The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.416 สารส่วนพระองค์
EP.416 สารส่วนพระองค์
“โล่ทรงกรวยรึ?”
หลินมู่อวี่ผงะไปครู่หนึ่ง “มันเป็นอย่างไรกัน?”
ฉือเจี้ยนเทาประสานหมัดพร้อมกล่าวคำออก “มันคือโล่ที่ด้านหน้ายื่นเป็นรูปทรงกรวยขอรับ ซึ่งจะช่วยลดแรงปะทะจากการโจมตีของอสูรเกราะ อีกทั้งตัวโล่เองมีน้ำหนักราวสองร้อยกิโลกรัม ผนวกกับน้ำหนักของม้าศึก ทหารม้าและชุดเกราะ รวมเป็นน้ำหนักเกือบพันกิโลกรัมซึ่งจะทำให้การโจมตีของเราไม่ด้อยไปกว่าพวกอสูรเกราะแน่ขอรับ หากมีโล่ทรงกรวยคอยป้องกันเหล่าทหารและมีทวนที่สามารถเจาะเกราะพวกอสูร แน่นอนว่าเราจะสามารถจัดการกับพวกมันบนพื้นราบและมีพละกำลังที่เทียบเท่าพวกมันได้ขอรับ”
หลินมู่อวี่อุทานอย่างตื่นเต้น “นายพลฉือ สิ่งนี้…เป็นไปได้จริงๆหรือ?”
“ขอรับ ท่านผู้บัญชาการ”
ฉือเจี้ยนเทายกยิ้มพร้อมกล่าวตอบ “สมัยข้าน้อยรับใช้อยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ในมณฑลอวิ้นจง พวกเขาเคยหล่อโล่ทรงกรวยเพื่อป้องกันหมูป่าที่หลุดมาจากป่าล่ามังกร เขี้ยวของหมูป่าและอาวุธของอสูรเกราะคล้ายคลึงกันมากจึงน่าจะใช้ได้ผลกับพวกมันเช่นกัน ทว่าโล่นั้นมีน้ำหนักมาก ข้าน้อยคิดว่าต้องเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตปฐพีขึ้นไปจึงจะใช้โล่นี้ได้ขอรับ”
“อืม”
หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยความปีติ “เว่ยโฉว เรามีทหารขอบเขตปฐพีในกองทัพกี่นาย?”
เว่ยโฉวกล่าวตอบ “ท่านผู้บัญชาการ ทหารส่วนใหญ่ในกองทัพของเรามาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวรรดิ จึงเป็นที่รู้กันดีว่าเหล่าทหารมังกรผงาดนั้นแข็งแกร่งที่สุด คาดว่าเรามีจอมยุทธ์ขอบเขตปฐพีทั้งหมดราวสามร้อยคนขอรับ”
“เยี่ยมยอด!”
หลินมู่อวี่สูดหายใจก่อนกล่าวออก “ฉือเจี้ยนเทา ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการ ‘กองทหารม้าหอกโล่’ จงรวบรวมทหารทั้งสามร้อยนายเพื่อจัดตั้งกองทัพและรับผิดชอบในการฝึกซ้อมใช้โล่ทรงกรวย ทั้งนี้จงนำหอกสามร้อยเล่มจากคลังอาวุธมาส่งที่กระโจมหลัก ข้าจะเคลือบหัวหอกด้วยเพชรสีขาวเพื่อให้มันสามารถเจาะเกราะเหล่าอสูรได้ง่ายขึ้น”
“ขอรับ ท่านผู้บัญชาการ”
“ส่งสารหาผู้ว่าการเมืองปู้กู่ให้หยุดกิจการร้านเครื่องเหล็กทั้งหมดในเมืองเพื่อเร่งสร้างโล่ทรงกรวยแก่กองทัพมังกรผงาด จงรวบรวมทรัพยากรแร่เหล็กที่มีทั้งหมดและหล่อโล่ทรงกรวยโดยเร็วที่สุด!”
“ขอรับ!” จือเจี้ยนเทารู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก เขาประสานหมัดพร้อมกล่าวคำออก “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังขอรับ”
“ไปจัดการเสีย”
“ขอรับ”
…
หลังสิ้นคำสั่ง นายทหารในกระโจมหลักต่างทยอยกันออกไป หลินมู่อวี่พักสายตาอยู่ครู่หนึ่ง หลายวันมาแล้วที่เขาต้องจากมายังมณฑลดารา สถานการณ์ที่นี่ไม่ได้ตึงเครียดมากนัก ความเสียหายที่พวกอสูรเกราะได้รับในครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ หากแต่เส้นชัยก็ยังอีกไกลนัก เมื่อรู้ว่ากองทัพอสูรเกราะกว่าสองแสนตนของเหล่ยฉงยังอยู่ในมณฑลหลิงหนาน
เมื่อนึกถึงจอมพลปีศาจเหล่ยฉง ใบหน้าของหลินมู่อวี่แปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้น เหตุการณ์ที่มันตัดศีรษะของตู้ไห่ แม่ทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันใด เหล่ยฉงเป็นศัตรูที่น่าเกรงขาม การกำจัดมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยพลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่ในตอนนี้ เขาคาดว่าโอกาสที่จะชนะเหล่ยฉงมีไม่ถึงหนึ่งในสามเสียด้วยซ้ำ
ไม่นานหลังจากนั้น เว่ยโฉวพาคนมาส่งอาวุธให้เขา กองทัพมังกรผงาดนั้นมีอาวุธที่ล้ำสมัยที่สุดในจักรวรรดิ แต่อาวุธเหล่านี้ก็ยังไม่ค่อยดีนัก ในบรรดาหอกสามร้อยเล่ม มีเพียงสามเล่มเท่านั้นที่เป็นอาวุธระดับภูต ส่วนที่เหลือเป็นเพียงอาวุธระดับดี และบ้างก็มีเพียงความแหลมคม ทว่าการสร้างอาวุธก็ไม่ควรมากพิธีนักเนื่องจากทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด เหล็กทมิฬพันปีที่สามารถนำมาหลอมอาวุธชั้นดีก็เหลือน้อยลงทุกที
ในถุงสรรพสิ่งคงยังเหลือเพชรสีขาวอยู่บ้าง อีกทั้งเครื่องประดับเพชรขาวที่ได้รับมาจากเจ้าเมืองก็สามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งทั้งหมดเพียงพอสำหรับเคลือบหัวหอกทั้งสามร้อยเล่มอย่างพอดิบพอดี
หลังจากส่งคนไปคุ้มกันค่ายและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดรบกวน หลินมู่อวี่เรียกติ่งหลอมอาวุธออกมาและเริ่มเคลือบหัวหอกทีละอัน
โชคดีที่อาวุธเหล่านี้เป็นเพียงอาวุธธรรมดา ขั้นตอนการทำจึงไม่ซับซ้อนนัก หลังจากหลอมเพชรสีขาวก็สามารถนำมาชุบหัวหอกได้ทันที แม้ว่าพลังของหอกเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้กับกระบี่วิญญาณมังกรและทวนหลีฮวาที่ใช้จัดการกับพวกอสูรระดับสูง แต่ก็แข็งแกร่งพอที่จะฆ่าพวกอสูรเกราะได้
ในสายตาของจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าเยี่ยงหลินมู่อวี่ เหล่าอสูรเกราะไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด ตราบใดที่ไม่ถูกพวกมันสองร้อยตัวห้อมล้อม พลังยุทธ์ของเขาย่อมเอาชนะได้ อีกทั้งยังมีพลังเจ็ดประทีป พลังดวงดาราและความรู้ด้านอื่นๆ อีกมากมาย จึงทำให้หลินมู่อวี่นั้นแข็งแกร่งกว่าตู้ไห่ซึ่งอยู่ขอบเขตปราชญ์ขั้นแรกเหมือนกัน หรือแม้แต่เหล่ยหงก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้ในตอนนี้
…
ห้าวันล่วงไปในพริบตา โล่ทรงกรวยที่หล่อขึ้นตามคำสั่งของฉือเจี้ยนเทาถูกส่งมาจากจวนเจ้าเมือง เมื่อหลินมู่อวี่ลองยกโล่ขึ้นจึงพบว่ามันหนักมาก ซึ่งแน่นอนว่าจอมยุทธ์ขอบเขตปฐพีคงไม่สามารถใช้โล่นี้อย่างชำนาญหากไม่ผ่านการฝึกฝน เขาจึงทำตามคำแนะนำของฉือเจี้ยนเทาโดยให้กองทหารม้าโล่หอกฝึกใช้โล่ทรงกรวยเป็นเวลาเจ็ดวัน ทหารเหล่านี้ซึ่งเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งในการรับมือกับอสูรเกราะอยู่ในมือของหลินมู่อวี่แล้ว!
หลายวันต่อมา ในตอนบ่ายคนส่งสารเข้ามาในกระโจมหลักของกองทัพอย่างรีบร้อน สารในมือถูกกระชับแน่นขณะกล่าวออกอย่างนอบน้อม “ท่านผู้บัญชาการ มีสารมาจากองค์จักรพรรดินีขอรับ!”
“โอ้ ส่งมาให้ข้า…” หลินมู่อวี่รู้สึกเบิกบานหัวใจในทันใด
“ขอรับ…”
เว่ยโฉวด้านข้างเอ่ยถามขึ้น “ใช่พระราชโองการของจักรพรรดินีหรือไม่ขอรับ?”
คนส่งสารส่ายหน้าก่อนกล่าวออก “มิใช่ขอรับ เป็นจดหมายส่วนพระองค์ถึงท่านผู้บัญชาการขอรับ”
“โอ้…” เว่ยโฉวยิ้มกริ่มพร้อมเอ่ย “จริงสิ เป็นเวลากว่าสิบวันแล้วที่ท่านผู้บัญชาการต้องจากมายังมณฑลดารา…ฝ่าบาทคงคิดถึงท่าน”
“อย่าพูดจาเหลวไหล” หลินมู่อวี่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง เขารู้ดีว่าแม้ฉินอินกับเขาจะรักกันเพียงใด ทั้งสองก็เป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพแห่งจักรวรรดิและจักรพรรดินี คงเป็นการเห็นแก่ตัวหากเขาทำสิ่งใดไม่คำนึงถึงสถานะของนาง ดังนั้นไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อใดเขาก็ต้องให้เกียรติฉินอินในฐานะองค์จักรพรรดินีอยู่เสมอ
เมื่อเปิดสารขึ้นมาอ่าน ลายมือที่คุ้นเคยพลันปรากฏแก่สายตา บัดนี้ลายมือที่ฉินอินเรียนรู้จากฉินจิ้นได้กลายเป็นลายมือที่งดงามและทรงพลังในแบบของตนเองแล้ว ทุกคำกล่าวในสารดูเหมือนจะซึมลึกเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของหลินมู่อวี่
“พี่อาอวี่อยู่ที่นั่นหลายสิบวันโดยไม่ส่งจดหมายมาบ้างเลย ข้าเป็นห่วงและคิดถึงพี่ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่ชายแดนเป็นอย่างไรบ้าง เหล่าปีศาจรุกรานทั่วเทือกเขาฉินรวมถึงจักรวรรรดิอี้เหอ ข้าคะนึงหาพี่ทุกวัน หากไม่ติดว่ามีม้วนหนังสือนับพันที่ต้องจัดการก็อยากไปอยู่เคียงข้างพี่ ในเมืองหลันเยี่ยนเอง ท่านตาและหลานกงยังคงแก่งแย่งอำนาจกันไม่รู้จบสิ้น ช่างน่าเบื่อเสียจริง ยิ่งสถานการณ์คอขาดบาดตายเช่นนี้ ข้ายิ่งอยากอยู่กับพี่มากกว่าเดิม ห้วงความคิดของข้ามีแต่พี่ตลอดเวลา หวังว่าจะได้พบกันในเร็ววัน”
สารฉบับนี้ทำให้หลินมู่อวี่อุ่นวาบไปทั้งหัวใจ ราวกับเขาได้ยินเสียงของฉินอินกระซิบอยู่ที่ข้างหู ความคิดถึงของหญิงงามผู้เป็นที่รักดูเหมือนจะเติมกำลังใจในการต่อสู้ให้แก่เขาได้อย่างมากล้น
ฉินเหยียนด้านข้างลูบจมูกของตนอย่างขวยเขินก่อนเอ่ยถาม “พี่ชาย ฝ่าบาทว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ ทรงมอบหมายงานใดหรือไม่?”
“ไม่”
หลินมู่อวี่พับสารขณะกล่าวออก “เพียงกล่าวถึงชีวิตประจำวันเท่านั้น”
เฝิงซียิ้มหยอกล้อพลางเอ่ย “ฝ่าบาททรงฝากความคิดถึงมาให้ท่านผู้บัญชาการ แต่ทรงลืมมอบหมายงานงั้นรึ?”
“อย่าว่าเช่นนั้น” หลินมู่อวี่ยกยิ้มก่อนเอ่ยถาม “การฝึกซ้อมของกองทหารม้าหอกโล่เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉือเจี้ยนเทาประสานหมัด “โปรดวางใจเถิด ทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ ขณะนี้เราพร้อมเผชิญกับเหล่าปีศาจทุกเมื่อ โล่ทรงกรวยทั้งสามร้อยอันจะช่วยลดทอนการปะทะในแนวหน้าให้เกิดความสูญเสียน้อยลงได้”
“อืม ดีมาก”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืนก่อนกล่าวคำออก “จงรับคำสั่ง เตรียมเครื่องยิงและอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อม และฝึกฝนกองทหารม้าหอกโล่ให้ดี สามวันหลังจากนี้เราจะบุกโจมตีเมืองหน้าด่านโม่ซง!”
“ขอรับ!”
…
ณ มณฑลหลิงหนาน กำแพงเหล็กสูงตระหง่านทอดยาวสุดลูกหูลูกตาปกป้องจักรวรรดิอี้เหอจากอสูรร้ายภายนอก ด้านหลังส่วนโค้งของกำแพงเหล็ก เป็นที่ตั้งเมืองสายัณห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวรรดิ
อาณาเขตของเมืองสายัณห์นั้นกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้เมืองแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมากและมีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง
ภายในกำแพงเหล็ก กองทัพกำลังเคลื่อนพลอย่างเชื่องช้าผ่านตัวเมือง ทหารม้านับพันคุ้มกันรถม้าคันหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าสู่กำแพงเหล็ก
“ท่านซีหยางโหวมาถึงแล้วขอรับ!”
เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับชายคนหนึ่งที่ควบม้ามา แม่ทัพในชุดเกราะสีดำซึ่งมีดาวสีทองสี่ดวงประดับบนอกปรากฏกายหน้าขบวนทัพ เขาคือติงซี่…หนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอ
เมื่อรถม้ามาถึง ติงซี่เผยท่าทางนอบน้อม เขาประสานหมัดพลางกล่าวออก “คาวระท่านโหว”
ผ้าม่านถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นชายชราด้านในพร้อมนางสนมที่งดงามเยี่ยงบุปผาข้างกาย เขาคือหม่านหนิง ผู้ได้รับตำแหน่ง ‘ซีหยางโหว’ หลังจากการบุกโจมตีเมืองหลันเยี่ยน ใบหน้าอ้วนพลุ้ยยกยิ้มพร้อมกล่าว “ไม่ต้องมากพิธีหรอกแม่ทัพติ่งซี่ สถานการณ์ทางกำแพงเหล็กเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ปกติดีขอรับ ครานี้ท่านซีหยางโหวจะขึ้นไปดูหรือขอรับ?”
“อืม ข้าอยากจะขึ้นกำแพงเหล็กไปดูด้วยตาตนเองเสียหน่อย”
“ได้ขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยจะพาท่านไปเอง”
“ขอบใจท่านแม่ทัพมาก”
“ด้วยความยินดีขอรับ”
…
ร่างกายอ้วนกลมของหม่านหนิงค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดของกำแพงเหล็กไปอย่างเชื่องช้าโดยมีทหารหลายนายคอยช่วยเหลือตลอดทาง ขณะยืนอยู่บนกำแพงสูงตระหง่าน เขาทอดสายตาออกไปก่อนเห็นกลุ่มควันลอยโขมง
“นั่นควันส่งสัญญาณข้าศึกบุกหรือ?” หม่านหนิงถาม
ติงซี่ส่ายศีรษะพลางกล่าว “ไม่ใช่ขอรับ มันคือควันไฟที่เหล่าปีศาจเผาเมืองหงทู่ ”
“เมืองหงทู่…”
ฝ่ามืออันสั่นเทาของหม่านหนิงวางลงบนแขนนางสนมด้านข้าง เขาจ้องมองเมืองที่ห่างไกลไม่วางตาก่อนกล่าวคำ “เมืองหงทู่แตกพ่ายแล้วงั้นรึ?”
“ขอรับท่านซีหยางโหว หลังจากเผ่าปีศาจตีทัพของหลงเซียนหลินแตกพ่ายและบุกทะลวงเทือกเขาฉิน ดินแดนทางเหนือนอกกำแพงเหล็กทั้งหมดตกไปอยู่ในมือของพวกมัน”
“เช่นนั้นแหละ” ไขมันบนใบหน้าของหม่านหนิงค่อยๆ เขยื้อนจนกลายเป็นรอยยิ้มอัปลักษณ์ “ช่างมันเถิด หญิงสาวที่เกิดจากพวกนอกคอกในเมืองหงทู่นั้นอัปลักษณ์ยิ่ง อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ปล่อยให้เมืองแตกไปเสียก็ดี แม่ทัพติงซี่คอยดูแลความเรียบร้อยในกำแพงเหล็กและปกป้องเมืองสายัณห์ให้ดีเถิด นี่เป็นคำสั่งที่ราชาผู้พิชิตทรงมอบหมายแก่ท่าน”
“รับทราบขอรับ…”
ติงซี่ประสานหมัดอย่างนอบน้อม ทว่าใบหน้าของเขาที่ก้มต่ำกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและสิ้นหวัง
………………………………….