าประตูเมืองปู้กู่จะเปราะบางถึงเพียงนี้ เหล่าอสูรพังประตูเมืองเข้ามาได้ในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที
“โครม!”
เมื่อประตูพังทลายลง เหล่าอสูรเกราะดวงตาแดงก่ำบุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่งพร้อมอาวุธครบมือ ทว่ายังไม่ทันบุกอย่างเต็มกำลัง ปราณยุทธ์อันแรงกล้าก็พวยพุ่งใส่หน้าพวกมัน…
“ตู้ม!”
ด้ามทวนแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาวพุ่งเจาะร่างของเหล่าอสูรเกราะจนกระเด็นออกประตูเมืองไป ผู้รักษาการณ์ประตูเมืองแห่งนี้คือรองผู้บัญชาการกองทัพทหารมังกรผงาด…ฉินเหยียน เขาเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภาขั้นที่สอง ด้วยปราณยุทธ์อันแกร่งกล้าบนปลายทวนผนวกกับพละกำลังของชายหนุ่ม ทำให้การโจมตีเมื่อครู่ทรงพลังเกินกว่าจะจินตนาการได้
อย่างไรก็ตาม เหล่าอสูรเกราะมีจำนวนมากเกินไป พวกมันที่เหลืออยู่คำรามอย่างบ้าคลั่งก่อนพุ่งโจมตีฉินเหยียน
“ป้องกันประตู!”
สิ้นเสียงคำสั่งของฉินเหยียน เหล่าทหารมังกรผงาดพลันยกโล่หนักขึ้นสูงป้องกันประตูเมืองอย่างพร้อมเพรียงในทันที ในขณะเดียวกันเขาพุ่งตัวไปด้านหน้ากองทหารพร้อมทวนในมือ พลังมังกรพลันพวยพุ่งรอบกายก่อนควบแน่นกลายเป็นเกราะเกล็ดมังกร พร้อมเรียกกำแพงศิลา เกราะโล่ เกราะหนามและทักษะป้องกันอื่นๆ ออกมา ก่อนจะตวัดทวนฟาดอสูรเกราะห้าตนในพริบตา
“เปรี้ยง!”
ปราณยุทธ์ระเบิดออกมา แสงของเกราะเกล็ดมังกรเปล่งแสงส่องสว่างไปทั่วบริเวณ พลังป้องกันอันแข็งแกร่งของฉินเหยียนรวบอสูรทั้งห้าเข้าหากัน เขาขว้างด้ามทวนออกไป “ฉัวะ!” คอของเหล่าอสูรเกราะขาดสะบั้นในพริบตา ทวนนี้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่หลินหมู่อวี่ปรับแต่งหัวทวนด้วยเพชรสีขาว จึงสามารถเจาะเกราะของเหล่าอสูรได้อย่างง่ายดาย
“โฮก โฮก โฮก!”
ความสามารถของฉินเหยียนทำให้พวกปีศาจยิ่งเกรี้ยวกราด อสูรเกราะนับร้อยตัวพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างสิ้นหวัง บ้างถึงขั้นขว้างอาวุธของตนทิ้งและดาหน้าเข้ามามือเปล่า
“ชิ้ง ชิ้ง!”
เหล่าอสูรเกราะยังคงโจมตีกำแพงโล่และเกราะเกล็ดมังกรอย่างต่อเนื่อง พวกมันเกิดมาพร้อมกับพลังเหนือมนุษย์ พละกำลังที่ฟาดฟันอาวุธมานั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้ ฉินเหยียนพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องเกราะเกล็ดมังกรไม่ให้แตกสลาย ทว่าใบหน้าของเขากลับซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ ทหารมังกรผงาดหลายนายไม่สามารถต้านทานได้ไหวและเริ่มถูกแทงจนตายตกไปทีละคน เวลาล่วงไปพร้อมกับการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรีดร้องดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั่วบริเวณ
…
“ด้านล่างเกิดเหตุอันใดขึ้น?”
หลินมู่อวี่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ฉับพลันนายทหารมังกรผงาดด้านข้างก็ถูกขวานศึกของอสูรเกราะลอยมาเฉาะศีรษะจนขาดครึ่งต่อหน้าต่อตา เลือดนายทหารสาดกระเซ็นไปทั่วชุดเกราะของหลินมู่อวี่ เขากัดฟันด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนปลดปล่อยปราณยุทธ์พร้อมชักกระบี่ออกจากฝัก การโจมตีของอสูรเกราะนั้นรุนแรงเกินคาด กำแพงเมืองปู้กู่ที่ควรเป็นข้อได้เปรียบของกองทัพกลับไร้ประโยชน์เสียอย่างนั้น
“ตู้ม!” เสียงระเบิดด้านนอกประตูเมืองดังขึ้น ฉับพลันแสงสีทองส่องประกายไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงคำรามของฉินเหยียน อสูรเกราะตนหนึ่งที่ถือขวานหนักกว่าสามร้อยปอนด์ในมือยืนตกตะลึงกับพลังมังกรของฉินเหยียน ทว่าใบหน้าของมันกลับเต็มไปด้วยความยโส รอยยิ้มดูถูกผุดขึ้นเมื่อเห็นว่าฉินเหยียนไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้อีกต่อไป อสูรเกราะตนนี้มีตรายศแม่ทัพระดับสูงติดอยู่บนอก ทว่าก็ยังต่ำกว่าผู้บัญชาการกองทัพ มันอาจมีตำแหน่งเทียบเท่าผู้บัญชาการกองหมื่น ซึ่งเขาควรจัดการกับแม่ทัพอสูรเกราะเสียก่อน มิเช่นนั้นประตูเมืองจะตกอยู่ในอันตรายได้
“ชิ้ง!”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกจากฝัก ขณะปราณยุทธ์รอบกายควบแน่นจนกลายเป็นปราณเพลิงวายุแห่งขอบเขตปราชญ์
เว่ยโฉวกล่าวออกด้วยความตกตะลึง “ผู้บัญชาการหลิน…ท่านเป็นผู้บัญชาการของทัพทั้งสามแห่งเมืองปู้กู่ ท่านไม่จำเป็นต้องออกไปสู้แต่อย่างใด อย่าไปเลยขอรับ…”
“ไม่เป็นไร”
หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างมั่นใจก่อนกล่าวคำออก “ข้าต่อสู้กับเหล่าอสูรเกราะตั้งแต่อยู่ขอบเขตนภาจนป่านนี้ทะลวงสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว พวกมันทำอะไรข้าไม่ได้หรอก อย่าเป็นกังวลไปเลย ข้าเพียงแค่จะไปช่วยฉินเหยียนเท่านั้น เจ้าปกป้องเมืองไว้ให้ดี อย่าหยุดยิงกล่องลูกศรเป็นอันขาด”
“ขอรับ…”
เว่ยโฉวมองด้วยความเป็นห่วง ขณะที่หลินมู่อวี่โรยตัวลงกำแพงพร้อมเกราะปราณยุทธ์สีขาวขุ่นห่อหุ้มกาย เขาชักกระบี่ออกมาฟาดฟันราวกับดวงดาวที่ตกลงมายังพื้นปฐพี
“ตู้ม!”
พลังกระบี่ของหลินมู่อวี่เปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์ ยามกระบี่วิญญาณมังกรส่องแสง ร่างของเหล่าอสูรเกราะถูกฟันขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อสูรเกราะระดับหนึ่งดาวไม่สามารถทำอะไรหลินมู่อวี่ได้แม้แต่น้อย
แสงกระบี่ตกลงกลางวงล้อมอสูรก่อนลากยาวเข้าไปในหุบเขาลึกจนถึงตัวแม่ทัพอสูรเกราะ เขามองหลินมู่อวี่ด้วยดวงตาสีแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและเกรี้ยวกราด ขวานในมือถูกยกขึ้นกวัดแกว่งก่อนที่จะคำรามฟังไม่ได้ศัพท์
ทว่าหลินมู่อวี่กลับรู้ว่าหมายถึงสิ่งใดจนต้องเตือนตนเองไม่ให้ปรานีปีศาจร้ายเยี่ยงพวกมัน มือซ้ายของเขายกขึ้นพร้อมกับริ้วแสงดาราจักรที่ควบแน่น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ดวงดาราขั้นที่สอง…โซ่ดวงดาว ฉับพลันเส้นริ้วพันธนาการรอบตัวของแม่ทัพอสูรเกราะ
“โฮก...”
แม่ทัพอสูรเกราะคำรามอย่างไม่รู้จบ ความมั่นใจในพลังอำนาจของตนทำให้มันหยิ่งผยอง คิดว่าขวานศึกของตนจะสามารถทำลายทุกอย่างได้ โชคร้ายที่เมื่อขวานเล่มนี้ถูกตรวนด้วยโซ่ดวงดาว ก็ไม่ต่างอะไรกับวัวดินที่ลงไปในทะเล ขณะนั้นห่วงโซ่ดวงดาวก็รัดตัวแม่ทัพอสูรเกราะแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงกระดูกแตกดังลั่นพร้อมกับเสียงโหยหวนไม่รู้จบ…
“ตายซะ…”
หลินมู่อวี่พุ่งตัวไปข้างหน้าพลางกระโดดเหยียบชุดเกราะของแม่ทัพอสูรผู้ยโส กระบี่วิญญาณมังกรตวัดลงพร้อมแก่นเพลิงมังกรที่แผดเผา ลากยาวจากคอของแม่ทัพอสูรไปจนถึงหัวใจ เขาชักกระบี่เปื้อนเลือดกลับ ก่อนที่ร่างของศัตรูจะล้มลงกระแทกพื้น เสื้อคลุมสีขาวของหลินมู่อวี่ปลิวไสวตามสายลมอย่างสง่าผ่าเผย
“โฮก!”
เหล่าอสูรเกราะรอบข้างหลายร้อยตัวที่กำลังล้อมประตูเมืองต่างพากันตกตะลึง ใบหน้าของพวกมันทั้งเกรี้ยวกราดและหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน ท้ายที่สุดเหล่าอสูรเกราะก็ขว้างดาบทิ้งและวิ่งตรงมาหาหลินมู่อวี่ด้วยมือเปล่า…
ดวงตาของหลินมู่อวี่ไม่เผยความรู้สึกใด เขาเอ่ยคำเบาก่อนที่น้ำเต้าสีทองจะปรากฏ ขวานและทวนจำนวนมากถูกยิงออกใส่พวกอสูรตรงหน้า เหล่าอสูรเกราะมือเปล่าร้องคำรามเสียงดังก้อง แม้จะเสียขวัญที่แม่ทัพของตนถูกฆ่าตายตกต่อหน้าต่อตา ทว่าเหล่าอสูรก็ไม่ละความพยายามในการโจมตีหลินมู่อวี่
การเผชิญหน้ากับเหล่าอสูรเกราะนับร้อยไม่ได้ทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด ปราณยุทธ์ของเขามุ่งไปยังทะเลจิตก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเขตแดนพลังของขอบเขตปราชญ์ เมื่อผนวกกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของโซ่เทวะ จึงทำให้หลินมู่อวี่เหนือชั้นกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกันมาก
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม!”
ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล อสูรเกราะรู้สึกว่าไหล่ของตนหนักอึ้ง พวกมันทั้งหมดจึงล้มลงกับพื้นอย่างไม่อาจต่อต้าน
แสงของกระบี่สว่างวาบราวกับเคียวมัจจุราช หลินมู่อวี่ตัดหัวอสูรเกราะห้าสิบตัวขาดสะบั้นในพริบตา ตอนนี้ปราณยุทธ์ของเขาพลันอ่อนแรงจนไม่สามารถกางเขตแดนพลังไว้ได้ ทำให้อสูรเกราะรีบลุกขึ้นพร้อมวิ่งหนี พวกมันตระหนักได้ว่ามนุษย์ตรงหน้าแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกมันจะเอาชนะได้
ไกลออกไป เสียงแตรสังข์ดังลั่นเป็นสัญญาณแก่พวกอสูรเกราะให้ถอยทัพ
เหล่าอสูรเกราะบางส่วนยังคงโจมตีอยู่ใต้กำแพงเมือง ทว่าพวกมันถูกศรเศวตรมณีโจมตีอย่างโหดเหี้ยมจนอ่อนแรงและเริ่มถอยหนี อสูรเกราะนับพันเลิกโจมตีเมืองปู้กู่และหนีตายกลับเมืองหน้าด่านโม่ซงอย่างหัวซุกหัวซุน
…
หลินมู่อวี่กลับเข้าเมืองพร้อมเสื้อคลุมชุ่มเลือด
ฉินเหยียนมีผ้าพันแผลอยู่ที่แขน ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เขากล่าวออกอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่ โจมตีขณะที่พวกมันกำลังหนีกันเถิด”
“ไม่”
หลินมู่อวี่ส่ายหน้า “พวกมันยังมีกองกำลังอสูรเกราะอีกมาก หากออกไปตามล่าพวกมัน เราจะไม่สามารถปกป้องเมืองได้ ข้ากลัวว่าเราอาจสู้พวกมันไม่ไหว”
แท้จริงแล้วหลินมู่อวี่ได้ใช้ปราณยุทธ์ไปเกือบครึ่งกับการใช้เขตแดนพลังสังหารพวกอสูรเกราะ อีกทั้งคงไม่คุ้มเสี่ยงนักที่จะออกไปไล่ล่าศัตรูที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น
เฝิงสี่ด้านข้างกล่าวออก “สิ่งที่ท่านผู้บัญชากล่าวหมายถึงพวกอสูรเกราะแข็งแกร่งและโหดเหี้ยม หากต้องออกไปสู้กับพวกมันในป่าเขา ข้าเกรงว่าเราจะสูญเสียกองทหารมังกรผงาดอีกมากเพื่อขับไล่พวกมัน ซึ่งไม่คุ้มค่าแม้แต่น้อย”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าพร้อมกล่าวออก “ส่งคนออกไปนอกเมืองเพื่อเก็บลูกศรกลับมา หากเลือดของมันไม่ใช่สีแดง ห้ามเก็บมาเด็ดขาด หลังจากนั้นให้นับจำนวนศพและขุดหลุมขนาดใหญ่เพื่อฝังพวกมัน ยิ่งลึกยิ่งดีเพราะอสูรเกราะเหล่านี้มีเชื้อโรคที่อาจทำให้เกิดโรคระบาดได้”
“ขอรับ”
ฉินเหยียนประสานหมัดและยิ้มด้วยความเคารพ “พี่ชาย ก่อนพวกเราออกเดินทาง องค์จักรพรรดินีทรงเพิ่มกฎรางวัลใหม่สำหรับการต่อสู้กับเหล่าปีศาจ โดยกำหนดว่าเมื่ออสูรเกราะถูกฆ่า เหล่าทหารสามารถถอนเขี้ยวของมันเพื่อไปขึ้นรางวัล เราควรถอนเขี้ยวจากศพอสูรเกราะเหล่านี้หรือไม่ขอรับ?”
“อืม เอาสิ”
“ขอรับ”
ระบบเก่าของกองทัพจักรวรรดิมีอยู่ว่าเมื่อศัตรูถูกขับไล่ เหล่าทหารจะต้องตัดหัวอสูรเพื่อไปรับรางวัล ทว่ากองทัพมังกรผงาดของหลินมู่อวี่ได้ยกเลิกกฎเหล่านี้ไปนานแล้วและถูกเปลี่ยนเป็นการถอนเขี้ยวอสูรเพื่อแลกรางวัลแทน
…
เมื่อมองดูซากศพอสูรเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนนอกเมือง หลินมู่อวี่รู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมาก นี่ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกเหนือกองทัพอสูรเกราะอย่างแท้จริง เขายังคงต้องเรียนรู้อีกมากและมองหาจุดอ่อนของเหล่าอสูรเกราะต่อไปเพื่อชดใช้ความอัปยศที่เคยพ่ายแพ้ในศึกเมืองตงฉวง อีกทั้งยังเพื่อล้างแค้นให้แก่แม่ทัพที่ตายตกไปอย่างหมินยวี่หลิน หมินจ้าน ฉือยิง…
………………………………….